Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

การบำรุงสีรถให้ใหม่เสมอ

วิธีการบำรุงรักษาสีรถอย่างถูกวิธี


การล้างรถที่ถูกวิธี

1.             ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด

2.             ควรล้างด้วยน้ำสะอาดหรือล้างด้วยแชมพู

3.             ควรล้างรถจากส่วนบน ลงล่าง โดยการใช้ผ้านุ่ม เช่นผ้าสำลี ซึ่งควรคะนำมาแช่น้ำไว้สัก   3 คืน และถ้าใส่  

                น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ยิ่งดีครับ และการล้างรถนั้น ขอแนะนำให้แบ่งผ้าออกเป็น 2 ผืน

                คำแนะนำ.. (อย่าใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะอาจจะมีเม็ดกรวดทรายฝังตัวอยู่ในรูฟองน้ำ)

                                                                                              

ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง กระจกรถทั้งหมด

ผืนที่สอง ใช้สำหรับล้างส่วนด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ทั้งหมด

เหตุผลที่ต้องแยกเนื่องจาก โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านส่วนล่างของรถมีฝุ่นมาก

4.             ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด

5.             อย่าล้างรถกลางแดด เพราะแดด จะทำให้น้ำบนรถแห้งเร็ว และเกิดคราบน้ำขึ้น

 

การล้างรถโดยใช้ถังใส่น้ำล้าง

1.             การล้างรถแบบนี้ ควรจะเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรกที่ผสมอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วยบนรถได้ (วิธีการนี้ ไม่แนะนำให้ทำ …. แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องหมั่นซักผ้าและเปลี่ยนน้ำ)



ข้อควรระวังในการล้างรถ

1.             ไม่ควรล้างรถตอนเย็น ด้วยตนเอง เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิม ในบางจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง หรือไม่สามารถเช็ดแห้งได้ ยกเว้นแต่จะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้งหรือจะขับรถต่อไปเป็นระยะทางไกล ลมจะช่วยให้ทุกซอยทุกมุม แห้งสนิท

2.             ไม่ควรล้างรถกลางแดด เนื่องจากแสงแดด จะทำให้น้ำแห้งเร็ว และทำให้เกิดคราบน้ำบนสีรถขึ้น


การเช็ดรถที่ถูกวิธี

1.             ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้ จะไม่ทำให้รถเป็นรอย แต่ถ้าผ้าชามัวร์แท้ ควรจะระวัง เวลาที่ผ้าชามัวร์แห้งสนิท จะแข็งตัว และเมื่อจะทำมาเช็ดรถ ก็ควรจะนำผ้าชามัวร์นั้น จุ่มน้ำให้เปียกจริง ๆ ทั้งผืน ก่อนเช็ดรถ เพราะถ้าไม่เปียกทั้งผืน แสดงว่ายังมีส่วนที่ยังไม่โดนน้ำที่ยังแข็งอยุ่ ซึ่งอาจทำให้สีรถเป็นรอยได้ง่าย

2.             การเช็ดรถนั้น ควรเช็ดตั้งแต่แผงบนก่อน เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมดก่อน ไล่ลงมาด้านล่างของรถ จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อไงครับ

3.             ส่วนของรถดังต่อไปนี้ไม่ควรหลีกเลี่ยง  ควรเช็ดให้แห้งที่สุด

3.1          ด้านในขอบประตูทั้งหมด

3.2          ด้านในกระโปรงหลัง

3.3          ด้านในฝาถังน้ำมัน

3.4          กระจกหน้ารถ เพื่อให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ ชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบัง หรือระคายเคืองสายตา

3.5          ล้อแม็กซ์  ควรจะเช็ด ด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเป็นคราบน้ำน่าเกลียด และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้น จะเช็ดออกยาก จนถึงเช็ดไม่ออก





การดูแลรักษาสีรถยนต์ โดยวิธีการเคลือบสีรถด้วยตนเอง

1.             ล้างรถให้สะอาด ตามวิธีการข้างต้น

2.             เช็ดรถให้น้ำหมาด ๆ

3.             เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่ม ขอเน้นว่าผ้านุ่มนะครับ ที่มีน้ำหมาด ๆ

4.             เช็ดบนตัวรถ โดยวนเป็นก้นหอย ให้ทั่วบริเวณตัวรถ

5.             ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่รถบุไว้ข้างกระป๋อง เพราะแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกันครับ(ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที) แต่บางยี่ห้อเคลือบเสร็จเช็ดออกเลยก็มี เพราะถ้าปล่อยไว้นาน จะทำให้หนืดเช็ดยากนะครับ

6.             ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้านุ่ม เช็ดน้ำยาออกให้หมดทั่วตัวรถ

 

ความแตกต่างในการขัดเคลือบสี และการเคลือบสีเพียงอย่างเดียว



การขัด (ถ้าเป็นที่คาร์แลค 68 จะเรียกว่าการขจัดคราบไคล) และเคลือบสี

                คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออกไป คือทำให้รถมันมีประกายดัวยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้องความใส สวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มีคราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำไม่เกาะและฝุ่นไม่เกาะ รถไม่หมอง                

นอกจากจะให้ความสวย ใส เงา งามของรถ แล้ว ยังให้การปกป้องผิวสีรถจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ แสงแดด ยางมะตอย ริ้วรอย มูลนก ยางไม้ และมลภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้สีรถเสียหายได้อีกด้วยครับ



หมาย เหตุ : เพื่อนสมาชิกบางท่านอาจจะกลัวว่า การขัดเคลือบสีนั้น จะทำให้หน้าแลคเกอร์ผิวสีรถบางลง แต่ถ้าเป็นที่ศูนย์บริการมาตรฐาน เคลือบสีของคาร์แลค 68 ความกังวลเรื่องดังกล่าวจะหมดไป เรากล้ารับประกันว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องสีรถหรือหน้าแลคเกอร์บางลงอย่างแน่ นอน แต่ถ้าศูนย์บริการอื่น อันนี้ต้องระวังนะครับ เพราะอุปกรณ์ น้ำยา บางชนิดจะทำให้ผิวแลคเกอร์ของรถบางลงได้ครับ



การเคลือบสีรถ..              

                เป็นการปกป้องสีรถเช่นกัน  แต่สีรถอาจจะดูหมอง ๆ เนื่องจากการเคลือบสีอย่างเดียวบ่อย ๆ นั้น ถ้าบนผิวสีรถ มีคราบสกปรกฝังอยู่ ก็จะทำให้ผิวสีรถไม่ใส แล้วถ้าเคลือบทับไปบ่อย ๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้น ฝังตัวแน่นขึ้นด้วย แล้วถ้าแย่ไปกว่านั้น ถ้ามีละอองสี ยางมะตอยฝัง หรือคราบมลภาวะที่สามารถทำลายสีรถติดอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน แล้วเคลือบทับลงไป จะทำให้สิ่งเหล่านี้   ไปกัดกิน ผิวสีรถได้ และทำให้รถดูหมองแต่ในขณะเดียวกันก็ไเป็นการป้องกันผิวสีรถเช่นกันครับ

กลยุทธ์สื่อโฆษณา

หลังจากได้เข้าใจบทบาทของการส่งเสริมการ ตลาด ตลอดจนข้อความที่สื่อถึงภาพลักษณ์ในกลยุทธ์โฆษณาแล้ว ขั้นต่อไปคือ การวางแผนด้านสื่อ เพื่อจะส่งข่าวสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
           การวางแผนสื่อโฆษณาจัดว่าเป็นงานที่ท้าทาย ในการวางแผนการตลาด งานที่เกี่ยวกับสื่อโฆษณาจะมีสองส่วน คือ การวางแผนและการบริหาร เป้าหมายของการวางแผนสื่อโฆษณา เพื่อใช้เป็นสื่อที่จะนำข้อความข่าวสารไปยังผู้บริโภคเป้าหมายด้วยต้นทุนถูก ที่สุด และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่างๆ
           การวางแผนสื่อโฆษณา หมายถึง การจัดการสื่อต่างๆ ให้ผสมผสานอย่างเหมาะสม และสามารถสนับสนุนกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดและการส่งเสริมการขาย ส่วนการบริหารสื่อโฆษณา หมายถึง การเจรจาต่อรอง การจัดซื้อ การพิจารณาประเภทของสื่อ การกำหนดงบประมาณในการใช้สื่อ ตลอดจนการประเมินผลสื่อโฆษณา  แผนสื่อโฆษณาจะประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน ดังนี้
    • วัตถุประสงค์ของโฆษณา
    • กลยุทธ์สื่อโฆษณา
    • ตารางปฏิทินที่กำหนดไว้ และงบประมาณสื่อโฆษณา
ขั้นที่ 2 กำหนดวัตถุประสงค์การใช้สื่อโฆษณา (Set the Media Objectives)
วัตถุประสงค์การตลาดต้องมีความชัดเจนในประเด็นต่อไปนี้
  • ใครคือกลุ่มที่เราต้องการจะสื่อสารถึง (Target Audience)
  • สื่อโฆษณาของเราจะครอบคลุมพื้นที่ใด (Geography)
  • สื่อโฆษณาของเราจะปราฏเมื่อใด (Seasonality)
  • สื่อโฆษณาชนิดนั้นๆ มีน้ำหนักเพียงพอเพียงใดที่จะบรรลุเป้าหมายโฆษณา (Media Weight Levels)
          ต่อไปนี้เราจะอธิบายรายละเอียดของวัตถุประสงค์ทีละข้อ ดังนี้
กลุ่มผู้รับข่าวสารเป้าหมาย (Target Audience)

เราอาจให้คำจำกัดความหมายของกลุ่มนี้ในสองลักษณะ ดังนี้

กลุ่มเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Strategic Target)
โดยสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อและการใช้ เช่น มารดาเป็นผู้ซื้อแป้งเด็ก แต่ผู้ใช้สินค้าตัวนี้คือเด็ก

