Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

ความ อ้วน-ผอม ของคนไทย



 ความ อ้วน-ผอม ของคนไทย


ความสูง
(เซนติเมตร)
คนไทย
น้ำหนัก(กิโลกรัม)
องค์การ
อนามัยโลก
โครงร่างคนอเมริกัน(พศ.2523)
เล็ก
กลาง
ใหญ่
ชาย
150-154
155-159
160-164
165-169
170-174
175-179
45-51
49-55
52-58
55-63
58-66
59-67
54-57
57-60
60-63
63-66
67-69
70-73
-
56-60
58-62
59-64
61-67
63-70
-
57-63
59-66
61-68
62-71
66-74
-
59-68
62-71
64-74
66-78
68-81
หญิง
140-144
145-149
150-154
155-159
160-164
165-169
39-45
44-50
46-52
49-57
52-60
53-65
45-47
47-50
50-52
53-55
56-59
59-62
-
44-50
46-53
47-55
49-58
52-61
-
48-55
49-58
51-60
54-63
57-66
-
52-60
53-63
56-66
58-70
61-73
ตารางที่1:น้ำหนักเฉลี่ยของผู้ใหญ่ไทยปกติในช่วงความสูงต่างๆ เปรียบเทียบ กับน้ำหนักมาตรฐาน ขององค์การอนามัยโลก และของคนอเมริกัน 

ตารางสำหรับคนไทย
สมการสำหรับคำนวนร่างกายของผู้ใหญ่ไทย จากความสูง (น้ำหนักเป็นกิโลกรัม, ความสูงเป็นเซนติเมตร) 


ชาย
น้ำหนัก=(0.67 x ความสูง)-52.61
(ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของค่าประมาณ = 7.6 กิโลกรัม)



หญิง
น้ำหนัก=(0.69 x ความสูง)-56.67
(ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของค่าประมาณ = 8.2 กิโลกรัม)


คนไทยมีน้ำหนักน้อยกว่าคนฝรั่ง ที่สูงเท่ากัน ดังนั้น ถ้าใชเกณฑ์ มาตรฐานของคนฝรั่ง (รวมทั้งขององค์การอนามัยโลก) คนไทยส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในพวก"ผอม" แต่คนไทยที่ได้รับการสำรวจ ประมาณร้อยละ 90 เป็นผู้ที่มีรูปร่างสันทัด สมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอม ถ้าทำให้น้ำหนักร่างกายคนไทย เท่ากับฝรั่ง คนไทยคนนั้นจะอ้วนลงพุงให้เห็นอย่างชัดเจน เกณฑ์มาตรฐานของฝรั่ง จึงนำมาใช้กับคนไทยไม่ได้ 

สูง(ซม)
น้ำหนัก(กิโลกรัม)
ช่วงอายุ 15-19
20-34
35-64
65-68
ชาย
150-154
155-159
160-164
165-169
170-174
175-179
40-44
46-50
49-53
51-57
56-62
57-64
45-51
49-55
51-57
53-61
57-65
57-65
47-55
50-58
53-61
55-66
59-69
59-69
43-51
43-49
49-59
52-58
58-64
-
ช่วงอายุ 15-29
30-54
55-64
65-88
หญิง
140-144
145-149
150-154
155-159
39-45
42-48
43-50
45-55
39-44
45-53
47-55
51-60
36-46
42-48
46-54
50-58
42-45
38-46
44-54
43-53
ตารางที่ 2 :ตารางความสูง-น้ำหนักของคนไทย สำหรับผู้ใหญ่ไทย ในช่วงอายุต่างๆ (ช่วงอายุที่ใช้เป็นช่วงอายุ ที่น้ำหนักของช่วงนั้นต่างจากช่วงอายุอื่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ) 

จากหนังสือ วิ่งสู่วิถีชีวิตใหม่ โดย นายแพทย์ อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม

