ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย หรือการเป็นเศรษฐี สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยมาก่อนนั้น สำหรับ คนจำนวนมากดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก บางคนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมก็มักได้รับคำแนะนำที่ทำได้ยาก เช่น บอกว่าให้กันเงินจากเงินเดือนหรือรายได้ 10-20% เก็บไว้ก่อน ไม่ใช่ใช้ก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ปัญหาก็คือ รายได้นั้นไม่ค่อยพอใช้อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะค่าใช้จ่ายจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดไม่ค่อยได้ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าอาหาร เป็นต้น ซึ่งผมเองเห็นด้วย วิธีการที่จะทำให้เรามั่งคั่งนั้น ถ้าจะให้ปฏิบัติได้จริง ต้องไม่ทำให้เรารู้สึกลำบาก หรือรู้สึกว่าความสุขหายไปมากและเป็นเวลานาน เหนือสิ่งอื่นใด ความอยากรวยนั้นก็เพื่อที่จะทำให้มีความสุข ดังนั้น การเสียสละความสุข เพราะต้องลดค่าใช้จ่ายเป็นเวลานานนั้นจึงไม่มีเหตุผล
ต่อไปนี้ เป็นแนวทางหรือจะเรียกให้เท่ก็คือ เป็นสูตรที่จะช่วยให้เรามีความมั่งคั่ง ร่ำรวย หรือแม้แต่เป็นเศรษฐีโดยเราไม่จำเป็นต้องรู้สึก “อดอยาก” และเป็นสูตรที่เหมาะมาก โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานหลังจากที่จบการศึกษาใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม คนที่มีอายุมากขึ้นแล้วก็สามารถประยุกต์ใช้ได้เท่าที่จะทำได้
ข้อแรกก็คือ ถ้าคิดว่าเรายังไม่รวย อย่าซื้อรถ การซื้อรถยนต์ส่วนตัวใช้นั้น เท่ากับเรากำลังสร้างรายจ่ายที่ลดได้ยากมาก และทุกเดือนเราจะมีรายจ่ายเป็นหมื่นหรือหลายหมื่นเป็นค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าซ่อม และอื่นๆ บางทีรายจ่ายนั้นอาจจะไม่เป็นตัวเงินจริง เนื่องจากเราซื้อรถด้วยเงินสด เราไม่เสียค่าผ่อนรถ แต่จริงๆแล้วเราก็มี “ค่าเสื่อม” ซึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่ต่างกับค่าผ่อนรถนัก หลายคนอาจจะเถียงว่า เขาสามารถประหยัดค่ารถเมล์ ค่ารถไฟฟ้า หรือค่าแท็กซี่ลง แต่ถ้าคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทุกด้านของการมีรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการใช้รถสาธารณะนั้นประหยัดกว่ามาก และจะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บและลงทุนได้มากกว่า
ข้อสอง อย่าซื้อบ้านถ้าไม่จำเป็น และถ้าจำเป็นก็ซื้อบ้านที่เล็กที่สุดที่จะเพียงพออยู่ สำหรับตนเองและคู่ครองและลูกที่มีอยู่ หรือที่วางแผนที่จะมีในอนาคต ทำเลของบ้านควรอยู่ในที่ที่การเดินทางไปทำงาน หรือไปเรียนสะดวกและไม่ต้องต่อรถหลายๆต่อ ซึ่งจะทำให้ “ค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยและเดินทาง” ต่ำที่สุด คำว่าค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยนั้น บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่ามีเพราะเขาไม่ต้องเสียค่าเช่า แต่จริงๆแล้ว การมีบ้านที่ใหญ่จะทำให้ค่าบ้านสูง ซึ่งทำให้ต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านแต่ละเดือนมากขึ้น ไม่นับรายจ่ายอื่นๆ ที่ตามมาจากการมีบ้านที่ใหญ่ขึ้น นี่เป็นความคิดที่อาจจะแย้งกับอีกหลายคนที่บอกว่าควรซื้อบ้านใหญ่ที่สุดที่ สามารถผ่อนได้ เพราะบ้านนั้นเป็นเหมือน “การลงทุน” และการอยู่บ้านใหญ่นั้น “มีความสุข” มากกว่า แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเองนั้นพบว่า บ้านอยู่อาศัยนั้นราคามักจะไม่ค่อยขึ้น เช่นเดียวกันบ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็นนั้น ถ้าจะเพิ่มความสุขได้ก็น่าจะน้อยและไม่คุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ข้อสาม มีลูกให้น้อย อย่าเกินสองคนก็ดี เพราะลูกนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการเลี้ยงดู และให้การศึกษา คำสมัยก่อนก็คือ มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี แต่สมัยนี้ผมคิดว่ายาวกว่านั้น คนในสมัยก่อนมีลูกเพราะคิดว่าเป็น “การลงทุน” นั่นคือ หลังจากที่ลูกโตเขาก็กลับมาเลี้ยงเรา ดังนั้น เขาจึงมีลูกมากแต่ในปัจจุบันความคิดนี้ก็ใกล้หรือกำลังหมดไป เราไม่หวังให้ลูกมาเลี้ยงเราแล้ว ดังนั้น ถ้าอยากรวย อย่ามีลูกมาก
ข้อสี่ รายจ่ายค่าสมาชิกทั้งหลาย เช่น สมาชิกสถานออกกำลังกาย สมาชิกเคเบิลทีวีราคาแพง สมาชิกที่สามารถพักตามเครือข่ายโรงแรมตากอากาศหลายแห่ง เหล่านี้เป็นความบันเทิงหรือการดูแลสุขภาพ ที่เราสามารถหาซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก เช่น แทนที่จะเข้าฟิตเนส เราสามารถไปสวนสาธารณะที่มีการเต้นแอโรบิกที่สนุกสนานทุกวันโดยที่ไม่ต้อง เสียเงิน เคเบิลทีวีราคาถูกเดี๋ยวนี้บางแห่งมีรายการดีมากเกือบเท่าแบบที่มีราคาแพง แต่เสียค่าใช้จ่ายแค่เดือนละ 200 บาทก็มี พูดถึงเรื่องการพักผ่อนต่างจังหวัดแล้วก็ทำให้ผมมีข้อแนะนำอีกว่า “อย่าซื้อคอนโดหรือบ้านพักในสถานที่ท่องเที่ยว” เพราะนี่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เทียบกับการที่เราไปเช่าโรงแรมอยู่ คนอาจคิดว่านี่เป็น “การลงทุน” แต่จริงๆแล้ว ราคาก็มักจะไม่ค่อยขึ้นหรือถึงขึ้นเราก็มักจะไม่ขาย ในระหว่างนั้น เราก็ต้องผ่อนส่งรายเดือนหรือต้องเสีย “ค่าเสื่อม” ไปเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใด การพักโรงแรมนั้นเราไม่ต้องดูแลทำความสะอาด และเราจะไปพักสถานที่ไหนก็ได้ ซึ่งทำให้เรามีความสุขมากกว่า
ข้อห้า ถ้าอยากรวย นอกจากปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นแล้ว จะต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเก็บออมเงินให้มากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องประหยัดเกินความจำเป็นจนทำให้เรารู้สึกไม่สบาย สิ่งนี้ทำไม่ยากถ้าเรารู้จักซื้อของแบบเน้น “คุณค่า” นั่นคือ ใช้เงินน้อยแต่สามารถตอบสนองความต้องการเกิน 90% ตัวอย่างง่ายที่สุด ก็คือ การซื้อของไม่มียี่ห้อที่มีคุณภาพดี หรือซื้อของมียี่ห้อในช่วงที่มีการลดราคามากๆ เป็นต้น
สุดท้าย ก็คือ ถ้าคุณต้องการแค่ว่าคุณจะสามารถอยู่อย่างสบายมีเงินพอสมควร แต่ไม่ต้องการความผันผวนของความมั่งคั่ง คุณจะต้องบริหารเงิน โดยการจัดสรรทรัพย์สินให้อยู่ในหลักทรัพย์หลายๆอย่าง รวมถึงพันธบัตรและหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะบริหารเอง หรือมอบให้ “มืออาชีพ” ซึ่งก็คือบริษัทจัดการการลงทุนทำ แต่ถ้าคุณอยากรวยหรือเป็นเศรษฐีละก็ คุณควรลงทุนเงินที่เหลือเก็บไว้ในหุ้นเพียงอย่างเดียว การลงทุนในหุ้น ในระยะยาวมากๆนั้น ความเสี่ยงจะไม่สูงและผลตอบแทนจะสูงกว่าการลงทุนในตราสารการเงินอื่นมาก ดังนั้น ถ้าคุณมีเวลาในการเก็บเงินและลงทุนยาวเป็น 20-30 ปี ผมแนะนำว่าให้ลงทุนเงินทุกบาททุกสตางค์ในหุ้น ไม่ว่าจะลงเองหรือใช้มืออาชีพลงให้ นอกจากนั้น ในการลงทุนถ้าได้ผลประโยชน์ทางภาษีด้วย เช่น การลงทุนใน LTF หรือ RMF ก็ควรใช้สิทธินั้นอย่างเต็มที่
และเช่นเคย สิ่งที่แนะนำมาทั้งหมดนั้น ไม่รับประกันว่าคุณต้องรวยแน่นอน แต่ผมคิดว่ามันเพิ่มโอกาสการเป็นเศรษฐีให้คนที่ปฏิบัติขึ้นมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าไม่ได้เป็นเศรษฐี คุณก็คงไม่จน และมีความสุขเพิ่มขึ้นแน่นอน
สูตรเศรษฐี
โลกในมุมมอง Value Investor
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 9 ธ้นวาคม พ.ศ. 2552
ที่มา : http://www.sarut-homesite.net
Pr realestates | Management| Marketing |Advertising| Communication | Public Relations| Strategies | Economy
อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น – ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งใน ประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่น เดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลายๆ คนอาจจะเริ่มฝันว่าได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้าทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือหุ้นเป็น ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่าเขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 – 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดี ยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือน้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสอง ปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 – 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 – 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 – 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบ แทนประมาณ 10 – 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 – 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้น ลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีโดย ที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 – 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิง เปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 – 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 – 40% หรือบาง คนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียวจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกิน ไปหรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวด เร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป “ทำมาหากิน” ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบ เทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 – 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 – 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 – 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครรวยได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำ รวยจากตลาดหุ้นแม้ว่าในช่วงนี้หลายๆ คนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์ เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทยและประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ด เงินในสัดส่วนที่สูง นั่นคืออย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่ จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอ เร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
“อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาhttp://www.sarut-homesite.net/
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่น เดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลายๆ คนอาจจะเริ่มฝันว่าได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้าทั้งๆ ที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือหุ้นเป็น ทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่าเขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 – 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดี ยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือน้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆ นั้นมีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสอง ปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 – 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 – 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 – 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบ แทนประมาณ 10 – 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 – 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้น ลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีโดย ที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 – 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิง เปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 – 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 – 40% หรือบาง คนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียวจึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกิน ไปหรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวด เร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป “ทำมาหากิน” ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบ เทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 – 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 – 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 – 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ใครรวยได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำ รวยจากตลาดหุ้นแม้ว่าในช่วงนี้หลายๆ คนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์ เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทยและประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ด เงินในสัดส่วนที่สูง นั่นคืออย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่ จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ นั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา วอ เร็น บัฟเฟตต์เคยพูดว่าคุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกันการลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า
“อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น”
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มาhttp://www.sarut-homesite.net/
เข็มทิศการเงิน
ทำไม "เรา" ถึง "ยังไม่รวย" จาก เข็มทิศการเงิน
จาก"หนูอยากรวย"โพสต์ไว้นานแล้ว ซึ่งคัดบางส่วนมาจากหนังสือ "เข็มทิศการเงิน"
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/09/B7045414/B7045414.html
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/10/B7054232/B7054232.html
--------------
"เมื่อไรเราจะรวย"
--------------
คน ส่วนใหญ่จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างก็เมื่อตอนเราเจอเคราะห์ร้ายแบบเต็มๆ เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้นหรือครับ ก็เพราะว่าการอยู่อย่างเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทำได้ง่ายกว่า เรามักทำสิ่งต่างๆแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเราทำอย่างนั้นไม่ได้อีกต่อไป ลองดูเรื่องสุขภาพ เราจะเปลี่ยนตัวเองมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังเมื่อเราเริ่มเป็นโรคร้ายอะไร สักอย่าง เพราะเราถูกฝึกมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก คือหากไม่ใกล้สอบก็จะไม่ขวนขวายอ่านหนังสือ , หากเงินไม่ใกล้จะหมด ก็จะไม่เริ่มประหยัด, พอโตขึ้นมา แม้งานที่ทำจะไม่ก้าวหน้า แต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน จนกระทั่งเจ้านายเริ่มเขม่นที่จะไล่เราออก จึงเริ่มหางานใหม่
ในด้าน การเงิน คนส่วนใหญ่ก็ทำงานและพยายามใช้จ่ายให้ดี แค่นั้นพอ ไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยาก และเป็นเรื่องไกลตัว จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มแย่ , เงินเริ่มไม่พอใช้, หรือ เมื่อเราต้องการเงินก้อนแต่ไม่มี เราจึงเริ่มคิดการออมอย่างจริงจัง, หรือบางคน ไม่เป็นหนี้ ไม่เริ่มคิดเรื่องเงิน!
ในขณะคนที่จะรวย มักจะคิดอะไรเป็นเรื่องของเงินเกือบตลอดเวลา จนบางครั้งเรามักบ่นเพื่อนรวยว่า คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด หรือ อาจเรียกว่า “งก” บ้างก็มี แต่สุดท้ายเพื่อนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จทางการเงิน ในขณะที่เรายังวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแห่งความจน ดังนั้น จงอย่าถามว่า เมื่อไรจะรวย จงเริ่มลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ เริ่มที่จะเรียนรู้ ศึกษา ปรับความคิดตั้งแต่บัดนี้เพราะมันต้องใช้เวลา
-------------------------------------
ตั๋วเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน มีพร้อมสำหรับทุกคน
-------------------------------------
อนาคต เป็นสิ่งที่สดใสเสมอ สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมในวันนี้ ผมเคยสัมภาษณ์คนที่ปัจจุบันประสบความสำเร็จในชีวิตหลายๆคน เช่นคุณน้าผม ซึ่งมาจากต่างจังหวัดและมาทำขายข้าวแกงให้นักศึกษาอยู่หลายปี และมาเปิดหอพักเล็กๆอีกหลายปี และต่อมาก็เป็นเจ้าของ อพาทเม้นท์ หลังหนึ่ง และหลังที่สองและสามก็ตามมาในเวลาอันสั้น คนอื่นๆที่รวยแล้วก็มีลักษณะคล้ายๆกันคือ เริ่มต้นค่อยๆมีเงินขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ยังไม่เรียกว่ารวย จนมาถึงจุดหนึ่งที่เขาเริ่มคิดแบบคนรวยได้ และประสบการณ์ในความสำเร็จที่มากขึ้น มันต่อยอดความรวยเพิ่มอย่างรวดเร็ว เงินต่อเงิน ยิ่งทำให้รวยเร็วขึ้น และเมื่อรวยถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่สำคัญกว่าการต่อยอดความรวยคือ การรักษาสถานะให้มั่นคงหรือ รวยอย่างมั่นคง ไม่วูบล้มไปอีก