กลุ่มเป้าหมายเชิงประชากรศาสตร์ (The Demographic Target)
โดยสัมพันธ์กับลักษณะประชากร เช่น เพศ อายุ อาชีพ เขตที่อยู่อาศัย เป็นต้น ในบางครั้งแผนการตลาดของเราอาจมีกลุ่มเป้าหมายย่อย เช่น คู่ค้าของเรา พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก เราจะต้องมีแผนสื่อโฆษณาที่แยกออกมาต่างหาก
ตัวอย่างการกำหนดกลุ่มผู้รับข่าวสารเป้าหมาย มีดังนี้
  • กลุ่มเป้าหมายสำหรับบริษัทที่ขายไส้กรอก
  • กลุ่มผู้ซื้อไส้กรอกสำหรับครอบครัว
  • ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 18 ถึง 49 ปี
  • รายได้ต่อครัวเรือน 30,000 ถึง 50,000 บาท
  • จำนวนสมาชิกในครอบครัว ตั้งแต่ 2 ถึง 3 คนขึ้นไป
  • เขตพื้นที่ซึ่งสื่อครอบคลุมถึง
                     เขตพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ในแผนสื่อโฆษณานั้น ขึ้นกับกลยุทธ์การตลาดและศักยภาพการขายของแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในการกำหนดการใช้สื่อตามประเภทของพื้นที่ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
    • ขนาดตลาดและการเติบโตของเขตพื้นที่แต่ละเขตตลาด
    • กลยุทธ์และกิจกรรมด้านสื่อโฆษณาของคู่แข่งขัน
    • ศักยภาพของผู้บริโภคในสินค้าของเรา
    • แนวโน้มยอดขายของสินค้าเรา
                     โดยปกติแล้วเราพึงวิเคราะห์ยอดขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเขตการขายอย่างรอบคอบ ถ้าเขตตลาดที่มีศักยภาพสูง แนวโน้มดีต่อการขายสินค้าเรา เราอาจเพิ่มน้ำหนักของสื่อในเขตตลาดดังกล่าวให้มากกว่านี้ ขณะเดียวกันลดน้ำหนักการใช้สื่อสำหรับตลาดที่มีศักยภาพต่ำ จนกว่าจะมีการแก้ไขปัญหาการตลาดอื่นๆ แล้ว
          
           ตัวอย่างการกำหนดสื่อโฆษณาโดยยึดตามภูมิศาสตร์ มีดังนี้
  • กำหนดสื่อเพื่อสนับสนุนสินค้าซึ่งเราวางตลาดอยู่แล้วทั่วประเทศ
  • กำหนดสื่อเพื่อสนับสนุนช่วงการแนะนำเครื่อง มือใหม่ของเราอย่างเต็มที่ ในเขตเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมๆ กับหน่วยบริการที่จะสนับสนุนการขาย
  • ให้เพิ่มน้ำหนักการใช้สื่อขึ้นอีกร้อยละ 50 กับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างยอดขายของสินค้าเรา
  • การกำหนดช่วงวัน เวลา ฤดูกาล ที่ถูกต้องเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง ทั้งนี้เราต้องมีการทบทวนดูความสัมพันธ์ของฤดูกาลของยอดขายของสินค้าเรา ประกอบด้วย หรือในช่วงที่ผู้บริโภคมีเงื่อนไขที่จะซื้อสินค้าของเรานั้น เราควรจะสนับสนุนด้วยน้ำหนักสื่อโฆษณาที่มากขึ้นด้วย
          หลักการทั่วไปคือ ช่วงก่อนเริ่มต้นฤดูกาลการขายเราควรจะใช้สื่ออย่างหนัก ขณะเดียวกันต้องพิจารณาและติดตามพฤติกรรมการใช้สื่อของคู่แข่งขันที่ผ่านมา ในอดีต และคาดคะเนถึงการใช้สื่อของคู่แข่งขันในปีนี้

          ตัวอย่างวัตถุประสงค์การใช้สื่อโดยพิจารณาในประเด็นของ ช่วงระยะเวลา คือ“เราจะมีการใช้สื่อโฆษณาเพื่อสนับสนุนการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเน้นหนักในช่วงฤดูการขาย คือ เดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม และเดือนมีนาคาถึงเดือนพฤษภาคม
น้ำหนักของสื่อโฆษณา (Media Weight Goals)
น้ำหนักของสื่อโฆษณาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า “สื่อที่กำหนดนั้นมีความพอเพียงหรือไม่?” ซึ่งการพิจารณาเราจะประเมินในรูปของเชิงปริมาณ ในเรื่องของความตระหนักและทัศนคติ เพื่อนำไปสู่ยอดขายตามที่คาดการณ์ไว้ สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ พิจารณา Rating Points, Reach, Frequency และ GRPs  ในเรื่องการประเมินผลสื่อโฆษณานั้น ในวงการสื่อนั้นจะมีเกณฑ์ในการประเมินดังนี้
Rating Point หมายถึงร้อยละ 1 ของประชากรที่จะประเมิน ประชากรในที่นี้อาจหมายถึงครัวเรือน, บริษัท, สุภาพสตรี, เด็กๆ, ผู้ชาย, บริษัทในอุตสาหกรรม ฯลฯ ขึ้นกับว่าเราจะใช้ตัวใดเป็นประชากร ถ้าประชากรหมายถึงจำนวนครัวเรือนในเขตเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง คือ จำนวน 5,000,000 ครัวเรือน Rating Point ย่อมหมายถึงร้อยละ 1 ของ 5,000,000 ครัวเรือนนี้ คือจำนวน 50,000 ครัวเรือน สำหรับ GRP (Gross Rating Point) เป็นการวัดว่า น้ำหนักของสื่อนั้น มีมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับสื่อชนิดอื่นๆ ถ้าเราซื้อสื่อซึ่งมีน้ำหนัก 100 GRP ของครัวเรือนในเมืองใหญ่แห่งนี้ นั้น แปลว่าเราซื้อจำนวนครัวเรือนทั้งหมดในเมืองนั้น เพื่อจะรับสื่อของเรา คือจำนวน 5,000,000 ครัวเรือน และโดยข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อโฆษณาของเราได้เผยแพร่ออกไป บางบ้านอาจได้เห็นโฆษณานี้จำนวนมากกว่า 1 ครั้ง บางบ้านอาจไม่ได้เห็นโฆษณาชิ้นนี้ของเราเลย ดังนั้นบางคนอาจเห็นโฆษณาชิ้นนี้หลายๆ ครั้ง แต่บางคนไม่เห็นชิ้นงานโฆษณาของเราเลย
Reach หมายถึง จำนวนครัวเรือน หรือบุคคลที่เห็นชิ้นงานโฆษณาของเราอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว
Frequency หมายถึง จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่กลุ่มเป้าหมายจะเห็นหรือได้ยินโฆษณาของเรา ตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้
GRPs จึงแสดงถึงผลรวมทั้งหมดของปริมาณการได้รับการสื่อสารของงานโฆษณาของเราใน กลุ่มประชากรทั้งหมด เราสามารถคำนวณได้ดังนี้ คือ Percent Reach X Frequency = Total GRPs

ตัวอย่างเช่น สื่อรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่มีผู้ชมร้อยละ 80 แต่ละคนได้ชมชิ้นงานโฆษณานี้โดยเฉลี่ย 10 ครั้ง ดังนั้นค่า GRP = 80 x 10 = 800 

           ตารางต่อไปนี้เป็นตารางจากผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Reach, Frequency และ GRP ของรายการสื่อโฆษณาประเภทต่างๆ ซึ่งผู้บริหารสามารถเปรียบเทียบได้ว่า สื่อแต่ละชนิดจะให้ค่า GRP เท่ากับเท่าใดและเราต้องยิงความถี่กี่ครั้ง
           เราอาจประมาณการสื่อโฆษณาต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, การส่งแผ่นพับทางไปรษณีย์ เพื่อหา GRP ได้ดังนี้
    • นิตยสาร อัตราร้อยละของการเข้าถึง (Reach) คิดจากยอดพิมพ์/จำนวนครัวเรือนทั้งหมดในตลาด หรือยอดผู้อ่าน/ประชากรทั้งหมด ส่วนจำนวนครั้งที่ลงโฆษณาคือค่าความถี่ (Frequency)
    • หนังสือพิมพ์ อัตราร้อยละของการเข้าถึง (Reach) คิดจากยอดพิมพ์/จำนวนครัวเรือนทั้งหมดในตลาด หรือยอดผู้อ่าน/ประชากรทั้งหมด ส่วนจำนวนครั้งที่ลงโฆษณาคือค่าความถี่ (Frequency)
    • แผ่นป้าย โฆษณากลางแจ้งจากที่ตั้งกลางแจ้งใน 4 สัปดาห์ จะสามารถเข้าถึง (Reach) จำนวนคนที่เห็นแผ่นป้ายโฆษณาได้ร้อยละ 85 และความถี่ (Frequency) คือจำนวนครั้งของการเห็น เท่ากับ 15 เป็นต้น
    • การสื่อสารทางไปรษณีย์โดยตรง(Direct Mail) อัตราร้อยละของการเข้าถึง (Reach) คือ จำนวนชิ้นเอกสารโฆษณาที่ส่งทางไปรษณีย์/จำนวนเป้าหมายครัวเรือนทั้งหมด ส่วนจำนวนครั้งที่ส่งไปในแต่ละบ้านตามรายชื่อที่กำหนดไว้ คือ ค่าความถี่ (Frequency]
 โดยปกติแล้วการใช้สื่อโฆษณาเราอาจมีการให้น้ำหนักของ สื่อ โดยใช้หลายๆ สื่อผสมผสานกัน ขึ้นกับงบประมาณและประสิทธิภาพของแต่ละสื่อ เพื่อให้เกิด GRP สูงสุด ในการกำหนดงบประมาณการใช้สื่อโฆษณา เราอาจพิจารณาจาก 2 วิธีการ ดังนี้คือ
1) พิจารณาการใช้งบสื่อโฆษณาจากน้ำหนักสื่อโฆษณา (Media Weight Goal) โดยวิธีมหภาค (Macro Method) เป็น การกำหนดเป้าหมายโดยพิจารณาจากฐานตลาดในอุตสาหกรรม เป้าหมายดังกล่าวมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วในแต่ละปี เราอาจมีการใช้ 2 วิธีการ ดังนี้