Copyright 2008 http://www.LearnLand.net 
System Powed By www.LearnLand.net

โปรแกรมวิ่งมาราธอน


ตารางการฝึกซ้อมวิ่งมาราธอน
สำหรับผู้จนเวลา

( โดย  Jeff  Galloway, Runner's world, August 1990 )

 
สัปดาห์อังคารพฤหัสบดีอาทิตย์
130 นาที30 นาที19  -  22 กม.
230 นาที30 นาที         13 กม.
330 นาที30 นาที 24  - 27  กม.
430 นาที30 นาที         13 กม.
530 นาที30 นาที29 - 32 กม.
630 นาที30 นาที          13 กม.
730 นาที30 นาที34  -  37 กม.
830 นาที30 นาที          16 กม.
930 นาที30 นาที38  -  42 กม.
1030 นาที30 นาที          19 กม.
1130 นาที30 นาที          19 กม.
1230 นาที30 นาทีมาราธอน


            ในประสบการณ์ของผู้เขียน  การวิ่งมาราธอนไม่ใช่ของง่าย  แต่ที่ยากยิ่งกว่าคือการฝึก  เพราะในระหว่างฝึกซ้อมซึ่งกินเวลา 3-4 เดือนนั้น  แทบจะกระดิกตัวไปไหน ไม่ได้เลย   กินนอนต้องเป็นเวลา  ตื่นแต่เช้าตรู่  ( ตี 4 ตี 5 ) เพื่อมาซ้อมวิ่งยาวนับสิบกิโลเมตรเกือบทุกวัน  ครั้นตกบ่ายก็ง่วงเหงาหาวนอน  อ่อนเพลียอยู่เป็นนิจศีล  พลอยให้การงานบกพร่องแล้วยังมีเรื่องของการเจ็บแข้งขาเข้ามาผสม  บางครั้งก็เป็นหวัด  เพราะซ้อมหนักเกินไป
            ฉะนั้น ผู้เขียนจึงดีใจมากที่เห็นตารางฝึกซ้อมมาราธอน ในหนังสือรันเนอร์  เวิร์ลด์ ซึ่งบอกวิธีการฝึกที่ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาได้ทั้งหมด
             ตารางฝึกอันนี้บอกให้วิ่งสัปดาห์ละ 3 วัน ( อย่าเพิ่งหัวเราะ   ) คิดเป็นระยะทางไม่เกิน  50 กิโลเมตร ( ต่อสัปดาห์ )  ฟังดูแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้  เราท่านที่เคยซ้อมวิ่งมาราธอนมาแล้ว  คงรู้ว่า  ไม่ว่าเราจะใช้ตารางการฝึกซ้อมของใคร  จะต้องวิ่งอย่างต่ำสัปดาห์ละ 5 วัน ( ส่วนใหญ่จะให้วิ่ง 6 วัน ) คิดเป็นระยะทางราว 80 กิโลเมตรต่อสัปดาห์  จึงจะสามารถวิ่งมาราธอนได้ด้วยความมั่นใจ
            แต่ตารางอันนี้  ชื่อคนคิดตารางนี้ ก็น่าเชื่อถืออยู่ นายเจฟฟ์  กัลโลเวย์  แกเป็นนักวิ่งโอลิมปิค  10,000 เมตร  ตัวแทนทีมชาติอเมริกา  และเปิดแคมป์ฝึกวิ่งอยู่ที่เมือง  เลคตาโฮ  แกใช้ตารางนี้กับลูกศิษย์ที่มาฝึกกับแกร่วมสิบปีแล้ว  ฝึกให้คนวิ่งมาราธอนสำเร็จนับพันคน  ฉะนั้นถ้าเราจะลองดูกับตัวเองบ้าง  ก็ไม่น่าเป็นเรื่องเสียหาย