การมีอิสรภาพทางการเงินเป็นไปได้ สำหรับทุกคน เพียงแต่เมื่อไรเท่านั้นเอง ตามหลักการของพ่อรวยสอนลูกนั้น ยิ่งนาน เงินออมยิ่งสร้างกระแสเงินมากขึ้น ในตอนแรกๆ จะเห็นผลช้า เหมือนการต้มน้ำเย็น ที่ตอนแรก คุณก็นั่งมองว่ามันไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร น้ำดูเหมือนอุณหภูมิไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่พอน้ำเริ่มมีฟองอากาศ มันก็เริ่มเดือดอย่างรวดเร็ว ในตอนท้าย
ดังนั้นแม้คุณตอนนี้จะ เริ่มจากการออมเพียงไม่เยอะ แต่เมื่อมากถึงจุดหนึ่งมันจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนที่อ่านหนังสือผมมักจะถามว่า ทำอย่างไรให้รวยในทันที ซึ่งผมบอกไปว่า “ไม่มี” แต่สิ่งที่มีแน่ๆคือค่อยๆรวย จนวันหนึ่งเราก็มีอิสรภาพทางการเงิน อาจเป็นจุดที่เราเกษียณพอดี หรือ ก่อนหน้านั้นถ้าเราเก่งพอ (เดี๋ยวจะสอนให้บทต่อๆไป)
---------------------------
คนที่คิดว่า ตัวเองจะไม่รวย ก็จะไม่รวย
---------------------------
ความ รวยเป็นสิ่งที่ใครๆก็ต้องการ แต่ถ้าลองไปถามคนที่ยังไม่รวย 100 คน พบว่า 80 คนจะบอกว่า “ชาตินี้คงไม่สามารถรวยขึ้นมาได้” ทำไมจึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าลองไปถามคนที่เริ่มมีฐานะดีขึ้นมา หรือเริ่มจะรวยแล้ว เขาจะตอบว่า “ใครๆก็สามารถรวยขึ้นมาได้ การมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากเลย” แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้ นั่นเพราะมุมมองเรื่องการจะรวยได้มันต่างกัน
เมื่อ คนเราคิดว่าตัวเองมีโอกาสน้อยที่จะมีรวยขึ้นมาได้ แรงบันดาลใจ หรือความมุ่งมั่นที่อยากรวยมันก็ไม่มี และคนเราถ้าขาดความมุ่งมั่น ก็ยากที่จะทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ อย่างที่ สมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ที่เขามีวันนี้ได้เพราะ “ความมุ่งมั่นที่จะเอาเหรียญโอลิมปิกมาให้ได้ และเขาก็พยายามอย่างไม่ยอมแพ้มากว่า 12 ปีเต็ม และวันนี้ เขาก็ทำความฝันนั้นสำเร็จได้”
เห็นมั้ยครับว่า ถ้าเรามุ่งมั่นในสิ่งใด พยายามทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก อย่างไม่ยอมแพ้ สักวันเราก็จะทำสิ่งนั้นสำเร็จ แต่ใครกันที่จะทำสิ่งหนึ่ง แบบทำแล้วทำอีก แม้จะล้มเหลว ก็ยังทำแล้วทำอีก? ตอบง่ายๆว่า ก็คือคนทุกๆคนที่มีแรงบันดาลใจ หรือพลังใจที่เต็มเปี่ยม เพราะมันคือแรงผลักดันให้เราสู้ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่อาจจะมีเข้ามา
ดัง นั้น ข้อแรกที่อยากแนะนำคือ คุณเชื่อผมเถอะว่า ใครๆก็มีโอกาสที่จะรวยขึ้นมาได้ ขอให้เริ่มจากความศรัทธาว่าคุณเองก็รวยได้ ส่วนความคิดบางอย่างที่เคยมีเช่น “ในโลกนี้มีเงินไม่มากพอให้ทุกคนรวยหรอก” , “คนทำผิดเป็นคนโง่” , “คนไม่มีปริญญาอย่างเรา ไปไหนได้ไม่ไกล” , “ฉันไม่มีวันรวยแบบเขาแน่” ฯลฯ ความคิดพวกนี้ ก็เหมือนที่เขาเชื่อว่า “โลกแบน” หรือ “มนุษย์ไม่มีทางไปดวงจันทร์ได้” นั่นแหละ มันเป็นเพียงความเชื่อที่ผิดๆ
-----------------------
ผลตอบแทน คือคำตอบความรวย
-----------------------
มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ย
ความ ลับของความรวย ที่สำคัญอีกอย่างที่คนรวยมักจะรู้ แต่คนทั่วไปอาจไม่รู้คือ พลังของดอกเบี้ย ซึ่งท่านอาจไม่คิดว่าดอกเบี้ยเพียงปีละ 10% คือการฝากเงินไว้ 100 บาทแล้วได้ดอกเบี้ยปีละ 10 บาทนี่แหละ จะมีความมหัศจรรย์เพียงนี้ ขอยกตัวอย่าง การออมเงินของ ฝาแฝด กอ และ ขอ
ตัวอย่าง นาย ก. เริ่มเก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่อายุ 25 ปี และเลิกเก็บเมื่ออายุ 35 ปี (ใช้เวลาเก็บ 10 ปี) หลังจากนั้น นาย ก. ก็ปล่อยให้เงินเก็บก้อนนั้นโตไปเรื่อยๆ จนอายุ 65 ปี
ตัวอย่าง นาย ข. ช่วงแรกๆ ชอบเที่ยวจึงไม่ได้เก็บเงิน และมาเริ่มเก็บเมื่ออายุ 30 ปี ( เริ่มช้ากว่านาย ก. 5 ปี) แต่นาย ข. มุ่งมั่นที่จะเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่อายุ 30 จนกระทั่ง อายุ 65 ปี ( ใช้เวลาเก็บ 35 ปี)
หากการเก็บเงินของคนทั้งคู่ เป็นการเก็บโดยการใส่กระปุก แล้วฝังดินเอาไว้ คือไม่มีผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือ การลงทุนใดๆ
นาย ก. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 2,000 x 12 x 10 = 240,000 บาท
นาย ข. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 2,000 x 12 x 35 = 840,000 บาท
แต่หากทั้งคู่นำเงิน ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสัก 10% ต่อปี พลังของดอกเบี้ยจะทำให้
นาย ก. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 7,340,000 บาท
นาย ข. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 7,150,000 บาท
ข้อสังเกต
- ด้วยความสามารถพิเศษของดอกเบี้ย ทำให้เงินของทั้งคู่เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว จากการ นำเงินไปฝังดิน(ไม่ลงทุนเลย)
- พลังของดอกเบี้ยนี้เอง ทำให้นาย ก. ซึ่งเก็บเงินน้อยกว่านาย ข. แต่มีเงิน เมื่ออายุ 65 มากกว่า นาย ข.
- ** นี่คือ หลักการ “ให้เงินทำงานแทนเรา” เพราะนาย ก. เลิกเก็บเงินตั้งแต่ อายุ 35 แต่นาย ข. ขยันเก็บมาเรื่อยๆ
- ผลตอบแทนที่ ทบต้น จะทำให้เราได้เงินเพิ่มแบบ “ทวีคูณ” เช่น ในปีที่ 66 กับดอกเบี้ย 10% ทั้งคู่จะได้อีก ปีละ 700,000 กว่าบาท ( นี่แหละ ทำไมคนรวย ถึงยิ่งรวย เพราะใช้เพียงแค่ ดอกเบี้ย ก็พอกินแล้ว)
นี่หากท่านคิดว่า พลังของดอกเบี้ย ยังไม่มหัศจรรย์อีก ลอง ยกตัวอย่างใหม่ ดังนี้
ตัวอย่าง (ตามชีวิตจริง) หาก นาย ก. รู้จักวิธีการลงทุน และ ทำผลตอบแทนได้ปีละ 20% ในขณะที่ นาย ข. ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการลงทุน จึงนำเงินไปฝากประจำ ได้ดอกเบี้ยปีละ 3% ด้วยวิธีเก็บเงินแบบเดิม
กับผลตอบแทน 20% เมื่ออายุ 65 นาย ก. จะมีเงิน 177 ล้านบาท
กับผลตอบแทน 3% เมื่ออายุ 65 นาย ข. จะมีเงิน 1 ล้าน 5 แสน บาท
แทบ ไม่น่าเชื่อ กับคำตอบที่คำนวณได้ ผมเองยังทึ่งใน ความสามารถของ ดอกเบี้ยจริงๆ ดังนั้น เคล็ดลับความรวย อยู่ที่ การบริหารเงิน ไม่ใช่การหาเงิน
***** อันนี้เพิ่มเติมนะครับ สำหรับหัวข้อ "มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ย"
หลายท่านอาจจะแย้งว่า ในปัจจุบันนี้หาผลตอบแทนที่เกิน 4% นี่ก็รากเลือดกันแล้ว มันเพ้ิอฝันมากกับ return 10%
ความจริงผมอ่านหัวข้อนี่เสร็จมันมีความหมายโดยนัยอย่างนึง(อาจจะมากกว่านี้)นั่นคือสอนเราในเรื่องการให้เงินมันทำงานแทนเรา
ไม่ ใช่สักแต่ว่าทำงานประจำหนักอดออมกันหน้าเขียวอย่างเดียวอย่างนั้นนะไม่จนแน่ แต่ก็ไม่รวย เข้าทำนองที่ว่า Work Smart but not Work hard
แต่ถ้าจะ Work Hard ตลอดก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะคุณไม่สามาระ Work Hard ได้ตลอดชีวิต แต่คุณต้อง Work Smart ตลอดชีวิตมากกว่า
OK พอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะโชว์โง่ไปมากกว่านี้ อิอิ
-----------
"รวยแล้วถึงรู้"
-----------
คน หลายคนเมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน อาจคิดเหมือนพ่อผม ที่คิดว่า “ตอนหนุ่มมีแรง ก็ทำงานให้เต็มที่ แล้วค่อยๆ ออมเงินไว้ตอนแก่จะได้สบาย ได้ไปเที่ยวรอบโลก” แต่เอาจริงๆ พ่อเริ่มมีลูก ค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม ต้องส่งลูกเรียน และ พอแก่ตัวลง สุขภาพก็เริ่มแย่ ต้องเอาเงินที่หามาได้ จ่ายคืนเป็นค่ารักษาสุขภาพร่างกายที่ใช้ไปอย่างหนัก ในตอนหนุ่มกลับคืนมา เปรียบดั่งสุภาษิต คนที่วิ่งตามเงาตัวเอง วิ่งอย่างไรก็ไล่ตามเงานั้นไม่ทัน ซึ่งแม้ผมจะเห็นคุณพ่อเป็นบทเรียนที่ไม่ถูกต้องแล้ว แต่ผมก็เริ่มต้นการทำงานด้วยความคิดแบบเดียวกับท่าน เพราะผมมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากทำงานให้ดีที่สุด แล้วเก็บเงินให้มากๆ จนสุดท้ายผมก็พลาดและเป็นหนี้ จึงได้เรียนรู้ว่าวิธีแบบนี้ มันผิด!