           1.1) ตั้งงบประมาณโฆษณาเมื่อเทียบกับยอดขาย
แล้วปันส่วนงบโฆษณาไปยังสินค้าแต่ละตัวที่พิจารณาแล้วว่า ต้องการให้ GRP ว่า มีค่ามากน้อยเพียงใด ดังตัวอย่าง

งบประมาณโฆษณาเมื่อเทียบเป็นร้อยละของยอดขาย 3

ยอดขายของสินค้าที่ประมาณการไว้ 100,000,000 บาท

งบประมาณโฆษณา (3% x 100 ล้านบาท) 3,000,000 บาท

ค่าใช้จ่ายในการผลิตโฆษณากำหนดไว้แล้ว 300,000 บาท

           ดังนั้นเหลือเป็นงบค่าสื่อเท่ากับ 2,700,000 บาท

           สมมุติว่าเราจะมีการลงโฆษณานิตยสารฉบับหนึ่งมูลค่าที่ลงต่อ 1 หน้าต่อครั้ง เท่ากับ 10,000 บาท และนิตยสารฉบับนี้มีค่า Rating เท่ากับ 2 นั้น หมายความว่า ค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อการซื้อสื่อโฆษณา 1 ครั้ง Cost Per Rating Point (CPP) = 10,000/2 = 5,000

           ดังนั้นงบประมาณ 2,700,000 บาทที่เราตั้งไว้จะเกิดค่า Media Weight เท่ากับ 2,700,000/5,000 = 540 GRPs

           1.2) ตั้งงบประมาณตามกิจกรรมด้านการตลาดและการโฆษณา
ซึ่งเราต้องการวัดผลด้าน Share of Media Voice และ Share of Market ของสินค้าเรา

SOV (Share of Media Voice) หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อโฆษณาคิดเป็นร้อยละ เมื่อเทียบกับงบประมาณการใช้สื่อโฆษณาของสินค้าประเภทเดียวกันทั้งหมดในตลาด

SOM (Share of Market) ยอดขายสินค้าของเราเมื่อเทียบ กับยอดขายทั้งหมดของสินค้าประเภทเดียวกันในตลาด   ทั้งนี้เป็นการพิจารณาเทียบกับคู่แข่งขันดังตัวอย่างต่อไปนี้

 
SOV
SOM
บริษัท
ล้านบาท
ร้อยละ
ล้านบาท
ร้อยละ
A
3.70
48%
941
39.1%
B
2.30
29
70
29.1
C
.69
9
386
16.1
D
1.05
14
380
15.7
รวม
7.74
100%
2,407
100%

  การตั้งงบประมาณเพื่อการใช้จ่ายในสื่อโฆษณาของเรานั้น เราต้องมีการนำข้อมูลคู่แข่งขันในตลาดเพื่อเปรียบเทียบด้วย เพื่อดูว่างบประมาณของเราสูงกว่าหรือต่ำกว่าคู่แข่งขัน และเมื่อเทียบกับยอดขายจะเป็นเช่นไร
           ในการพิจารณา SOV และ SOM เพื่อกำหนดน้ำหนักของสื่อโฆษณา อาจมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณากว้างๆ ดังนี้
    • Share of Voice โดยทั่วไปจะสามารถคาดคะเน Share of Market ได้
    • สินค้ายิ่งมีการใช้งบประมาณสื่อโฆษณา (Share of Voice) มาก แสดงว่ามีส่วนครองตลาดยิ่งมาก
    • ถ้า Share of Voice มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าส่วนครองตลาดหลายๆ ปีต่อกันแล้ว ส่วนครองตลาดจะหดตัวไปเรื่อยๆ ถ้าสถานการณ์หรือตัวแปรอื่นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง
2) พิจารณาการใช้งบสื่อโฆษณาโดยวิธีจุลภาค คือ จากตลาดเป้าหมาย           หลัง จากกำหนดการใช้สื่อเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายด้านมหภาคในวงกว้างแล้ว ขั้นต่อไปคือการให้น้ำหนักสื่อโดยดูจากกลุ่มตลาดเป้าหมายเฉพาะ โดยวิเคราะห์ในเชิงจุลภาค (Micro basis) ด้วยวิธีการนี้เราจะใช้หลักเกณฑ์ว่า ต้องการให้กลุ่มตลาดเป้าหมายเฉพาะของเราได้รับข่าวสารคิดเป็นร้อยละเท่าใด และบ่อยครั้งเพียงใด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความตระหนักในตรายี่ห้อ เปลี่ยนแปลงทัศนคติให้มีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อสินค้าของเรา และเกิดพฤติกรรมในการซื้อและใช้สินค้า เราควรมีการเก็บตัวเลขน้ำหนักของสื่อโฆษณาต่างๆ ย้อนหลังในปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นไปได้ให้เก็บตัวเลขถึง 3 ปี เพื่อพิจารณาว่า ระดับการใช้สื่อโฆษณาระดับใดสัมพันธ์กับยอดขายและพฤติกรรมการซื้อและการใช้ สินค้าอย่างไร ทั้งนี้มีความแตกต่างกันตามประเภทสินค้าและสถานการณ์ โดยเฉพาะกรณีการออกสินค้าใหม่ การจัดการส่งเสริมการขายตามเทศกาลต่างๆ การเปิดตัวสินค้าหรือองค์กร เราต้องพิจารณาว่า ควรมีการใช้ ความถี่ (Frequency) เพิ่มมากขึ้นเท่าใดเพื่อให้บรรลุผล การใช้ปริมาณความถี่จะใช้เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นขึ้นกับปัจจัยดังต่อไปนี้

การใช้ความถี่เพิ่มมากขึ้น
การใช้ความถี่ลดลง
สินค้าใหม่ สินค้าอยู่ตัวแล้ว
แคมเปญโฆษณาใหม่ แคมเปญโฆษณาอยู่ตัวแล้ว
ข้อความสื่อสารที่มีความซับซ้อน ข้อความที่สื่อสารง่ายๆ
หวังผลการใช้ครั้งแรก หวังผลการซื้อซ้ำ
คู่แข่งขันใช้ความถี่โฆษณามาก คู่แข่งขันใช้ความถี่โฆษณาต่ำ
ช่วงเทศกาลการขาย ลูกค้าและผู้ใช้สินค้ามีจำนวนคงที่


           เราคำนวณค่าน้ำหนักสื่อโฆษณา (Media Weight) โดยใช้สูตรเหมือนเดิม คือ Reach X Frequency = GRPs

           ตัวอย่างเช่น 80 x 9 = 720

           บริษัทเอเยนซี่โฆษณาจะมีสถิติตัวเลขข้อมูลเกี่ยวกับค่า GRPs ตามช่วงเวลาที่กำหนด อาจ เป็นรายเดือน หรือรายปี ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค และการบริการ

           ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายโดยพิจารณาจากน้ำหนักสื่อ (Media Weight) ของผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค คือ
  • ให้โฆษณาของเราสามารถเข้าถึง 1,200 GRPs สำหรับผู้ชมทั่วประเทศ ในปีงบประมาณของเรา
  • ให้โฆษณาของเราสามารถเข้าถึงผู้ชมร้อยละ 80 ถึง 85 ด้วยค่าความถี่เฉลี่ยเท่ากับ 4 ในสื่อโฆษณาหลักๆ

ขั้นที่ 3 เตรียมกลยุทธ์สื่อโฆษณา (Prepare the Media Strategy)
          กลยุทธ์สื่อโฆษณานั้นเราจะต้องครอบคลุมถึงสื่อต่างๆ ดังนี้
  • ส่วนผสมของสื่อโฆษณา (Summary of the Media Mix) โดยอธิบายถึงสื่อชนิดต่างๆ ที่จะใช้ เช่น นิตยสาร, การส่งสารทางไปรษณีย์, การใช้วิทยุ
  • การกำหนดรายละเอียดเฉพาะ (The Specific Use of Each Media) รายละเอียดเฉพาะของแต่ละสื่อ เช่น นิตยสารอะไร, คอลัมน์อะไร, ขนาดโฆษณาเท่าใด
  • ตารางเวลาการใช้สื่อ (The Scheduling of the Media) โดยอธิบายช่วงระยะเวลาของแต่ละสื่อที่ใช้ รายละเอียดของแต่ละประเด็นมีดังนี้
1. กลยุทธ์ส่วนผสมสื่อโฆษณา (Media Mix Strategy)
          
เราจะพิจารณาด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
           1.1 การเปรียบเทียบคุณค่า