            เสน่ห์ของโปรแกรมฝึกอันนี้อยู่ที่

            หนึ่ง  ใช้เวลาวิ่งเพียงสัปดาห์ละ 3 วัน  เหมาะสำหรับคนมีเวลา ( ให้การวิ่ง )  น้อย  แถม 2 วันที่วิ่งในช่วงทำงาน  วิ่งเพียงวันละ  30 นาที  เท่านั้น  อย่างนี้ใครๆ ก็ทำได้  และไม่ต้องโดดงานตอนบ่ายหาเวลางีบ
            สอง  เก็บวันวิ่งยาวไว้วันหยุดสุดสัปดาห์เพียงวันเดียว   ก็จะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ ก็แล้วแต่สะดวก  แถมไม่ต้องวิ่งยาวมากๆ ทุกอาทิตย์  อย่างนี้เท่ากับว่าให้เวลาร่างกายได้พักเหลือเฟือ  โอกาสเจ็บหรือล้าตลอดจนเกิดอาการโอเวอร์เทรน ( Overtrain )  
            ความเป็นไปได้ของการวิ่งมาราะอนสำเร็จโดยการฝึกตามโปรแกรมนี้ มีมากน้อยแค่ไหน  ส่วนตัวผู้เขียนเอง  คิดว่าน่าจะเป็นไปได้สูง  เพราะผู้เขียนมีความรู้สึกมานานแล้วว่าการซ้อมมาราธอน  ตัวที่สำคัญที่สุดคือวันวิ่งยาวเท่านั้น  วันวิ่งอื่น ๆ เป็นเพียงตัวประกอบโปรแกรมนี้ออกมาจึงถูกใจผู้เขียนเจ๋งเป้ง
             แต่แน่นอน  การฝึกตามโปรแกรมนี้ไม่ใช่เพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด  ( สำหรับตัวเอง )  นายเจฟฟ์ก็กล่าวเตือนไว้เช่นนั้น  แต่สำหรับคนที่อยากลงวิ่งมาราธอนให้ถึงในสภาพเรียบร้อยพอสมควร  ( คืออาจมี " ชนกำแพง "  บ้าง แต่ก็ไม่หนักนัก  )  และขัดสนในเรื่องเวลา  ผู้เขียนบอกได้ว่า  ตารางการฝึกซ้อมอันนี้  น่าสนใจ  เป็นอย่างยิ่ง
             ก็ลองดูกัน  แล้วกระซิบบอกผลให้ฟังบ้าง


หมายเหตุ.- 


1. ผู้ที่เริ่มโปรแกรมนี้ควรมีพื้นฐานการวิ่งที่แน่นเพียงพอ  คืออย่างน้อยสามารถวิ่งได้ 16 กิโลเมตรติดต่อกัน
2. วันวิ่งยาวจะเป็นเสาร์หรืออาทิตย์ก็ได้  ตามสะดวก
3. วันวิ่งยาวให้วิ่งยาว ( มาก )  อาทิตย์เว้นอาทิตย์   โดยเพิ่มระยะทางครั้งละ  3-5 กิโลเมตร
     จนถึงระยะทางมาราธอน  ( 42  กิโลเมตร ) ส่วนวันอาทิตย์ที่วิ่ง  " ยาวน้อย "  จะลงแข่งขันบ้างก็ได้