ชีวิต ของคนทำงานเหมือน อยู่ในเขาวงกต หาทางออกไม่ได้ ผมเคยคิดกับตัวเองว่า ทำไมสิ่งดีๆ มันไม่เกิดกับผมบ้าง ทำไมผมจึงมองหาโอกาสดีๆที่จะลงทุน แบบเพื่อนรวยของผมไม่ได้ , ทำไมพอผมทำธุรกิจ มันก็ล้มเหลว, หรือธุรกิจที่ผมคิดจะทำแต่ไม่กล้าเริ่ม พอคนอื่นทำแล้วเจริญรุ่งเรือง ? มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจผมมาก ยิ่งได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่น ประสบความสำเร็จไปทีละคน ไอ้คนที่รวยก็รวยขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเพื่อนกลุ่มที่ธรรมดา ก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาต่อไป
แต่ผมโชคดีที่ มีเพื่อนดี นั่นคือเพื่อนที่ผมเรียกว่า “เพื่อนรวย” นั่นเอง เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี และทำอะไรให้ผมทึ่งได้เสมอเลย เขาสอนผมว่า สิ่งแรกที่ต้องฝึกคือการมองโลกในแง่บวก แล้วทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นเอง ปัญหาทาการเงินที่ว่ายากๆ ก็จะแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะเหรียญมันมีสองด้านเสมอ ให้ผมฝึกที่จะมองเหรียญในด้านบวก แล้วสิ่งดีๆจะตามมาเอง มันเป็นความน่าอัศจรรย์ที่เพื่อนผมบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เขาย้ำให้ผมลองฝึกดู ซึ่งในช่วงแรกของการเริ่มคิดบวก ชีวิตผมก็ยังเหมือนเดิม แต่ความพยายามที่จะฝืนมองบวกไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย แล้วต่อจากนั้น ผมไม่ใช่แค่ “คิดบวก” แต่ผม “รู้สึกได้ถึงด้านบวก” ของสิ่งต่างๆ ซึ่งสำหรับคนที่ทางครอบครัวไม่เคยปลูกฝังความคิดแบบนี้ หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อาจไม่เข้าใจว่าทำอย่างไร แต่ความคิดที่ดีๆ สามารถถ่ายทอดต่อได้ อย่างในครอบครัวคนจีน จะถูกปลูกฝังเรื่องการทำธุรกิจโดยการกระทำให้เห็นจน รุ่นลูกก็มีทัศนะคติในการค้าขาย จากการเห็นพ่อแม่คุยเรื่องการค้ามากๆ
สำหรับ ตัวผมเอง ผมไม่รู้ว่า การมองโลกในด้านบวก แล้วชีวิตเริ่มดีขึ้น หรือ ชีวิตผมเริ่มดีขึ้น ผมจึงเริ่มมองโลกในด้านบวก (ไม่รู้ว่า อะไรเกิดขึ้นก่อน) แต่สิ่งสองอย่างนี้ มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง คู่กันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ ผมเริ่ม ปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิต และแล้ว เงินทองก็ไหลเข้ามาหาผมเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
หากจะระบุ เฉพาะในเรื่องของเงินๆทองๆ หรือ เรื่องทัศนคติ เกี่ยวกับการเงิน ผมบอกได้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่า คนที่ยังไม่รวย กับ คนที่รวยแล้ว(หรือคนที่จะรวยได้) มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเงินต่างกันมาก ผมเมื่อสิบปีที่แล้ว กับผมในตอนนี้ ก็มีความคิดเกี่ยวกับเงินที่ต่างกันมาก จนผมพูดได้ว่ามุมมองเกี่ยวกับเงินของคนจน กับคนรวยนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจะเริ่มต้นจากการปรับทัศนะคติเกี่ยวกับเงินให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วการกระทำจะเปลี่ยนแปลงตามไปเอง หรือเรียกว่า ปรับทิศทางเดินให้ถูก และเมื่อเราเดินไปถูกทาง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เราก็จะถึงจุดหมายสักวัน
------------------------------
"คำแก้ตัว คืออุปสรรคของการปรับปรุงตัว"
------------------------------
(เข้าทำนองที่ว่า คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว ^^)
พูด ถึงคำแก้ตัว หากคุณลองไปพูดคุยกับคนหลายๆคน เรื่องการจะรวยเช่น ถามว่า “คุณคิดว่า คุณจะมีโอกาสรวยในชีวิตนี้หรือไม่ เพราะอะไร?” แล้วคุณจะได้คำตอบมากมาย ซึ่งแต่ละคำตอบบ่งบอกได้ว่าแต่ละคนคิดอย่างไรกับอนาคตของตนเอง เพราะคุณคิดว่า คุณจะเป็นอย่างไรในอนาคต ชีวิตก็จะไปทางนั้นจริงๆ โดยคำตอบที่ซ้ำๆกันจะมีดังนี้
“ไม่มีใครเคยสอนฉัน วิธีที่จะรวย” : หลายคนอาจจะโทษพ่อแม่ ,ครู , การศึกษา หรือ สังคมที่ไม่เคยสอนเขาว่า จะรวยต้องทำอย่างไร จะหาเงินเยอะๆต้องทำอย่างไร ทั้งๆที่ คนพูด(เพื่อนผมเอง) ก็อายุ 32 แล้วยังไม่สามารถหาหนทาง หรือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้เองหรืออย่างไร คนอื่นๆเขาก็สามารถศึกษากันได้เองกันเยอะแยะ เลิกแก้ตัวแล้วเอาเวลาไปศึกษาหาความรู้เถอะ
“ฉันเกิดมาจน โอกาสก็น้อยกว่าคนอื่น” : แม้การที่เกิดมาฐานะไม่ดี อาจจะเป็นการเริ่มต้น ที่ยากกว่าการมีฐานะปานกลาง แต่มันก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามว่า คนเกิดมาจน จะไม่มีโอกาสรวย แต่เท่าที่สังเกต กับเป็นตรงกันข้าม คือคนที่เกิดมาด้อยกว่า หากมีแรงบันดาลใจ มักจะมีพลังในการพยายามมากกว่า คนทั่วไป และก็มีตัวอย่างเช่น ชาวจีนที่มาเมืองไทย ก็เริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบ หรือ ตัวผมเองที่เริ่มต้นจาก สถานะติดลบ(เป็นหนี้) ก็สามารถพลิกฟื้นมาได้ โอกาสจะมีเสมอ สำหรับผู้แสวงหามัน
“ฉันไม่ชอบเลข” : เรื่องของการสร้างเงินออม หรือการเริ่มต้นธุรกิจ หรือการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวเลขมากขนาดนั้น นอกจากคุณทำอาชีพเป็นนักบัญชี แต่ถ้าไม่ใช่ คนไม่ชอบเลข อย่างเช่นคนจบสายศิลป์ ก็มีฐานะดีกันถมไป