           สื่อแต่ละสื่อจะมีข้อดี-ข้อด้อยต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
โทรทัศน์
  • จุดเด่น สร้างผลกระทบ (Impacts) ต่างๆ ในวงกว้าง เข้าถึงผู้ชมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมกว้างขวางใช้ความถี่ได้มาก นำเสนอภาพ, เสียง, การเคลื่อนไหวได้อย่างน่าดึงดูดใจ
  • จุดด้อย มีข้อจำกัดเรื่องความยาวของโฆษณา ค่าใช้จ่ายต่อการแพร่ภาพ 1 ครั้งจะสูง
วิทยุ
  • จุดเด่น เป็นสื่อที่เน้นความถี่ได้มาก ครอบคลุมเขตตลาดเฉพาะท้องถิ่นได้ดี, สร้างการรับรู้ให้กลุ่มผู้ฟังโดยไม่ตั้งใจได้ดี
  • จุดด้อย สร้างผลกระทบ (Impacts) ด้านการใช้เสียงเท่านั้น, Rating ต่ำ, การเข้าถึง (Reach) ช้าว่าโทรทัศน์มาก, มีข้อจำกัดความยาวของการสื่อสาร
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
  • จุดเด่น สร้างผลกระทบ (Impacts) ได้ทันที เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Reach) ในท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว การตอบสนองของกลุ่มเป้าหมายทำได้รวดเร็ว
  • จุดด้อย จำนวนผู้อ่านต่อฉบับน้อย, อายุเฉลี่ยของสื่อโฆษณาสั้นมาก, คุณภาพการพิมพ์จะต่ำ
นิตยสารสำหรับผู้อ่าน
  • จุดเด่น เสนอข้อความที่สื่อสารได้ยากกว่า, อธิบายรายละเอียดสินค้าได้มากกว่า, คุณภาพการพิมพ์ดีกว่า, สื่อส่งผ่านได้หลายๆ คน, เผยแพร่ให้กับผู้อ่านในวงกว้าง เน้นกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะ สามารถสื่อแคมเปญการส่งเสริมการขายได้ เช่น คูปอง, บัตรส่วนลดต่างๆ
  • จุดด้อย สร้างผลกระทบด้านภาพเท่านั้น และผลกระทบเกิดขึ้นค่อนข้างช้าต้องอาศัยความตั้งใจของกลุ่มเป้าหมายมากกว่า สื่ออื่นๆ จำนวนการเข้าถึงน้อยกว่าการใช้โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
ป้ายโฆษณากลางแจ้ง
  • จุดเด่น จำแนกประเภทสินค้าได้ชัดเจน, ปริมาณการเข้าถึงทำได้มาก, สร้างความถี่ได้ตลอดเวลา, มุ่งเน้นลูกค้าเฉพาะถิ่นได้ดี
  • จุดด้อย สร้างผลกระทบด้านภาพเท่านั้น, ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดข้อความเพื่อการสื่อสาร ได้มาก ไม่เหมาะที่จะสื่อครอบคลุมทั่วประเทศ
การสื่อสารโดยตรงทางไปรษณีย์
  • จุดเด่น สื่อสารข้อความได้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เลือกสรรแล้ว ติดตามผลการตอบสนอง(Response) ของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน เหมาะกับเครื่องมือส่งเสริมการขายจำนวนมาก คูปอง หรือบัตรส่วนลด มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลาและรูปแบบที่จะสื่อสาร
  • จุดด้อย สร้างผลกระทบด้านภาพที่ปรากฏแก่สายตา ง่ายต่อการถูกละเลย
1.2 การเลือกสรรส่วนผสมสื่อโฆษณาที่เหมาะสม
           หลังจากได้ประเมินคุณค่าของสื่อโฆษณาแต่ละอย่างแล้ว เราจะเลือกสรรสื่อโฆษณาอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจุดเด่น จุดด้อยของแต่ละสื่อ พร้อมๆ กับวัตถุประสงค์การใช้สื่อของเราว่าต้องการอะไร ในกรณีสินค้าใหม่ซึ่งต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวง กว้าง ไม่ควรที่จะใช้การสื่อสารทางไปรษณีย์ สินค้าที่มีความซับซ้อนเข้าใจยากไม่ควรใช้ป้ายโฆษณากลางแจ้ง การเปิดตัวของห้าง ณ เขตเมืองๆ หนึ่งไม่ควรใช้สื่อโทรทัศน์ เป็นต้น

           1.3 การประเมินสื่อแต่ละชนิดตามหลักของ CPM
           CPM
ย่อมาจาก Cost per Thousand (M ใน CPM ย่อมาจากคำว่า Mille ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า 1,000) ซึ่งหมายถึงต้นทุนเฉลี่ยในการใช้สื่อนำข่าวสารการโฆษณาให้ไปถึงผู้รับ 1,000 คน ใน 4 สัปดาห์ ว่าเป็นเงินเท่าใด CPM ยิ่งต่ำยิ่งถือว่ามีประสิทธิภาพ

           ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าเวลาทางสถานีโทรทัศน์สำหรับโฆษณา 30 วินาที ในรายการหนึ่ง มีค่าเท่ากับ 100,000 บาท และจำนวนผู้ที่ต้องการเข้าถึงคือ 5,000,000 ล้านคน
           ดังนั้นค่า CPM = ต้นทุน/จำนวนผู้รับข่าวสาร X 1,000
= 100,000/5,000,000 X 1,000
= 20 บาท
           เราต้องมีการประเมินผลค่า CPM ของแต่ละสื่ออย่างสม่ำเสมอ โดยเปรียบเทียบค่า CPM ของสื่อต่างๆ และอย่าเลือกสื่อเพราะเห็นว่ามีค่า CPM ต่ำ เราพึงจะพิจารณาว่าเหมาะสมกับลักษณะสินค้าและดูถึงการใช้สื่อของคู่แข่งขัน ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม CPM จัดเป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพของต้นทุนการใช้สื่อที่ได้รับความนิยมมาก วิธีหนึ่ง

           1.4 การพิจารณาส่วนผสมสื่อโฆษณาของคู่แข่งขัน
          
เราต้องพิจารณาว่า คู่แข่งขันใช้ส่วนผสมสื่อโฆษณาอะไรบ้าง แต่ละสื่อใช้เมื่อใด ระดับของการใช้มากเพียงใด ถ้าคู่แข่งขันทุ่มงบประมาณไปยังสื่อเดียวกับสื่อหลักของเรา เราอาจต้องพิจารณาไปใช้สื่อลำดับรองลงมา โดยปกติแล้วไม่ว่าจะมีคู่แข่งขันหรือไม่ก็ตาม ควรจะกำหนดกลยุทธสื่อโฆษณาโดยมุ่งเน้นไปที่สื่อหลักของเรา เพื่อสร้างความต่อเนื่องสำหรับการเข้าถึงผู้รับสื่อพร้อมกับตอกย้ำความถี่ อย่างสม่ำเสมอดีกว่าการกระจายไปหลายๆ สื่อ แล้วเกิดผลกระทบที่บางเบา และยิ่งมีคู่แข่งขันในการใช้สื่อมากเท่าใด ยิ่งจำเป็นที่เราต้องบริหารสื่อหลักของเราให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะไปให้น้ำหนักกับสื่ออื่นๆ

           ตัวอย่างการกำหนดกลยุทธส่วนผสมของสื่อโฆษณา มีดังนี้
  • ใช้เครือข่ายโทรทัศน์ เพื่อครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันใช้สื่อโทรทัศน์ท้องถิ่น ณ ตลาดที่มีศักยภาพสูงตามเมืองใหญ่
  • ใช้นิตยสารผู้หญิงชั้นนำ 2 ฉบับแรก เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้หญิงทำงานและผู้หญิงแม่บ้านในวงกว้างทั่วประเทศ
2. กำหนดรายละเอียดเฉพาะของแต่ละสื่อ
          
รายละเอียดดังกล่าวนี้ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสื่อโฆษณา แต่ละสื่อจะมีการบอกรายละเอียดเฉพาะดังนี้
  • โทรทัศน์และวิทยุ วัน, เวลา ช่วงใด ช่วงปรกติ, ช่วง Prime Time (ช่วงเวลาที่มีผู้ฟัง/ผู้ชมมากที่สุด), ช่วงเที่ยงวัน, ช่วงเที่ยงคืน, รูปแบบรายการ, ความยาวของโฆษณาที่จะเผยแพร่
  • นิตยสาร รูปแบบ (ข่าว, กีฬา, สารคดี) ชื่อนิตยสาร, ขนาดของโฆษณา, ตำแหน่งทีวางโฆษณา ขาว-ดำ หรือสี สัดส่วน 1, 1/2, หรือ 1/3 หน้า คอลัมน์ในนิตยสาร, ประเภทนิตยสาร
  • หนังสือพิมพ์ - รายวัน, รายสัปดาห์, หนังสือพิมพ์แจกฟรี, ประเภทหนังสือพิมพ์, หนังสือพิมพ์แนวธุรกิจ, หนังสือพิมพ์กีฬา หรืออื่นๆ ขนาดหน้าโฆษณา สี่สีหรือขาวดำ
  • สื่อกลางแจ้ง ทำเลที่ตั้ง, ทิศทาง, ระดับความเด่น เพื่อให้เกิดการเข้าถึงของคน, ขนาดของป้าย สีสันและรูปภาพที่ใช้ และองค์ประกอบอื่นๆ
  • การส่งสารทางไปรษณีย์ ขนาด (ความกว้าง/ความยาว) จำนวนหน้า ปริมาณ สี-ขาวดำ
ตัวอย่างการใช้กำหนดกลยุทธ์สื่อ มีดังนี้
  • โฆษณาเต็มหน้า 4 สี ในนิตยสารสำหรับผู้หญิง ได้แก่ ดิฉัน, แพรว, ขวัญเรือน และนิตยสารทั่วๆ ไป ที่มีผู้นิยมอย่างเช่น ดาราภาพยนตร์
  • ใช้สปอตโฆษณาจำนวน 30 วินาที โดยออกอากาศในช่วงระหว่างวัน ร้อยละ 30, เวลาปกติ ร้อยละ 30, ออกอากาศช่วง Prime Time ร้อยละ 20 และที่เหลืออีกร้อยละ 20 คือช่วงเวลาหลังข่าว
3. กลยุทธ์ตารางเวลาการใช้สื่อ
          
ขั้นตอนนี้เป็นการพิจารณาว่าจะมีแผนตารางการใช้สื่ออย่างไร กลยุทธ์ดังกล่าวมี 5 วิธีการดังนี้

           3.1 ตารางการใช้สื่ออย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
           เป็นตารางที่แน่นอน ประจำ แม้แต่ในช่วงนอกฤดูการขาย