4. ช่วงยากของตารางฝึกนี้  คือวันวิ่งยาว  ซึ่งบางครั้งยาวมากจนเท่าวิ่งมาราธอน  จึงควรมีเพื่อนร่วมวิ่งไปด้วย  เพื่อคลายเหงา  ถ้าหาเพื่อนนักวิ่งฝีเท้าระดับเดียวกัน  จุดมุ่งหมายเดียวกัน มาร่วมฝึกซ้อมจะช่วยได้มาก
5. ในวันธรรมดา  วิ่งวันละ  30 นาที  ไม่กำหนดระยะทางและความเร็ว  ควรวิ่งสบาย ๆ โดยเฉพาะในวันอังคาร  ซึ่งยังอาจเมื่อยขบจาการวิ่งยาวของวันอาทิตย์ก่อน  แต่ถ้ารู้สึกคึกคักดี   อาจใช้เป็นวันฝึกความเร็ว
6. ในวันวิ่งยาว  (มาก )  วิ่งด้วยความเร็วที่ช้ากว่าความเร็วที่จะใช้ในวันแข่งราว  75 วินาที ต่อกิโลเมตร  เช่นถ้าจะวิ่งมาราธอนด้วยเวลา  4  ชั่วโมง 15 นาที  ( ราว 6 นาทีต่อ กิโลเมตร )  ก็วิ่งซ้อมด้วยความเร็ว 7 นาที 15 วินาที  ต่อ กิโลเมตร  เป็นต้น
            นอกจากนี้ในช่วงวิ่งยาว  ไม่ควรวิ่งม้วนเดียวจบแต่สลับกับการเดิน  เช่นวิ่งสัก  10-15 นาที  สลับกับการเดินช่วงสั้น ๆ  15-30 วินาที  เพื่อผ่อนคลายและพักกล้ามเนื้อช่วงพักนี้ควรกินน้ำไปด้วย
7. ในวันที่ ที่ไม่ได้วิ่ง  ( จันทร์, พุธ , ศุกร์ , เสาร์ )  อาจพักเฉยๆ หรืออกกำลังแบบแอโรบิกอื่นๆ  เช่น ว่ายน้ำ , จักรยาน , หรือยกน้ำหนักเบาๆ ซึ่ง นายเจฟฟ์  บอกว่า  ทำแบบนี้จะดีกว่า  เอาเวลาไปวิ่งช้าๆ เบาๆ  ซึ่งนอกจากไม่ช่วยเพิ่มความฟิตแล้ว  ยังไม่ได้พักกล้ามเนื้อที่ใช้ในการวิ่งอย่างเต็มที่ด้วย


( จากนิตยสารเพื่อชีวิตที่ดีกว่า  โดย..นพ.กฤษฎา  บานชื่น )









ทำไมถึงปิดการขายไม่ได้สักที?

ทำไมถึงปิดการขายไม่ได้สักที?



ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับนักขายที่ไม่ประสบความสำเร็จในการขายก็คือ การมีทัศนคติไม่ดีต่อลูกค้า มองลูกค้าเป็นคนที่ คุณต้องเอาชนะให้ได้ จึงไม่ได้ปฏิบัติกับลูกค้าอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่มุ่งความต้องการ ปิดการขายของตนเองมากกว่า หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการขาย จงเปลี่ยนทัศนคติของคุณตั้งแต่วันนี้
  • ลูกค้าชนะ...คุณก็ชนะ
    การขายที่ดีที่สุดคือการขายที่ผู้ขายและผู้ซื้อได้รับประโยชน์เป็นที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย หรือที่เรียกว่า Win-Win ซึ่งหมายความว่า คุณชนะ เพราะลูกค้าชนะ ไม่ใช่การมีชัยชนะเหนือลูกค้า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากคุณ เขาซื้อผลประโยชน์ และผลประโยชน์นั้นอาจอยู่ในรูปของการผลิตที่เร็วขึ้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง ยอดขายสูงขึ้น เป็นต้น คุณต้องเฝ้ามองลูกค้าและเห็นลูกค้าเกิดประโยชน์เหล่านั้นด้วย ไม่ใช่แค่ปิดการขายได้แล้วก็จบ ไม่สนใจลูกค้าอีกต่อไป
  • อย่ามองลูกค้าเป็นศัตรู
    เมื่อคุณมองลูกค้าเป็นศัตรู นั่นหมายความว่าความคิดคุณจะเป็นตัวกำหนดการกระทำของคุณ คุณคิดว่าลูกค้าเป็นศัตรู คุณจึงต้องพยายามเอาชนะลูกค้า หลอกลวงลูกค้าด้วยปัญญาหรือแสดงตัวข่มลูกค้า พฤติกรรมเช่นนี้จะไม่มีวันทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเป็นนักขายได้เลย ในทางกลับกันคุณยังจะเสียลูกค้า และอาจเกิดชื่อเสียงที่ไม่ได้กับตัวคุณด้วย