“ฉัน ทำงานได้เงินเดือนนิดเดียว จะรวยได้เหรอ” : ได้สิครับ เพราะเคล็ดลับของความรวยที่จะบอกในบทต่อไป คือไม่ว่าคุณจะมีเงินต้นเท่าไร มันไม่สำคัญเท่ากับว่า คุณเริ่มต้นลงทุนเมื่อไร และ ผลตอบแทนการลงทุนของคุณเป็นเท่าไร นั่นแหละสิ่งที่จะทำให้คนเรารวยได้จริงๆ
“ฉันไม่ใช่คนเก่งนะ” : ผมก็ไม่รู้ว่า คุณไม่เก่งในด้านใด เพราะจริงๆในโลกนี้ทุกคนมีความสามารถกันคนละด้าน บางคนเก่งเรื่องบริหารงาน บางคนเก่งทำงานเอกสาร หรือบางคนเรียนเก่ง แต่ทำงานบริษัทไม่เก่ง แต่ไปเป็นอาจารย์แล้วรวย ก็มีเยอะ คุณลองมองดูว่าคุณถนัดอะไร นั่นแหละครับ จุดแข็งของคุณ จงเน้นแสดงจุดแข็ง และอย่าไปกังวลเรื่องจุดอ่อน เดี๋ยวชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆเอง
--------------------------------
"โอกาสรวยอยู่ตรงหน้า เพียงแต่เราไม่สังเกต"
--------------------------------
เพื่อน ผมชื่อ เอก ทำงานอยู่ ธนาคารกรุงเทพฯที่สาขาสีลม บ้านอยู่แถวบางนา ซึ่งเขาจะใช้บริการรถไฟฟ้าเข้ามาทำงานเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ในช่วงปี 49 เมื่อเพื่อนรวยของผมได้ชักชวนเพื่อนมาซื้อคอนโดเพื่อการลงทุน โดยแนะนำให้หาคอนโดที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า ยิ่งติดสถานีเลยยิ่งดี นาย เอก กลับบอกว่า มีด้วยหรือคอนโดที่ติดสถานีรถไฟฟ้าเลย เขาบอกว่าเขาใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวันไม่เคยสังเกตเห็นนี่นา และแล้วพวกเราก็พากันขับรถตระเวนไปตามเส้น สุขุมวิท, สาธร, สีลม, ราชดำริ ปรากฏว่าเราเจอโครงการคอนโดทั้งที่จะขึ้น และขึ้นมาแล้ว 14 โครงการเป็นอย่างน้อย ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า และเมื่อนาย เอกเห็นอย่างนั้น ก็พูดว่า “โอ้โหไม่น่าเชื่อจะมีเยอะขนาดนี้” เชื่อมั้ยครับ หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ นายเอก บอกกลับพวกเราว่า ตอนนี้เขานั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เห็นแต่คอนโดแถวๆ สถานีเต็มไปหมดเลย และน่าจะมีมากกว่าที่พวกเราเห็นอีกนะเนี่ย
ปรากฎการณ์แบบนี้เรียก ว่า เมื่อเริ่มสังเกต ก็เริ่มเห็น เรื่องแบบนี้ ลูกค้าธนาคารที่มาซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนตราสารหนี้ ก็เคยบอกกับผมว่า เมื่อก่อนไม่รู้ว่า จะมีตราสารหนี้ขายเยอะขนาดนี้เลย แต่พอเริ่มลงทุนในตราสารหนี้ ก็จะเห็นว่ามีโฆษณาขายตราสารหนี้ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกสัปดาห์ เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเลยนะเนี่ย
การพบเห็นโอกาสจะมีมากขึ้นไปอีกหาก คุณออกแสวงหามัน เช่นแทนที่ผมจะบ่นว่า ในซอยนี้มีร้านอินเตอร์เน็ต เยอะแล้วทำให้ผมหมดโอกาสเปิดร้านอินเตอร์เน็ตอย่างที่คิดไว้ ผมก็สามารถเดินทางไปดูตามสถานที่อื่นๆได้อีก , เมื่อผมได้มีโอกาสไปสัมมนาเรื่อง การลงทุนในกองทุน ผมเหมือนได้เปิดประตูสู่โลกอีกใบที่มีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้ และของพวกนี้ยิ่งสนใจ ยิ่งศึกษา ยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นผมอาจสรุปได้ว่า โอกาสดีๆ มีอยู่มากมายจริงๆ ขึ้นกับว่าเราจะเลือกอันไหนที่เหมาะกับเราเท่านั้นเอง จงเริ่มฝึกมองตั้งแต่วันนี้ แล้วอีกไม่กี่สัปดาห์คุณจะเห็นอะไรใหม่ๆ และดีๆอีกมากเลย
จาก"หนูอยากรวย"โพสต์ไว้นานแล้ว ซึ่งคัดบางส่วนมาจากหนังสือ "เข็มทิศการเงิน"
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/09/B7045414/B7045414.html
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2008/10/B7054232/B7054232.html
--------------
"เมื่อไรเราจะรวย"
--------------
คน ส่วนใหญ่จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างก็เมื่อตอนเราเจอเคราะห์ร้ายแบบเต็มๆ เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้นหรือครับ ก็เพราะว่าการอยู่อย่างเดิมโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทำได้ง่ายกว่า เรามักทำสิ่งต่างๆแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเราทำอย่างนั้นไม่ได้อีกต่อไป ลองดูเรื่องสุขภาพ เราจะเปลี่ยนตัวเองมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังเมื่อเราเริ่มเป็นโรคร้ายอะไร สักอย่าง เพราะเราถูกฝึกมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก คือหากไม่ใกล้สอบก็จะไม่ขวนขวายอ่านหนังสือ , หากเงินไม่ใกล้จะหมด ก็จะไม่เริ่มประหยัด, พอโตขึ้นมา แม้งานที่ทำจะไม่ก้าวหน้า แต่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน จนกระทั่งเจ้านายเริ่มเขม่นที่จะไล่เราออก จึงเริ่มหางานใหม่
ในด้าน การเงิน คนส่วนใหญ่ก็ทำงานและพยายามใช้จ่ายให้ดี แค่นั้นพอ ไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่านั้น เพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยาก และเป็นเรื่องไกลตัว จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มแย่ , เงินเริ่มไม่พอใช้, หรือ เมื่อเราต้องการเงินก้อนแต่ไม่มี เราจึงเริ่มคิดการออมอย่างจริงจัง, หรือบางคน ไม่เป็นหนี้ ไม่เริ่มคิดเรื่องเงิน!