            3.2 ตารางการใช้สื่ออย่างมาก
          
เป็นการใช้สื่อที่กำหนดให้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างหนัก เพื่อสนับสนุนช่วงเวลาที่มีกิจกรรมทางการตลาด หรือการส่งเสริมการขายต่างๆ การเปิดตัวสินค้า เป็นต้น

           3.3 ตารางการใช้และไม่ใช้สลับกันไป
          
โดยการกำหนดรูปแบบที่แน่นอน เช่น เผยแพร่โฆษณา 2 สัปดาห์ และหยุดไป 2 สัปดาห์ แล้วค่อยเผยแพร่โฆษณาใหม่สลับกันไปจนเป็นรูปแบบประจำ

           3.4 กำหนดตารางใช้สื่อโฆษณาแล้วหยุดไม่ใช้
          
โดยกำหนดให้ใช้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ถึง 6 สัปดาห์ แล้วหยุดเลย เหมาะสำหรับการสนับสนุนแคมเปญส่งเสริมการขายระยะสั้นๆ ช่วงแนะนำสินค้า หรือส่งเสริมสินค้าช่วงฤดูการขาย

             3.5 กำหนดตารางการใช้สื่ออย่างมากเมื่อมีโฆษณาใหม่เพื่อทดแทนโฆษณาเก่า
          
กรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการออกแคมเปญโฆษณาใหม่, แนะนำสินค้าหรือเปิดตัวสินค้าใหม่

           ตัวอย่างกลยุทธ์การจัดการด้านตารางเวลาของสื่อโฆษณามีดังนี้
  • กำหนดตารางการใช้สื่ออย่างมากในช่วง Prime Time ทางโทรทัศน์ ในช่วงแนะนำสินค้า
  • คงระดับตารางการใช้สื่อโทรทัศน์ให้มากตอนกลางวัน ในทุกๆ รายการ
ขั้นที่ 4 พัฒนาแผนสื่อโฆษณาขั้นสุดท้ายพร้อมการปฏิบัติงานตามปฏิทิน และงบประมาณ
          
หลังจากมีการศึกษา ทบทวน และกำหนดวัตถุประสงค์ ตลอดจนกลยุทธ์ของสื่อโฆษณาต่างๆ แล้ว เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมการปฏิบัติงาน จะต้องมีการกำหนดปฏิทินของการปฏิบัติงานเพื่อจะได้เห็นภาพรวมของตารางการ ปฏิบัติงาน และเป็นกรอบในการควบคุมให้เกิดประสิทธิภาพใหม่ ดังตัวอย่างของตารางปฏิทินที่แนบท้าย
           นอกจากนี้ รายละเอียดของต้นทุน ค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาและให้ความสนใจอย่างยิ่งในแผนสื่อโฆษณา เราต้องมีการแสดงค่าใช้จ่ายของการใช้สื่อแต่ละประเภทเป็นรายไตรมาส และผลรวมทั้งหมด การทำงบประมาณจัดว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในการบริหารสื่อโฆษณา เพราะจัดเป็นค่าใช้จ่ายส่วนที่มาก และมีส่วนเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับงบประมาณแผนการตลาดอีกด้วย

ปีกุล

ปีกุน (หมู)
ชาย - หญิง ใดเกิดปีกุน - ธาตุน้ำ ชันษาเป็นมนุษย์ผู้หญิง มิ่งขวัญสถิตอยู่ที่กอบัวหลวงหรือกอบัวบก

ท่านผู้เกิดปีกุน ผู้เกิดปีนี้ ท่านว่ามักเป็นคนเห็นแก่กิน กินจุกกินจิก มักจะขี้โรคพยาธิมักเบียดเบียนเสมอๆ ไม่มีความกังวลในใจเรื่องที่อยู่อาศัย จะไปอยู่ไหนๆก็ได้มักง่าย ทำอะไรไม่ค่อยจะมีพิธีรีตอง คารมพูดจา ไว้ใจได้ไม่มีลับลมคมในหรือแอบแฝงด้วยกโลบายใดๆ เลย มักชอบเปิดเผย เก็บความลับไว้ไม่สู้จะอยู่ ใจกว้างกับเพื่อนฝูงเสมอไปเอาใจผู้บังคับบัญชาเป็นเยี่ยม อาสาเจ้านายเท่าไรเท่ากัน ต้องการเกียรติและชื่อเสียงชอบทำงานเอาหน้าในบางครั้งมักมีใจลำเอียงใน เรื่องไม่เป็นเรื่อง

สภาพส่วนตัวทั่วไป คนที่เกิดในปีนี้ เป็นชายมักมากชู้หลายเมีย พูดจาเอาอกเอาใจต่างเพศได้เป็นยอด แต่กับเพศเดียวกันมักไม่มีใครอยากคบด้วย นอกจากอาศัยเกาะกินด้วยเท่านั้น เป็นหญิง ท่านว่า เป็นแม่บ้านดีมาก มักใจน้อยกินเก่งหึงหวงเป็นอันดับหนึ่งเกิดที่นี่ มักไปได้ดี มีหลักฐานอยู่เป็นหลักแหล่งที่อื่น

ปีกุน ธาตุน้ำ ท่านว่า พื้นนิสัยใจคอ มักเป็นคนเป็นอยู่อย่างง่ายๆไม่มีพิธีรีตอง ชอบอาสาเจ้านาย เอาใจผู้บังคับบัญชาได้ยอดเยี่ยม ทำราชการจะก้าวหน้ารวดเร็วกว่าเพื่อนฝูง

ท่านผู้เกิดปีกุน สิริสิงที่เท้าซ้ายของพรหมพฤหัสบดี เป็นปากท่านว่า เจรจาพาทีมีเหตุผล คนเชื่อถือในคำพูดมักจะมีคนมาหาขอคำปรึกษาหารือ เป็นสมณะชีพราหมณ์ จะมีคนนับหน้าถือตา ได้เป็นสมภารเจ้าวัด มีลูกศิษย์ลูกหา ข้าทาสบริวารมากมาย

เสาร์เป็นใจ ท่านว่า เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็งทรหดอดทน ชอบอาสาเจ้านาย และว่ามักผูกใจเจ็บคนที่เคยทำให้เจ็บใจ หรือมาทำให้ตนไม่ดี โกรธง่ายหายยาก เจ็บแล้วมักจำแม่นำ

อังคารเป็นที่นั่ง ท่านว่า มีจิตใจมักมากในกามารมณ์ เป็นชายมักผิดลูกเมียเขา เป็นหญิงมักมีปานในที่ลับ มีเสน่ห์น่ารัก จูงใจคนต่างเพศดีมาก

ศุกร์กับอาทิตย์เป็นมือ ท่านว่า มักทำการงานรวดเร็วทันใจ ทำสิ่งใดได้ทุกอย่าง แต่จะเอาดีไม่ค่อยได้ มีนิสัยอดทนบึกบึนไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย อาสาเจ้านายหรือทำงานประจบเจ้านายได้เป็นเลิศ

จันทร์กับพุธเป็นเท้า มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว เดินเชื่องช้า เจ้าอารมณ์ครุ่นคิดในกามราคะมากสักหน่อย รู้จักเลือกคบคน หยิ่งในศักดิ์ศรี รักพวกรักฝูง นิยมแบ่งชั้นวรรณะ

ท่านผู้เกิดปีกุน ถ้าเกิดเวลากลางวัน ดีมีความสุขสบายไม่เดือดร้อนที่อยู่อาศัย หากเกิดเวลากลางคืน จะมักมากในเรื่องกามารมณ์ สุขกายแต่ไม่สบายใจ

ได้เมื่อปางศุภมิตร พานางแก้วกฤษณาไปกลางป่า ท่านผู้เกิดปีนี้ควรเอาดอกบัวหลวง บูชาพระในวันเกิด เดือนเกิด หรือปีเกิด จึงจะดีมีโชคลาภและ เป็นศิริมงคลต่อตนและครอบครัว

ทำนายตามลักษณะเดือนในปีกุน

ท่านผู้เกิดปีกุน เดือน 5-6-7 ได้แก่ หมูเทวดาเลี้ยง ธาตุน้ำตระพัง มักเกิดมาในกองเงินกองทอง แม้เกิดในสกุลที่ยากจนก็จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ทำราชการงานหลวงจะก้าวหน้ารวดเร็ว แม้ทำเรือกสวนไร่นา หรือทำมาค้าขายก็เจริญรุ่งเรืองมีผลกำไรมาก

ท่านผู้เกิดปีกุน เดือน 8-9-10 ได้แก่ หมูคนเลี้ยงไว้ในบ้าน ธาตุน้ำสระหลวง ท่านว่า มักมีสติปัญญาไหวพริบดี ซื่อสัตย์สุจริต คิดพึ่งใครไม่ได้ทำราชการการงานหลวงไม่ก้าวหน้า เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ เพราะทัศนะขัดกันทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายดีมีกำไรปานกลาง

ท่านผู้เกิดปีกุน เดือน 11-12-1(อ้าย) ได้แก่ หมูบายศรี ธาตุน้ำมนต์ ท่านว่า เจรจาพาทีซื่อสัตย์ มีศีลธรรมประจำมักยากไร้หาใครเป็นที่พึ่งไม่ค่อยได้ ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย พอมีอันจะกินไม่เดือดร้อนแต่จะสบายเมื่อวัยชรา จะมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู

ท่านผู้เกิดปีกุน เดือน 2 (ยี่) 3 - 4 ได้แก่ หมูป่าคาบแก้ว ธาตุน้ำท่าริมฝั่ง ท่านว่า มีจิตใจรักการงาน ทำอะไรมักหมกมุ่นจนประสบความสำเร็จในบุญสุนทร์ทาน ทำราชการจะก้าวหน้าได้ดี มีผู้ช่วยเหลือ ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายดีมีผลกำไรบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์