เคล็ดลับการขายพิชิตใจลูกค้า


เคล็ดลับการขายพิชิตใจลูกค้า


เชื่อหรือไม่ว่า เคล็บลับการขายที่จะพิชิตใจลูกค้าได้นั้นไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก สลับซับซ้อน
หรือชักแม่น้ำทั้งห้า หากแต่เป็นการสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาเข้าใจง่าย และไม่ทำให้ลูกค้าอึดอัด
ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยให้งานขายของคุณง่ายขึ้นค่ะ
เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนสนใจ
หนทางสู่ความสำเร็จในการขายมีหลายวิธี แต่หนทางสู่ความล้มเหลวหนทางหนึ่งคือ การพยายาม
ทำให้ทุกคนพอใจ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมีความต้องการเหมือนกันในเวลาเดียวกัน ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะพยายามพูดให้ทุกคนสนใจสิ่งที่คุณขายได้ทั้งหมด

บอกลูกค้าให้ชัดเจนว่าคุณขายอะไร

เสนอขายสินค้าแบบเข้าใจง่ายและตรงประเด็น ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์
ถ้อยคำสวยหรูแต่ฟังดูคลุมเครือ เพียงบอกลูกค้าว่าคุณชื่ออะไร มาจาก
บริษัทใด ต้องการขายอะไร มีประโยชน์กับเขาอย่างไร โดยเป้าหมายของคุณ
นั้น ไม่จำเป็นต้องขายสินค้าให้ได้ในครั้งแรกก็ได้ แต่สิ่งที่ควรขายให้ได้ คือ
การนัดหมายหรือโอกาสในการพรีเซนต์สินค้าเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติม

สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า

นักขายที่ดีนอกจากจะมีความมั่นใจในสิ่งที่ขายแล้ว ยังต้องสร้าง
สัมพันธภาพอันดีกับลูกค้า แสดงความจริงใจอย่างเปิดเผย ไม่ใช่คิดแต่จะ
ขายของเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์
กับลูกค้า อธิบายข้อโต้แย้งต่าง ๆ ของลูกค้าอย่างจริงใจ ตลอดจนให้คำ
แนะนำวิธีการใช้สินค้าอย่างปลอดภัย และให้คิดเสมอว่าบริการที่ดีนั้นก็มี
ความสำคัญไม่แพ้เรื่องคุณภาพสินค้าที่ดีเลย

พยายามแต่พอดี

นักขายที่ดีควรรู้ว่าเมื่อไรที่ควรหยุด รู้จักสังเกตปฏิกิริยาของลูกค้า จาก
การปฏิเสธด้วยเหตุผลและท่าทีต่าง ๆ หากพบว่าลูกค้าไม่พร้อมที่จะซื้อ
สินค้าของคุณก็ไม่ควรตื๊อให้เสียลูกค้า จะเป็นการดีกว่าหากคุณเลือกที่จะจบ
การสนทนาด้วยการขอบคุณลูกค้าที่ให้โอกาสคุณได้นำเสนอ และแสดงความ
เข้าใจในเหตุผลของลูกค้า เพื่อรักษาสัมพันธภาพในระยะยาวเอาไว้

ศึกษาจากคนเก่ง

ขอคำแนะนำและศึกษาวิธีการขายจากนักขายที่ประสบความสำเร็จ
ประสบการณ์จากนักขายที่มีชั่วโมงบินสูงนี่แหละที่จะ ให้ประโยชน์กับคุณ
อย่างมาก หาโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับนักขายมืออาชีพ
ในวงการของคุณ คุณจะได้เรียนรู้กลยุทธ์ต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณ
เข้าใกล้เป้าหมายของคุณได้ง่ายขึ้น

การค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area)