ในขณะคนที่จะรวย มักจะคิดอะไรเป็นเรื่องของเงินเกือบตลอดเวลา จนบางครั้งเรามักบ่นเพื่อนรวยว่า คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด หรือ อาจเรียกว่า “งก” บ้างก็มี แต่สุดท้ายเพื่อนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จทางการเงิน ในขณะที่เรายังวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแห่งความจน ดังนั้น จงอย่าถามว่า เมื่อไรจะรวย จงเริ่มลงมือทำตั้งแต่บัดนี้ เริ่มที่จะเรียนรู้ ศึกษา ปรับความคิดตั้งแต่บัดนี้เพราะมันต้องใช้เวลา
-------------------------------------
ตั๋วเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน มีพร้อมสำหรับทุกคน
-------------------------------------
อนาคต เป็นสิ่งที่สดใสเสมอ สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมในวันนี้ ผมเคยสัมภาษณ์คนที่ปัจจุบันประสบความสำเร็จในชีวิตหลายๆคน เช่นคุณน้าผม ซึ่งมาจากต่างจังหวัดและมาทำขายข้าวแกงให้นักศึกษาอยู่หลายปี และมาเปิดหอพักเล็กๆอีกหลายปี และต่อมาก็เป็นเจ้าของ อพาทเม้นท์ หลังหนึ่ง และหลังที่สองและสามก็ตามมาในเวลาอันสั้น คนอื่นๆที่รวยแล้วก็มีลักษณะคล้ายๆกันคือ เริ่มต้นค่อยๆมีเงินขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ยังไม่เรียกว่ารวย จนมาถึงจุดหนึ่งที่เขาเริ่มคิดแบบคนรวยได้ และประสบการณ์ในความสำเร็จที่มากขึ้น มันต่อยอดความรวยเพิ่มอย่างรวดเร็ว เงินต่อเงิน ยิ่งทำให้รวยเร็วขึ้น และเมื่อรวยถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่สำคัญกว่าการต่อยอดความรวยคือ การรักษาสถานะให้มั่นคงหรือ รวยอย่างมั่นคง ไม่วูบล้มไปอีก
การมีอิสรภาพทางการเงินเป็นไปได้ สำหรับทุกคน เพียงแต่เมื่อไรเท่านั้นเอง ตามหลักการของพ่อรวยสอนลูกนั้น ยิ่งนาน เงินออมยิ่งสร้างกระแสเงินมากขึ้น ในตอนแรกๆ จะเห็นผลช้า เหมือนการต้มน้ำเย็น ที่ตอนแรก คุณก็นั่งมองว่ามันไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร น้ำดูเหมือนอุณหภูมิไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่พอน้ำเริ่มมีฟองอากาศ มันก็เริ่มเดือดอย่างรวดเร็ว ในตอนท้าย
ดังนั้นแม้คุณตอนนี้จะ เริ่มจากการออมเพียงไม่เยอะ แต่เมื่อมากถึงจุดหนึ่งมันจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งคนที่อ่านหนังสือผมมักจะถามว่า ทำอย่างไรให้รวยในทันที ซึ่งผมบอกไปว่า “ไม่มี” แต่สิ่งที่มีแน่ๆคือค่อยๆรวย จนวันหนึ่งเราก็มีอิสรภาพทางการเงิน อาจเป็นจุดที่เราเกษียณพอดี หรือ ก่อนหน้านั้นถ้าเราเก่งพอ (เดี๋ยวจะสอนให้บทต่อๆไป)
---------------------------
คนที่คิดว่า ตัวเองจะไม่รวย ก็จะไม่รวย
---------------------------
ความ รวยเป็นสิ่งที่ใครๆก็ต้องการ แต่ถ้าลองไปถามคนที่ยังไม่รวย 100 คน พบว่า 80 คนจะบอกว่า “ชาตินี้คงไม่สามารถรวยขึ้นมาได้” ทำไมจึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าลองไปถามคนที่เริ่มมีฐานะดีขึ้นมา หรือเริ่มจะรวยแล้ว เขาจะตอบว่า “ใครๆก็สามารถรวยขึ้นมาได้ การมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากเลย” แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้ นั่นเพราะมุมมองเรื่องการจะรวยได้มันต่างกัน
เมื่อ คนเราคิดว่าตัวเองมีโอกาสน้อยที่จะมีรวยขึ้นมาได้ แรงบันดาลใจ หรือความมุ่งมั่นที่อยากรวยมันก็ไม่มี และคนเราถ้าขาดความมุ่งมั่น ก็ยากที่จะทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ อย่างที่ สมจิตร จงจอหอ นักชกเหรียญทองโอลิมปิก สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ที่เขามีวันนี้ได้เพราะ “ความมุ่งมั่นที่จะเอาเหรียญโอลิมปิกมาให้ได้ และเขาก็พยายามอย่างไม่ยอมแพ้มากว่า 12 ปีเต็ม และวันนี้ เขาก็ทำความฝันนั้นสำเร็จได้”
เห็นมั้ยครับว่า ถ้าเรามุ่งมั่นในสิ่งใด พยายามทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก อย่างไม่ยอมแพ้ สักวันเราก็จะทำสิ่งนั้นสำเร็จ แต่ใครกันที่จะทำสิ่งหนึ่ง แบบทำแล้วทำอีก แม้จะล้มเหลว ก็ยังทำแล้วทำอีก? ตอบง่ายๆว่า ก็คือคนทุกๆคนที่มีแรงบันดาลใจ หรือพลังใจที่เต็มเปี่ยม เพราะมันคือแรงผลักดันให้เราสู้ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่อาจจะมีเข้ามา
ดัง นั้น ข้อแรกที่อยากแนะนำคือ คุณเชื่อผมเถอะว่า ใครๆก็มีโอกาสที่จะรวยขึ้นมาได้ ขอให้เริ่มจากความศรัทธาว่าคุณเองก็รวยได้ ส่วนความคิดบางอย่างที่เคยมีเช่น “ในโลกนี้มีเงินไม่มากพอให้ทุกคนรวยหรอก” , “คนทำผิดเป็นคนโง่” , “คนไม่มีปริญญาอย่างเรา ไปไหนได้ไม่ไกล” , “ฉันไม่มีวันรวยแบบเขาแน่” ฯลฯ ความคิดพวกนี้ ก็เหมือนที่เขาเชื่อว่า “โลกแบน” หรือ “มนุษย์ไม่มีทางไปดวงจันทร์ได้” นั่นแหละ มันเป็นเพียงความเชื่อที่ผิดๆ
-----------------------
ผลตอบแทน คือคำตอบความรวย
-----------------------
มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ย
ความ ลับของความรวย ที่สำคัญอีกอย่างที่คนรวยมักจะรู้ แต่คนทั่วไปอาจไม่รู้คือ พลังของดอกเบี้ย ซึ่งท่านอาจไม่คิดว่าดอกเบี้ยเพียงปีละ 10% คือการฝากเงินไว้ 100 บาทแล้วได้ดอกเบี้ยปีละ 10 บาทนี่แหละ จะมีความมหัศจรรย์เพียงนี้ ขอยกตัวอย่าง การออมเงินของ ฝาแฝด กอ และ ขอ
ตัวอย่าง นาย ก. เริ่มเก็บเงินเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่อายุ 25 ปี และเลิกเก็บเมื่ออายุ 35 ปี (ใช้เวลาเก็บ 10 ปี) หลังจากนั้น นาย ก. ก็ปล่อยให้เงินเก็บก้อนนั้นโตไปเรื่อยๆ จนอายุ 65 ปี
ตัวอย่าง นาย ข. ช่วงแรกๆ ชอบเที่ยวจึงไม่ได้เก็บเงิน และมาเริ่มเก็บเมื่ออายุ 30 ปี ( เริ่มช้ากว่านาย ก. 5 ปี) แต่นาย ข. มุ่งมั่นที่จะเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่อายุ 30 จนกระทั่ง อายุ 65 ปี ( ใช้เวลาเก็บ 35 ปี)
หากการเก็บเงินของคนทั้งคู่ เป็นการเก็บโดยการใส่กระปุก แล้วฝังดินเอาไว้ คือไม่มีผลตอบแทนจากดอกเบี้ยหรือ การลงทุนใดๆ
นาย ก. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 2,000 x 12 x 10 = 240,000 บาท
นาย ข. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 2,000 x 12 x 35 = 840,000 บาท
แต่หากทั้งคู่นำเงิน ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสัก 10% ต่อปี พลังของดอกเบี้ยจะทำให้
นาย ก. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 7,340,000 บาท
นาย ข. จะมีเงินเก็บเมื่ออายุ 65 ปี = 7,150,000 บาท
ข้อสังเกต
- ด้วยความสามารถพิเศษของดอกเบี้ย ทำให้เงินของทั้งคู่เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว จากการ นำเงินไปฝังดิน(ไม่ลงทุนเลย)
- พลังของดอกเบี้ยนี้เอง ทำให้นาย ก. ซึ่งเก็บเงินน้อยกว่านาย ข. แต่มีเงิน เมื่ออายุ 65 มากกว่า นาย ข.