ทำนายตามลักษณะวันในปีกุน


วันอาทิตย์ หมูพระยาเลี้ยง มีอำนาจมาก บริบูรณ์ด้วยเงินทอง ดีนัก
วันจันทร์ หมูคนเลี้ยงไว้ฆ่ากิน มักถูกเขาหลอกลวง มิสู้ดี
วันอังคาร หมูเศรษฐีเลี้ยงไว้ จะมีทรัพย์สินมาก ดีนัก
วันพุธ หมูพิการ มักขี้โรค มิดีเลย
วันพฤหัสบดี หมูราชครู มักมีปัญญาดี มีความรู้ ดีนัก
วันศุกร์ หมูป่าขาหัก มักเข็ญใจ มิสู้ดี
วันเสาร์ หมูสาธารณะ มีมิตรสหายมาก ปานกลาง
ลักษณะวันและเดือนต่างๆ ในปีกุน

ท่านผู้เกิดวันอาทิตย์ วันเสาร์ หรือเกิดเดือน 5 เดือน 11 ได้แก่ หญิงขี่หมู ท่านว่าผู้นั้น มักมีกิริยาท่าทางเฉื่อยชา งุ่มง่าม ทำราชการไม่สู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายพอหาเลี้ยงตัวได้ มีทรัพย์สินเงินทองมักจะเก็บไว้ไม่อยู่ ท่านผู้เกิดวันจันทร์ หรือเกิดเดือน 6 เดือน 12 ได้แก่ พระยาขึ้นคานหาม ท่านว่าผู้นั้น มีบุญวาสนา ใจบุญมีคนนับหน้าถือตา จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ทั่วไป ทำราชการจะได้เป็นใหญ่ก้าวหน้าในราชการ ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายธุรกิจส่วนตัว จะมีผลกำไรทรัพย์มาก

ท่านผู้เกิดวันอังคาร หรือเกิดเดือน 7 เดือน 1 (อ้าย) ได้แก่ พระยานั่งแท่น ท่านว่าผู้นั้นจะมีอำนาจวาสนามาก มีเกียรติยศปรากฏในต่างเมือง เจรจาพาทีเป็นเสน่ห์ เป็นที่หลงรักของคนทั่วไป ทำราชการ จะได้เป็นหัวหน้าคน ทำเรือกสวนไร่นา พอประมาณ ทำการค้าธุรกิจส่วนตัวจะก้าวหน้ารุ่งเรือง

ท่านผู้เกิดวันพุธ หรือเดือน 8 เดือน 2 (ยี่) ได้แก่ เทวดาขี่ช้าง ท่านว่าผู้นั้น ชอบอาสาเจ้านาย ทำราชการจะเจริญก้าวหน้า มีหน้าที่ มีเกียรติ คนเกรงกลัวอำนาจราชศักดิ์ ทำมาค้าขายไม่สู้ดี ทำเรือกสวนไร่นาพอปานกลาง เกิดที่นี่มักไม้ดีมีฐานะทรัพย์สินในต่างเมือง

ท่านผู้เกิดวันพฤหัสบดี หรือเกิดเดือน 9 เดือน 3 ได้แก่ พระยานั่งแท่น ท่านว่าผู้นั้นจะมีบุญอำนาจ วาสนา มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ทำราชการดีมียศสูง ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย จะมีกำไร มีทรัพย์มาก ข้าทาสบริวารมาก ผู้คนมักยำเกรง แต่มักอาภัพคู่ครอง

ท่านผู้เกิดวันศุกร์ หรือเกิดเดือน 10 เดือน 4 ได้แก่ เทวดาขี่นาคราช ท่านว่าผู้นั้นมักใจร้อนรน กระวนกระจายใจ เจรจาสิ่งใด มักเอาใจตนเองเป็นใหญ่ ใจเร็วด่วนได้ ทำราชการมักไม่สู้จะถูกกันเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน ทำเรือกสวนไร่นามักมีศัตรูมาก ทำการค้าธุรกิจมักขาดทุน

ปีจอ

ปีจอ (สุนัข)
ชาย - หญิง ใดเกิดปีจอ ธาตุดิน ชันษาเป็นผีเสื้อผู้หญิง มิ่งขวัญสถิตอยู่ที่ต้นสำโรงและครอบครัว

ท่านผู้เกิดปีจอ ผู้เกิดปีนี้ ท่านว่า เป็นคนชอบอาสาเจ้านาย และชอบทำตัวให้เด่นในสังคมทั่วไปมักเป็นคนที่ผู้ใหญ่สนับสนุนให้ความ อุปถัมภ์ค้ำชูตรงข้ามมิตรสหายที่เสมอกันมักจะอิจฉาริษยาในความดีขอคนในชะตา นี้สมณะชีพราหมณ์ เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ท่านว่ามักมีเรื่องกังวลใจ เดือดร้อน มักยุ่งยากกับคนอื่นไปด้วย บุคคลในชะตานี้ มักมีโชคลาภวาสนาดี เพราะมีผู้ใหญ่รักใคร่

สภาพส่วนตัวทั่วไป คนเกิดในปีนี้ ท่านว่า เป็นชา มักอาภัพเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและหาคู่ครองที่ดีไม่ค่อยได้ หากเป็นหญิง ท่านว่า เป็นสตรีมากด้วยเสน่ห์มายาจะมักมากในกามารมณ์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งกายฉูดฉาดแปลกกว่าใครๆเสมอๆหากมีการศึกษาพอสมควร ท่านว่า หญิงที่เกิดในปีนี้ จะเป็นคนเจ้าระเบียบ มีฝีมือในทางช่วยเสริมสวยหาคนเทียมได้ยาก เกณฑ์เดินทางไปต่างแดนมักมีบ่อยครั้ง เป็นชาย จะได้เป็นใหญ่มีเกียรติชื่อเสียงในวงสังคม

ปีจอธาตุดิน ท่านว่า พื้นนิสัยใจคอเยือกเย็น ไม่ค่อยจะโกรธเคืองใครง่ายๆเรียนอะไรมักมีความเพียร พยายาม ขยันขันแข็ง

ท่านผู้เกิดปีจอ สิริสิงอยู่ที่เข่าขวาของพรหม พุธเป็นปากท่านว่า เจรจาพาทีเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ รักษาวาจาสัตย์ ยึดมั่นหลักศีลธรรม พูดคำใดเป็นคำนั้น เป็นที่รักของคนทั่วไป มีคนเกรงใจ ในคำพูดมาก เป็นนักบวชจะได้เป็นสมภารเจ้าวัด เป็นนักประชาสัมพันธ์จะมีชื่อเสียง

ศุกร์เป็นใจ ท่านว่า มีจิตใจกล้าหาญชาญชัย มีความคิดรอบคอบ สุขุมชอบอาสาเจ้านาย ทำงานสิ่งใด ๆ ได้ดีเพราะมีจิตใจเป็นสมาธิ มีอารมณ์ลึกซึ้ง เก็บความรู้สึกทางเพศได้ดีมาก

จันทร์เป็นที่นั่ง ท่านว่า มักมีจิตใจกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ทำมาหากินเป็นชายมักมีเมียหลายคน เป็นหญิงมักอาภัพผัว หาเลี้ยงตัวลำบากมาก

พฤหัสบดีกับเสาร์เป็นมือ ท่านว่า มีเชิงฉลาดในการงาน ที่ใช้ฝีมือถนัดในการช่าง ศิลปวิทยาต่าง ๆ เล่าเรียนได้ดีมาก หากศึกษาทางแพทย์วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ หรือทางช่างยนต์กลไก จะก้าวหน้าไปไกลมากเป็นชายมักเป็นนักปกครอง แพทย์ครูอาจารย์เป็นหญิง มักเป็นนักสังคมสงเคราะห์พยาบาล นักประชาสัมพันธ์

อาทิตย์กับอังคารเป็นเท้า ท่านว่า มักชอบเดินทาง มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งแน่นอน จะลำบากกังวลเกี่ยวกับครอบครัว ที่อยู่อาศัย อาสาเจ้านายหรือสละตนเพื่อส่วนรวมดีมาก

ท่านผู้เกิดปีจอ ถ้าเกิดเวลากลางวัน มิสู้ดี จะลำบากในวัยเด็ก แต่วัยใหญ่ใกล้ชรา จะสุขกายสบายใจมาก หากเกิดเวลากลางวัน ท่านว่าจะมีเกียรติยศชื่อเสียงในหน้าที่การงาน ทั้งส่วนรวมและส่วนตัว

ได้เมื่อปางพระยาโปริสารทชอบกินเนื้อมนุษย์ จนเขี้ยวงอกดุจยักษ์ ถูกเขาขับออกจากนคร ท่านผู้เกิดปีนี้เมื่อไปอยู่ถิ่นฐานบ้านเมืองใด ก่อนขึ้นบ้านใหม่ควรเอาดอกบัวหลวง บูชาหิ้งพระก่อนจึงจะดี และจะมีสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัวญาติพี่น้องของตนด้วย

ทำนายตามลักษณะเดือนในปีจอ

ท่านผู้เกิดปีจอ เดือน 5-6-7 ได้แก่ สุนัขพระยาเลี้ยง ธาตุดินสุก ท่านว่าผู้นั้นเมื่อน้อยมักตกยาก ลำบาก กายและทุกข์ใจ เมื่อใหญ่จะมียศ มีอำนาจวาสนา ทำราชการอาสาเจ้านายดี จะได้เป็นใหญ่มีคนยำเกรง ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย พอปานกลาง

ท่านผู้เกิดปีจอ เดือน 8-9-10 ได้แก่ สุนัขคนเลี้ยงไว้ใช้ ธาตุดินดำท่านว่าเมื่อน้อยจะพลัดพรากจากพ่อแม่ อาภัพที่อยู่ หรือมักจะเป็นคนจนยากไร้ แต่เมื่อเติบใหญ่วัยสูงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ จะมีเกียรติยศปรากฏไปทั่วต่างแดนคิดทำการงานใด ๆ สำเร็จทุกอย่างทุกประการ