AEC การค้าเสรีอาเซี่ยน


การเปิดเสรีด้านการค้า 
เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2535 โดยมีการทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2553 นี้ประเทศอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบรูไน จะต้องลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือ 0% ในรายการ Inclusive List ขณะที่ ประเทศสมาชิกใหม่อีก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม ต้องทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรจนเหลือ 0% ภายในปี 2558 การเปิดเสรีการค้าของอาเซียนทำให้สินค้าส่งออกหลายรายการของไทยได้เปรียบคู่แข่งในอาเซียนในขณะที่สินค้าบางรายการต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงขึ้น
สินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศแล้วจะได้เปรียบดังนี้
ประเทศอินโดนีเซีย อาทิ ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์ ยาง และ เฟอร์นิเจอร์
ประเทศมาเลเซีย อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์
สินค้าที่ไทยต้องปรับตัวสู้
ประเทศอินโดนีเซีย อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผ้าผืน เม็ดพลาสติก
ประเทศฟิลิปปินส์ อาทิ ยางพารา ผ้าผืน
ซึ่งแนวทางในการปรับตัวของสินค้าเกษตร ได้แก่ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพันธุ์พืช การพัฒนาระบบชลประทานและการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว รวมถึงการแปรรูปวัตถุดิบขั้นต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอีกด้วย ในส่วนของแนวทางปรับตัวของสินค้าอุตสาหกรรมนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาแข่งขันด้านคุณภาพแทนการแข่งขันด้านราคา โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า สาเหตที่ทำให้สินค้าส่งออกของไทยบางรายการแข่งขันได้ยากนั้น ส่วนนึงเป็นเพราะมีปัญหาในทางปฏิบัติที่เป็นข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง AFTA อาทิ ปัญหาเกี่ยวกับกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs) การที่บางประเทศยังคงปกป้องผู้ผลิตในประเทศของตน รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการของไทยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลง AFTA เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาทที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้การใช้ประโยชน์จาก AFTA มีมากขึ้น

 http://www.thai-aec.com/32#ixzz20MLGCJ5R

เทคนิคการจำชื่อคนให้แม่น


จำชื่อให้แม่น

6 ขั้นตอนในการจำชื่อคนให้แม่น



คุณมีปัญหาเกี่ยวกับการจำชื่อคนหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ถ้ามี ลองนำเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้ไปลองใช้ดูสิครับ

1. เมื่อแรกพบหน้า ให้คุณมองหาสิ่งที่เป็นลักษณะพิเศษบนใบหน้าของบุคคลนั้น (มองเฉย ๆ อย่างสุภาพนะครับ ไม่ต้องถึงกับลงมือสำรวจ หรือกระทำให้เสียอาการแต่อย่างใด) เช่นไฝ ปาน ขี้แมลงวัน แผลเป็นบนใบหน้า ลักษณะรูปร่างของจมูก หรือรูปร่างของเรียวปาก เมื่อคุณได้พบหน้าคนนี้ครั้งต่อไป ลักษณะพิเศษที่คุณได้จดจำเอาไว้มันจะเด่นออกมาในความรู้สึกคุณ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้จดจำเขาได้

2. เมื่อเขาได้แนะนำชื่อให้คุณรู้จัก ต้องตั้งใจฟังชื่อเอาไว้ให้ดี

3. เมื่อได้ยินชื่อแล้ว ให้แปลชื่อนั้นไปเป็นภาพในหัวของคุณ เช่นถ้าคนนั้นชื่อคุณธนชาติ คุณอาจจะคิดภาพของธนบัตรที่เป็นรูปธงชาติ หรือชื่อสมบัติ ก็ให้นึกถึงหีบสมบัติที่มีทรัพย์สินเงินทองล้นออกมามากมาย (วาดภาพให้เวอร์ๆ ไว้ครับ แล้วจะทำให้คุณจำได้แม่น) ลูกน้องผมคนนึงชื่อ Barry ผมก็นึกถึงข้าว Barley ซึ่งออกเสียงคล้ายๆ กัน