- ** นี่คือ หลักการ “ให้เงินทำงานแทนเรา” เพราะนาย ก. เลิกเก็บเงินตั้งแต่ อายุ 35 แต่นาย ข. ขยันเก็บมาเรื่อยๆ
- ผลตอบแทนที่ ทบต้น จะทำให้เราได้เงินเพิ่มแบบ “ทวีคูณ” เช่น ในปีที่ 66 กับดอกเบี้ย 10% ทั้งคู่จะได้อีก ปีละ 700,000 กว่าบาท ( นี่แหละ ทำไมคนรวย ถึงยิ่งรวย เพราะใช้เพียงแค่ ดอกเบี้ย ก็พอกินแล้ว)
นี่หากท่านคิดว่า พลังของดอกเบี้ย ยังไม่มหัศจรรย์อีก ลอง ยกตัวอย่างใหม่ ดังนี้
ตัวอย่าง (ตามชีวิตจริง) หาก นาย ก. รู้จักวิธีการลงทุน และ ทำผลตอบแทนได้ปีละ 20% ในขณะที่ นาย ข. ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการลงทุน จึงนำเงินไปฝากประจำ ได้ดอกเบี้ยปีละ 3% ด้วยวิธีเก็บเงินแบบเดิม
กับผลตอบแทน 20% เมื่ออายุ 65 นาย ก. จะมีเงิน 177 ล้านบาท
กับผลตอบแทน 3% เมื่ออายุ 65 นาย ข. จะมีเงิน 1 ล้าน 5 แสน บาท
แทบ ไม่น่าเชื่อ กับคำตอบที่คำนวณได้ ผมเองยังทึ่งใน ความสามารถของ ดอกเบี้ยจริงๆ ดังนั้น เคล็ดลับความรวย อยู่ที่ การบริหารเงิน ไม่ใช่การหาเงิน
***** อันนี้เพิ่มเติมนะครับ สำหรับหัวข้อ "มหัศจรรย์แห่งดอกเบี้ย"
หลายท่านอาจจะแย้งว่า ในปัจจุบันนี้หาผลตอบแทนที่เกิน 4% นี่ก็รากเลือดกันแล้ว มันเพ้ิอฝันมากกับ return 10%
ความจริงผมอ่านหัวข้อนี่เสร็จมันมีความหมายโดยนัยอย่างนึง(อาจจะมากกว่านี้)นั่นคือสอนเราในเรื่องการให้เงินมันทำงานแทนเรา
ไม่ ใช่สักแต่ว่าทำงานประจำหนักอดออมกันหน้าเขียวอย่างเดียวอย่างนั้นนะไม่จนแน่ แต่ก็ไม่รวย เข้าทำนองที่ว่า Work Smart but not Work hard
แต่ถ้าจะ Work Hard ตลอดก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะคุณไม่สามาระ Work Hard ได้ตลอดชีวิต แต่คุณต้อง Work Smart ตลอดชีวิตมากกว่า
OK พอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะโชว์โง่ไปมากกว่านี้ อิอิ
-----------
"รวยแล้วถึงรู้"
-----------
คน หลายคนเมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน อาจคิดเหมือนพ่อผม ที่คิดว่า “ตอนหนุ่มมีแรง ก็ทำงานให้เต็มที่ แล้วค่อยๆ ออมเงินไว้ตอนแก่จะได้สบาย ได้ไปเที่ยวรอบโลก” แต่เอาจริงๆ พ่อเริ่มมีลูก ค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม ต้องส่งลูกเรียน และ พอแก่ตัวลง สุขภาพก็เริ่มแย่ ต้องเอาเงินที่หามาได้ จ่ายคืนเป็นค่ารักษาสุขภาพร่างกายที่ใช้ไปอย่างหนัก ในตอนหนุ่มกลับคืนมา เปรียบดั่งสุภาษิต คนที่วิ่งตามเงาตัวเอง วิ่งอย่างไรก็ไล่ตามเงานั้นไม่ทัน ซึ่งแม้ผมจะเห็นคุณพ่อเป็นบทเรียนที่ไม่ถูกต้องแล้ว แต่ผมก็เริ่มต้นการทำงานด้วยความคิดแบบเดียวกับท่าน เพราะผมมองไม่เห็นหนทางอื่น นอกจากทำงานให้ดีที่สุด แล้วเก็บเงินให้มากๆ จนสุดท้ายผมก็พลาดและเป็นหนี้ จึงได้เรียนรู้ว่าวิธีแบบนี้ มันผิด!
ชีวิต ของคนทำงานเหมือน อยู่ในเขาวงกต หาทางออกไม่ได้ ผมเคยคิดกับตัวเองว่า ทำไมสิ่งดีๆ มันไม่เกิดกับผมบ้าง ทำไมผมจึงมองหาโอกาสดีๆที่จะลงทุน แบบเพื่อนรวยของผมไม่ได้ , ทำไมพอผมทำธุรกิจ มันก็ล้มเหลว, หรือธุรกิจที่ผมคิดจะทำแต่ไม่กล้าเริ่ม พอคนอื่นทำแล้วเจริญรุ่งเรือง ? มันเป็นคำถามที่ค้างคาใจผมมาก ยิ่งได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่น ประสบความสำเร็จไปทีละคน ไอ้คนที่รวยก็รวยขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเพื่อนกลุ่มที่ธรรมดา ก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาต่อไป
แต่ผมโชคดีที่ มีเพื่อนดี นั่นคือเพื่อนที่ผมเรียกว่า “เพื่อนรวย” นั่นเอง เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี และทำอะไรให้ผมทึ่งได้เสมอเลย เขาสอนผมว่า สิ่งแรกที่ต้องฝึกคือการมองโลกในแง่บวก แล้วทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นเอง ปัญหาทาการเงินที่ว่ายากๆ ก็จะแก้ไขได้ไม่ยาก เพราะเหรียญมันมีสองด้านเสมอ ให้ผมฝึกที่จะมองเหรียญในด้านบวก แล้วสิ่งดีๆจะตามมาเอง มันเป็นความน่าอัศจรรย์ที่เพื่อนผมบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เขาย้ำให้ผมลองฝึกดู ซึ่งในช่วงแรกของการเริ่มคิดบวก ชีวิตผมก็ยังเหมือนเดิม แต่ความพยายามที่จะฝืนมองบวกไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย แล้วต่อจากนั้น ผมไม่ใช่แค่ “คิดบวก” แต่ผม “รู้สึกได้ถึงด้านบวก” ของสิ่งต่างๆ ซึ่งสำหรับคนที่ทางครอบครัวไม่เคยปลูกฝังความคิดแบบนี้ หรือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อาจไม่เข้าใจว่าทำอย่างไร แต่ความคิดที่ดีๆ สามารถถ่ายทอดต่อได้ อย่างในครอบครัวคนจีน จะถูกปลูกฝังเรื่องการทำธุรกิจโดยการกระทำให้เห็นจน รุ่นลูกก็มีทัศนะคติในการค้าขาย จากการเห็นพ่อแม่คุยเรื่องการค้ามากๆ
สำหรับ ตัวผมเอง ผมไม่รู้ว่า การมองโลกในด้านบวก แล้วชีวิตเริ่มดีขึ้น หรือ ชีวิตผมเริ่มดีขึ้น ผมจึงเริ่มมองโลกในด้านบวก (ไม่รู้ว่า อะไรเกิดขึ้นก่อน) แต่สิ่งสองอย่างนี้ มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง คู่กันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ ผมเริ่ม ปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิต และแล้ว เงินทองก็ไหลเข้ามาหาผมเรื่อยๆ อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
หากจะระบุ เฉพาะในเรื่องของเงินๆทองๆ หรือ เรื่องทัศนคติ เกี่ยวกับการเงิน ผมบอกได้จากประสบการณ์ส่วนตัวว่า คนที่ยังไม่รวย กับ คนที่รวยแล้ว(หรือคนที่จะรวยได้) มีมุมมองเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเงินต่างกันมาก ผมเมื่อสิบปีที่แล้ว กับผมในตอนนี้ ก็มีความคิดเกี่ยวกับเงินที่ต่างกันมาก จนผมพูดได้ว่ามุมมองเกี่ยวกับเงินของคนจน กับคนรวยนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจะเริ่มต้นจากการปรับทัศนะคติเกี่ยวกับเงินให้ถูกต้องเสียก่อน แล้วการกระทำจะเปลี่ยนแปลงตามไปเอง หรือเรียกว่า ปรับทิศทางเดินให้ถูก และเมื่อเราเดินไปถูกทาง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เราก็จะถึงจุดหมายสักวัน
------------------------------
"คำแก้ตัว คืออุปสรรคของการปรับปรุงตัว"
------------------------------
(เข้าทำนองที่ว่า คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว ^^)