ท่านผู้เกิดปีจอ เดือน 11-12-1 (อ้าย) ได้แก่ สุนัขจิ้งจอก ธาตุดินดี ท่านว่ามักเป็นคนใจกล้าหาญ เป็นชายมักจะเป็นคนกลาหาญชาญชัย ใจทหาร แต่อาภัพ เป็นหญิงจะก้าวหน้า ทำอะไรเจริญรุ่งเรือง ทุกประการทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย จะร่ำรวยมีทรัพย์มาก

ท่านผู้เกิดปีจอ เดือน 2 (ยี่) 3 - 4 ได้แก่ สุนัขกลางตลาด ธาตุดินจอมปลวก ท่านว่าจะเป็นคนมีสติปัญญาเป็นที่พึ่งของคนทั่วไป ทำราชการงานหลวงจะได้เป็นใหญ่เป็นโต มีข้าทาสบริวารมาก ทำเรือกสวนไร่นาหรือทำการค้าขาย จะได้ผลดำมีกำไร มีทรัพย์สินเงินทองของมีค่ามาก

ทำนายตามลักษณะวันในปีจอ

วันอาทิตย์ สุนัขไล่เนื้ออายุมาก มักลำบากเหนื่อยกายใจ มิสู้ดี
วันจันทร์ สุนัขเศรษฐีเลี้ยง จะสมบูรณ์ด้วยเงินทอง ดีนัก
วันอังคาร สุนัขขี้เรื้อน มักมีโรคภัยเบียดเบียน มิสู้ดี
วันพุธ สุนัขขาว (ด่า) มักใจนักเลงมีบริวารมาก ปานกลาง
วันพฤหัสบดี สุนัขพระยาเลี้ยง มักสุขสบายใจ ดีนัก
วันศุกร์ สุนับพรานไล่เนื้อ มักซัดเซพเนจรอยู่ไม่เป็นที่มิสู้ดี
วันเสาร์ สุนัขผอมโซ มักมากในกามคุณ มิสู้ดี
ลักษณะวันและเดือนต่างๆ ในปีจอ

ท่านผู้เกิดวันอาทิตย์ วันเสาร์ หรือเกิดเดือน 5 เดือน 11 ได้แก่ ผีเสื้อผู้หญิงขี่สุนัข ท่านว่าผู้นั้นมักมีใจคอโหดร้ายชั่วช้าสามานย์ เอาแต่ใจตนเอง มักตกระกำลำบากด้วยคู่ครอง ทำราชการมิสู้ก้าวหน้า ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายพอประมาณ ไม่ถึงกับยากจนค่นแค้น

ท่านผู้เกิดวันจันทร์ หรือเกิดเดือน 6 เดือน 12 ได้แก่ พระยานั่งแท่นมีคนนั่งพัด ท่านว่าผู้นั้นจะมีอำนาจวาสนา ทำราชการงานหลวง จะได้เป็นหัวหน้าคนทั่วไป ทำเรือกสวนไร่นาดี จะมีผลรายได้ เลี้ยงตัวสบายมาก ทำการค้าธุรกิจ จะเจริญรุ่งเรือง มีกำไรทรัพย์นับอนันต์ มีข้าทาสใช้สอยสุขสบาย

ท่านผู้เกิดวันอังคาร หรือเกิดเดือน 7 เดือน 1 (อ้าย) ได้แก่ เทวดานั่งบัลลังก์ ท่านว่าผู้นั้นใจบุญใจกุศลดี จะมีความสุขสบาย ไม่เดือดร้อนทำราชการดีก้าวหน้ารวดเร็ว ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายจะได้กำไรมีทรัพย์มาก

ท่านผู้เกิดวันพุธ หรือเดือน 8 เดือน 2 (ยี่) ได้แก่ พระยาขี่ช้าง ท่านว่าผู้นั้นมักเหนื่อยกาย แต่สบายใจ มีผู้ใหญ่รักใครอุปถัมภ์ค้ำชู จะมียศฐานบรรดาศักดิ์สูงส่ง มีเกียรติยศปรากฏไปทั่วต่างเมือง มักได้เดินทางไกลไปต่างแดน ย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยครั้ง ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าไม่สู้ดี

ท่านผู้เกิดวันพฤหัสบดี หรือเกิดเดือน 9 เดือน 3 ได้แก่ พระยาขี่ม้า ท่านว่าผู้นั้นชอบเดินทางแสวงหาโชคเป็นนักบวชจะมีชื่อเสียง มีศีลธรรมน่าเคารพนับถือ ทำราชการจะมียศ แต่มักโยกย้ายบ่อยครั้งทำการค้าขายเดินทางไกลดีจะมีโชคลาภ ทำเรือกสวนไร่นามิสู้ดี

ท่านผู้เกิดวันศุกร์ หรือเกิดเดือน 10 เดือน 4 ได้แก่ เทวดาขี่นาคราช ท่านว่าผู้นั้น มักมีใจร้อน โกรธง่าย หายเร็ว เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ทำราชการมิสู้ดี ทำการค้าธุรกิจติดต่อดีจะมีกำไรซื้อง่ายขายคล่อง ทำเรือกสวนไร่นาไม่สู้ดี มีผลผลิตได้มากพอปานกลาง

สัญลักษณ์ สุนัข
ชาติภูมิ ผีเสื้อผู้หญิง
ธาตุ ดิน
มิ่งขวัญโชคลาภ ต้นสำโรงและครอบครัว
คนเกิดปีจอนั้นซื่อสัตย์ จริงใจและจงรักภักดี คนเกิดปีนี้มักเป็นคนจริงจัง ขี้บ่น ขี้วิตก แต่ก็เป็นคนมีศักดิ์ศรี และพร้อมจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเสมอ ถ้าเข้าผิดทาง คุณจะพบว่าคนเกิดปีจอเป็นคนช่างเลือก และระมัดระวังตัว แต่โดยรวมก็เป็นเพื่อนที่น่ารักพอตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่ตกใจกลัวขึ้นมา
คนเกิดปีจอก็สามารถผันตัวเป็นคนน่ารังเกียจ และโวยวายไม่หยุดได้เหมือนกัน คนเกิดปีนี้รักษาความลับได้ เคารพประเพณี และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสีสันอันจัดจ้านของงานปาร์ตี้ แต่คนเกิดปีนี้ก็เป็นคนฉลาด ช่างเอาใจใส่ และเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่ออยู่ในความสัมพันธ์

สัญลักษณ์ประจำเดือนเกิด

เดือน 5, 6, 7 สุนัขพระยาเลี้ยง ธาตุดินสุก
เดือน 8, 9, 10 สุนัขคนเลี้ยงธาตุดินดำ
เดือน 11, 12, 1 สุนัขจิ้งจอก ธาตุดินดำ
เดือน 2, 3, 4 สุนัขกลางตลาด ธาตุดินจอมปลวก

สัญลักษณ์ประจำเดือนเกิด

วันอาทิตย์ สุนัขไล่เนื้อ
วันจันทร์ สุนัขเศรษฐีเลี้ยง
วันอังคาร สุนัขขี้เรื้อนี
วันพุธ สุนัขขาว
วันพฤหัสบดี สุนัขพระยาเลี้ยง
วันศุกร์ สุนับพรานไล่เนื้อ
วันเสาร์ สุนัขผอมโซ

คู่ราศี


คู่ที่เหมาะสม : ปีมะเมีย ปีขาล ปีกุน
คู่ที่พอใช้ : ปีเถาะ ปีชวด ปีวอก
คู่ที่พอเข้ากันได้ :  
คู่ไม่ถูกโฉลก : ปีฉลู ปีมะโรง ปีมะแม ปีระกา ปีจอ

ปีระกา

ปีระกา (ไก่)
ชาย - หญิง ใดเกิดปีระกา ธาตุเหล็ก ชันษาเป็นผีเสื้อผู้ชาย มิ่งขวัญสถิติอยู่ต้นฝ้ายเทศหรือเรือต้นยาง

ท่านผู้เกิดปีระกา ผู้เกิดปีนี้ ท่านว่ามักอาภัพที่อยู่ จะพลัดพรากจากญาติพี่น้องตั้งแต่วัยเด็ก เกิดที่นี่มักไปตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนหรือไปได้ดีที่อื่น มีอำนาจวาสนาเป็นใหญ่นำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์สกุล เป็นชายท่านว่าเจ้าชู้มาก มักหลงใหลหมกมุ่นในกามารมณ์ หากเป็นหญิงท่านว่าจะเป็นกุลสตรี เป็นแม่ศรีเรือน มีวาสนา จะมีคู่ครองที่ดี มีตำแหน่งหน้าที่การงานอันทรงเกียรติ

สภาพส่วนตัวทั่วไป คนเกิดปีนี้ มักจะรู้สึกอาภัพในวาสนาของตนเอง มักใหญ่ใฝ่สูงมักขยันหมั่นเพียรในบางครั้ง ทำราชการก้าวหน้าพอสมควร ทำการค้าธุรกิจติดต่อไม่สู้ดีอาสาเจ้านายดี หากได้รับการศึกษาดีมักเป็นคนมีความคิดริเริ่ม มีแนวทางแปลกๆที่ทำให้คนอื่นสนใจเสมอ เป็นชาย มักเป็นคนเจ้าเสน่ห์ เพศตรงข้ามมักหลงใหลในคำพูดและ ผลงานเป็นหญิงมักเก็บความรู้สึกทางเพศไว้ได้ดี เอาใจเพศตรงข้ามเป็นเยี่ยม

ปีระกา ธาตุเหล็ก ท่านว่ามักชอบทำตัวเป็นคนเจ้าสำราญ ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ใจกว้างมีมิตรสหายบริวารมาก พึ่งญาติมิตรไม่ค่อยได้ วัยเด็กอาภัพมาก มักลำบากขี้โรค เข้าสู่วัยชราปานกลาง