4. ขั้นตอนต่อไปให้กล่าวทักทายด้วยการเอ่ยชื่อคนนั้น แทนที่จะกล่าวว่าสวัสดีหรือยินดีที่ได้รู้จัก เฉยๆ เช่นเมื่อเขาแนะนำว่าเขาชื่อสมชาย ให้คุณกล่าวทันทีว่า "สวัสดีครับคุณสมชาย" หรือ "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณสมชาย"

5. ในขณะที่คุณได้กล่าวชื่อของเขาอยู่นั้นก็ให้นึกถึงภาพในใจที่คุณสร้างขึ้นมาหรือนึกถึงลักษณะพิเศษบนใบหน้าของผู้นั้น

6. ตลอดระยะเวลาที่คุณพบบุคคลนั้นให้หมั่นทบทวนในใจถึงชื่อของเขาและภาพเชื่อมโยงที่ท่านสร้างขึ้นมา

รับรองครับว่าถ้าท่านนำวิธีนี้ไปใช้่ท่านจะจำชื่อคนได้แม่นขึ้นกว่าเดิมแน่นอน แล้วพบกันใหม่ครับ



ความหมายของ "ความจำ" เป็นคำที่ใช้อธิบายวิธีการที่ข้อมูล หรือสิ่งที่เรียนรู้ถูกบันทึก และเก็บไว้ถาวรในความจำระยะยาวและสามารถที่จะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้ ความรู้ที่นักเรียนเรียนรู้แล้วแต่จำไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์ นักเรียนส่วนมากจะไม่มีวิธีการเรียนและวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพ วิธีทั่วๆไป
ที่นักเรียนใช้อยู่เสมอ เช่น การอ่านทบทวนการสรุปและการขีดเส้นใต้ใจความสำคัญนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยความจำ ความจริงแล้วมนุษย์เราได้ค้นพบวิธีช่วยความจำ (Memonic Device) ที่ได้ผลดีมากมานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว เยสท์ ลูเรีย ฮันท์ และเลิฟ (Yates, 1966 Luria, 1968 Hunt and Love, 1972) พบว่า การสอนเทคนิคในการช่วยความจำให้แก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้เก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้ในความทรงจำได้นาน ๆ
เทคนิคช่วยความจำที่ใช้กันอยู่มีทั้งหมด 6 วิธี คือ
(1) การสร้างเสียงสัมผัส
(2) การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ
(3) การสร้างประโยคที่มีความหมายจากอักษรตัวแรกของกลุ่มของที่จะจำ
(4) วิธี Pegword
(5) วิธีโลไซ (Loce)
(6) วิธี Keyword ซึ่งเป็นวิธีที่ใหม่ที่สุด

เทคนิคการเรียกเงินเดือนในการสมัครงาน

เทคนิคการสมัครงาน



เทคนิคการหางานทำ – ควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่?


คำถามนี้  คงเป็นที่คาใจของหลายคน  โดยเฉพาะบัณฑิต

ใหม่ๆ   เมื่อคุณยังไม่เคยทำงานมาก่อน  ไม่แปลกหรอกที่

คุณไม่รู้เกี่ยวกับตัวเลขพวกนี้  แต่บางคนคงพอรู้มาบ้าง

จากรุ่นพี่  ญาติ  เพื่อน  หรือบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาแนะนำใน

มหาวิทยาลัย

ฉันเชื่อ  การที่คุณตัดสินใจสมัครงานสักงานหนึ่ง  คุณน่า

จะมีประมาณการตัวเลขนี้ไว้ในใจแล้ว
  เพราะในสาย

วิชาชีพที่คุณจบมา  มักมีการพูดถึงตัวเลขเหล่านี้อยู่เสมอ

เช่น  รุ่นพี่คนนี้จบสังคมสงเคราะห์  ไปทำงานเลขานุการ

กรรมการผู้จัดการ  บริษัทเอบีได้เงินเดือน 10,000.-บาท

หรือรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง  จบหนังสือพิมพ์  ไปทำงานนักข่าว

สายการเมืองกับหนังสือพิมพ์กขได้เงินเดือน  15,000.-

บาทเป็นต้น