ท่านผู้เกิดปีระกา สิริตกอยู่ที่เข่าซ้ายของพรหมอังคาร เป็นปาก ท่านว่า มักชอบพูดจาลามก สกปรกทางเพศ วาจาหยิบแกมหยอกปากว่ามือถึง คารมคมคาย เป็นที่น่าพอใจเพศตรงข้าม มักมีคารมคมคาย รู้เล่ห์เท่าทันเหลี่ยมคนแต่มักจะหลงใหล เพลี่ยงพล้ำ กโลบายเพศตรงข้าม

พฤหัสบดีเป็นใจ ท่านว่าใจมักมั่นอยู่ในศีลธรรม ชอบเรียนวิชาสารพัด แต่ไม่สู้เก่ง ถึงขนาดชำนิชำนาญ มักชอบเป็นนักบวช หรือหมอดู

อาทิตย์เป็นที่นั่ง ท่านว่า มักมากในกามารมณ์ มั่วสุมกับเพศตรงข้าม ไม่ค่อยมีความอิ่มในกามราคะ มักมีไฝหรือปานในที่ลับ มีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่พึงพอใจเพศตรงข้าม เป็นชายมักอาภัพในหน้าที่การงาน มีคู่ครองหลายคนเป็นหญิงมักมีความมักใหญ่ใฝ่สูงจะมีสามีที่มีตำแหน่งหน้าที่ การงานสูง

พุธกับศุกร์ เป็นมือ ท่านว่า มีฝีไม้ลายมือ ในเชิงศิลป์ ทำอะไรได้ทุกอย่างแต่จะเอาดีเด่นไม่ได้ การทำสิ่งใด มักหนักไปในทางครึ่งศิลป์ ครึ่งอนาจารมือไวใจเร็ว เกี่ยวกับเพศตรงข้าม แต่มีเสน่ห์จูงใจเพศตรงข้ามได้ดี เกิดที่นี่มักไปได้ดีที่อื่น

เสาร์กับจันทร์ เป็นเท้า ท่านว่า ชอบเดินทางไกล อยู่ที่ไหนไม่ได้นานมักพเนจรไปตามที่ใจตนชอบ นิสัยใฝ่ต่ำ มั่วกามารมณ์จัด ถ้าติดการพนันจะถอนตัวยากชอบสุรา นารี พาชีและกีฬาบัตรมากกว่าอย่างอื่น

ท่านผู้เกิดปีระกา ถ้าเกิดเวลากลางวันมิสู้ดี เพราะจะอาภัพ ตกระกำลำบากในการหาเลี้ยงชีพ หากเกิดเวลากลางคืนดี จะมีสุข มั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ข้าไทบริวารมาก

ได้เมื่อปางพระเวสสันดร ถูกพระเจ้ากรุงสัญชัยขับไล่ออกจากนคร ต้องพานางมัทรี กับลูกกัณหา-ชาลี ไปถือศีลกินเพลอยู่เขาวงกต ท่านผู้เกิดปีนี้ เมื่อไปอยู่แห่งหนตำบลใด ควรรดน้ำพรวนดินหรือปลูกต้นฝ้าย ต้นยาง ทางทิศเหนือ หรือใต้บ้านที่ตนอาศัย จึงจะเป็นโชคลาภและเป็นสิริมงคลกับตนเอง

ทำนายตามลักษณะเดือนในปีระกา

ท่านผู้เกิดปีระกา เดือน 5-6-7 ได้แก่ ไก่บ้านคนเลี้ยง ธาตุเหล็กน้ำพี่ ท่านว่า มักเป็นคนใจบุญใจคอกว้างขวาง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สละประโยชน์เพื่อส่วนรวมดี เมื่อวัยเด็กมักลำบากเข็ญใจ ครั้นเติบใหญ่ จะได้เป็นเจ้านายใหญ่โต มีอำนาจวาสนา เป็นชายชะตาเข้าเกณฑ์ดีมาก เป็นหญิงมักอาภัพสามี ทำเรือกสวนไร่นาหรือประกอบการค้าจะเจริญก้าวหน้ามีกำไรมาก

ท่านผู้เกิดปีระกา เดือน 8-9-10 ได้แก่ ไก่เถื่อนเลี้ยงยาก ธาตุเหล็กผสม ท่านว่า มักเป็นคนสติปัญญาปฏิภาณไหวพริบเท่าทันคน มักโกรธง่ายหาเร็ว หมกมุ่นในกามารมณ์ การเจรจาเอาจริงเอาจัง ไม่สู้ได้แต่ใจพอมีศีลธรรมประจำอยู่บ้าง ทำราชการไม่สู้ดีก้าวไปช้าแต่มั่นคงทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายดี

ท่านผู้เกิดปีระกา เดือน 11-12-1 (อ้าย)ได้แก่ ไก่ผีเรือน ธาตุเหล็กกล้า ท่านว่ามักโง่เขลาเบาปัญญา จะถูกคนอื่นหลอกลวงอยู่เป็นนิจ ทำมาหากินมักตกยาก ได้ความซอกซ้ำระกำใจ ทำราชการ งานหลวงพอคุมตัวหากทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย พอเอาตัวรอดได้

ท่านผู้เกิดปีระกา เดือน 2 (ยี่) 3-4 ได้แก่ ไก่พระยาเลี้ยง ธาตุเหล็กไหล ท่านว่า มักเป็นคนมีสติปัญญาเฉลียบแหลม มีวิชาความรู้ดีมาก ทำราชการจะได้เป็นรัฐมนตรี ขุนนางยศสูง ทำเรือกสวนไร่นา จะมีพออยู่พอกิน หากทำราชการค้าขายหรือธุรกิจติดต่อ จะมีกำไรดี

ทำนายตามลักษณะวันในปีระกา

วันอาทิตย์ ไก่ชนพนันเอาบ้านเมือง มักเหนื่อยกาแต่สบายใจดีแล
วันจันทร์ ไก่พนันบ่อนเถื่อน มันตกยาก ไร้ผู้อุปถัมภ์ มิสู้ดี
วันอังคาร ไก่ชน มักใจนักเลง มีอำนาจ ศัตรูมาก ปานกลาง
วันพุธ ไก่พระโพธิสัตว์เลี้ยง มักมีปัญญาดี ดีเสมอตัว
วันพฤหัสบดี ไก่ราชครูเลี้ยง มักโอหัง หยิ่งในเกียรติ ปานกลาง
วันศุกร์ ไก่ประชาราษฎร์ มักเจ้าสำราญ ไม่สู้ดี
วันเสาร์ ไก่วัด มักอิสระ มีความสุขดี ดีนัก
ลักษณะวันและเดือนต่างๆ ในปีระกา

ท่านผู้เกิดวันอาทิตย์ วันเสาร์ หรือเกิดเดือน 5 เดือน 11 ได้แก่ ยักษ์ขี่ไก่ ท่านว่าผู้นั้นใจคอดุร้าย โกรธง่ายหายเร็ว เอาแต่ใจตนเอง ถืออำนาจเป็นใหญ่ ทำราชการไม่สู้ก้าวหน้า ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขาย

ท่านผู้เกิดวันจันทร์ หรือเกิดเดือน 6 เดือน 12 ได้แก่ พระยาขี่ม้า ท่านว่าผู้นั้น มักเป็นคนมีบุญวาสนาดี
ทำราชการจะได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่รวดเร็ว มักโยกย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยครั้ง ทำเรือกสวนไร่นาหรือทำมาค้าขาย จะมีผลผลิตกำไร ทำมาค้าขึ้น มีทรัพย์มาก

ท่านผู้เกิดวันอังคาร หรือเกิดเดือน 7 เดือน 1 (อ้าย) ได้แก่ พระยานั่งแท่น ท่านว่าผู้นั้นจะมีอำนาจวาสนาเกณฑ์ชะตาดี มีผู้อุถัมภ์ค้ำจุนทุนทรัพย์มาก ทำราชการจะได้เป็นใหญ่ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายดีมาก จะมีหลักทรัพย์มั่นคง เป็นชายมักเจ้าชู้ เป็นหญิงมักอาภัพคู่ครอง

ท่านผู้เกิดวันพุธ หรือเดือน 8 เดือน 2 (ยี่) ได้แก่ เทวดาขี่ช้าง ท่านว่าผู้นั้นเมื่อวัยเด็กกำพร้า ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ต่างเมือง มักมีโอกาสเดินทางไกลบ่อย ๆ ทำราชการจะมีอำนาจมาก ทำเรือกสวนไร่นาหรือค้าขายจะมีผลกำไรงอกงามเข้าขั้นเป็นเศรษฐีดีมาก

ท่านผู้เกิดวันพฤหัสบดี หรือเกิดเดือน 9 เดือน 3 ได้แก่ หญิงแม่ค้าหาบของขาย ท่านว่าผู้นั้นมักจะประสบอุปสรรคเหนื่อยยากลำบากใจ ถ้าศึกษาเล่าเรียนมาน้อย จะหาเลี้ยงตัวเองลำบากยากยิ่ง เป็นชายไม่สู้ดี อาภัพอับโชคหากเป็นหญิง จะมีความสุขเมื่อมีคู่ครองแล้ว

ท่านผู้เกิดวันศุกร์ หรือเกิดเดือน 10 เดือน 4 ได้แก่ พระยาขี่นาคราช ท่านว่าผู้นั้น มักทำอะไรว่องไว ใจร้อนรนโกรธง่ายหายเร็ว มีทิฐิมานะ เอาอารมณ์ตนเป็นใหญ่ แต่มีอำนาจทำราชการจะได้เป็นใหญ่ มียศสูง ทำเรือกสวนไร่นาจะมีผลผลิตดี ค้าขายจะมีกำไร รายได้พอประมาณ