พูด ถึงคำแก้ตัว หากคุณลองไปพูดคุยกับคนหลายๆคน เรื่องการจะรวยเช่น ถามว่า “คุณคิดว่า คุณจะมีโอกาสรวยในชีวิตนี้หรือไม่ เพราะอะไร?” แล้วคุณจะได้คำตอบมากมาย ซึ่งแต่ละคำตอบบ่งบอกได้ว่าแต่ละคนคิดอย่างไรกับอนาคตของตนเอง เพราะคุณคิดว่า คุณจะเป็นอย่างไรในอนาคต ชีวิตก็จะไปทางนั้นจริงๆ โดยคำตอบที่ซ้ำๆกันจะมีดังนี้
“ไม่มีใครเคยสอนฉัน วิธีที่จะรวย” : หลายคนอาจจะโทษพ่อแม่ ,ครู , การศึกษา หรือ สังคมที่ไม่เคยสอนเขาว่า จะรวยต้องทำอย่างไร จะหาเงินเยอะๆต้องทำอย่างไร ทั้งๆที่ คนพูด(เพื่อนผมเอง) ก็อายุ 32 แล้วยังไม่สามารถหาหนทาง หรือศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้เองหรืออย่างไร คนอื่นๆเขาก็สามารถศึกษากันได้เองกันเยอะแยะ เลิกแก้ตัวแล้วเอาเวลาไปศึกษาหาความรู้เถอะ
“ฉันเกิดมาจน โอกาสก็น้อยกว่าคนอื่น” : แม้การที่เกิดมาฐานะไม่ดี อาจจะเป็นการเริ่มต้น ที่ยากกว่าการมีฐานะปานกลาง แต่มันก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามว่า คนเกิดมาจน จะไม่มีโอกาสรวย แต่เท่าที่สังเกต กับเป็นตรงกันข้าม คือคนที่เกิดมาด้อยกว่า หากมีแรงบันดาลใจ มักจะมีพลังในการพยายามมากกว่า คนทั่วไป และก็มีตัวอย่างเช่น ชาวจีนที่มาเมืองไทย ก็เริ่มต้นจากเสื่อผืนหมอนใบ หรือ ตัวผมเองที่เริ่มต้นจาก สถานะติดลบ(เป็นหนี้) ก็สามารถพลิกฟื้นมาได้ โอกาสจะมีเสมอ สำหรับผู้แสวงหามัน
“ฉันไม่ชอบเลข” : เรื่องของการสร้างเงินออม หรือการเริ่มต้นธุรกิจ หรือการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวเลขมากขนาดนั้น นอกจากคุณทำอาชีพเป็นนักบัญชี แต่ถ้าไม่ใช่ คนไม่ชอบเลข อย่างเช่นคนจบสายศิลป์ ก็มีฐานะดีกันถมไป
“ฉัน ทำงานได้เงินเดือนนิดเดียว จะรวยได้เหรอ” : ได้สิครับ เพราะเคล็ดลับของความรวยที่จะบอกในบทต่อไป คือไม่ว่าคุณจะมีเงินต้นเท่าไร มันไม่สำคัญเท่ากับว่า คุณเริ่มต้นลงทุนเมื่อไร และ ผลตอบแทนการลงทุนของคุณเป็นเท่าไร นั่นแหละสิ่งที่จะทำให้คนเรารวยได้จริงๆ
“ฉันไม่ใช่คนเก่งนะ” : ผมก็ไม่รู้ว่า คุณไม่เก่งในด้านใด เพราะจริงๆในโลกนี้ทุกคนมีความสามารถกันคนละด้าน บางคนเก่งเรื่องบริหารงาน บางคนเก่งทำงานเอกสาร หรือบางคนเรียนเก่ง แต่ทำงานบริษัทไม่เก่ง แต่ไปเป็นอาจารย์แล้วรวย ก็มีเยอะ คุณลองมองดูว่าคุณถนัดอะไร นั่นแหละครับ จุดแข็งของคุณ จงเน้นแสดงจุดแข็ง และอย่าไปกังวลเรื่องจุดอ่อน เดี๋ยวชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆเอง
--------------------------------
"โอกาสรวยอยู่ตรงหน้า เพียงแต่เราไม่สังเกต"
--------------------------------
เพื่อน ผมชื่อ เอก ทำงานอยู่ ธนาคารกรุงเทพฯที่สาขาสีลม บ้านอยู่แถวบางนา ซึ่งเขาจะใช้บริการรถไฟฟ้าเข้ามาทำงานเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว ในช่วงปี 49 เมื่อเพื่อนรวยของผมได้ชักชวนเพื่อนมาซื้อคอนโดเพื่อการลงทุน โดยแนะนำให้หาคอนโดที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟฟ้า ยิ่งติดสถานีเลยยิ่งดี นาย เอก กลับบอกว่า มีด้วยหรือคอนโดที่ติดสถานีรถไฟฟ้าเลย เขาบอกว่าเขาใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวันไม่เคยสังเกตเห็นนี่นา และแล้วพวกเราก็พากันขับรถตระเวนไปตามเส้น สุขุมวิท, สาธร, สีลม, ราชดำริ ปรากฏว่าเราเจอโครงการคอนโดทั้งที่จะขึ้น และขึ้นมาแล้ว 14 โครงการเป็นอย่างน้อย ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า และเมื่อนาย เอกเห็นอย่างนั้น ก็พูดว่า “โอ้โหไม่น่าเชื่อจะมีเยอะขนาดนี้” เชื่อมั้ยครับ หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ นายเอก บอกกลับพวกเราว่า ตอนนี้เขานั่งรถไฟฟ้ากลับบ้าน เห็นแต่คอนโดแถวๆ สถานีเต็มไปหมดเลย และน่าจะมีมากกว่าที่พวกเราเห็นอีกนะเนี่ย
ปรากฎการณ์แบบนี้เรียก ว่า เมื่อเริ่มสังเกต ก็เริ่มเห็น เรื่องแบบนี้ ลูกค้าธนาคารที่มาซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนตราสารหนี้ ก็เคยบอกกับผมว่า เมื่อก่อนไม่รู้ว่า จะมีตราสารหนี้ขายเยอะขนาดนี้เลย แต่พอเริ่มลงทุนในตราสารหนี้ ก็จะเห็นว่ามีโฆษณาขายตราสารหนี้ในหนังสือพิมพ์เกือบทุกสัปดาห์ เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตเลยนะเนี่ย
การพบเห็นโอกาสจะมีมากขึ้นไปอีกหาก คุณออกแสวงหามัน เช่นแทนที่ผมจะบ่นว่า ในซอยนี้มีร้านอินเตอร์เน็ต เยอะแล้วทำให้ผมหมดโอกาสเปิดร้านอินเตอร์เน็ตอย่างที่คิดไว้ ผมก็สามารถเดินทางไปดูตามสถานที่อื่นๆได้อีก , เมื่อผมได้มีโอกาสไปสัมมนาเรื่อง การลงทุนในกองทุน ผมเหมือนได้เปิดประตูสู่โลกอีกใบที่มีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้ และของพวกนี้ยิ่งสนใจ ยิ่งศึกษา ยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นผมอาจสรุปได้ว่า โอกาสดีๆ มีอยู่มากมายจริงๆ ขึ้นกับว่าเราจะเลือกอันไหนที่เหมาะกับเราเท่านั้นเอง จงเริ่มฝึกมองตั้งแต่วันนี้ แล้วอีกไม่กี่สัปดาห์คุณจะเห็นอะไรใหม่ๆ และดีๆอีกมากเลย
การวางแผนการเงิน
ถอดสูตร 'เร่ง' ความรวย..
การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่คน รุ่นใหม่คุ้นเคยกันแล้ว แต่หากจะ ”ก้าวไปอีกขั้น" เช่น กำหนดเป้าหมายความรวย เป็นเศรษฐีมีเงิน 1 ล้าน 5 ล้าน 10 ล้านบาท จะสร้างความรวยแบบติดสปีด หรือรวยแบบพอดี ไม่ปล่อยให้ความมั่งคั่งผ่านหน้าไปเฉยๆ ก็มีกลุยทธ์การออม วิธีลงทุน ซึ่งนักการเงินได้วางแผนให้แบบมืออาชีพ
หากลงมือทำและทำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดภาวะเช่นใด ตลาดหุ้นผันผวน อสังหาฯ ตกต่ำ หรือเศรษฐกิจชะลอตัว ก็ยังไปสู่เป้าหมายนั้นได้
อยาก จะ "รวย" เป็นเศรษฐีเงิน 10 ล้าน จึงไม่ได้เป็นเรื่อง “ไกลตัว” อีกต่อไป หากรู้จักการวางแผนการเงิน หาช่องทางลงทุน ตลอดจนจัดพอร์ตลงทุน ให้ถูกจังหวะ ถูกวิธี
สูตรสู่ความรวยมีหลากหลายวิธี สำหรับ "นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เจ้าตำรับนักลงทุนหุ้นมูลค่า(Value Investor) คนแรกของเมืองไทย ได้สร้างสูตร "เร่ง" ความรวย ไว้ 3 สเต็ปด้วยกัน
สเต็ปแรก.."เซฟรายจ่าย สร้างรายได้เพิ่ม" ด้วยการเก็บเงินที่ได้จาก "น้ำพักน้ำแรง" ให้เป็นเม็ดเงินมากที่สุด..
นั่นคือ ต้องหารายได้ให้มากที่สุด และจ่ายให้น้อยที่สุด
"ใน การหารายได้นั้น ถ้าหากเป็นคนเก่งควรจะต้องพยายามทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้รับการโปรโมทให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น และอาจจะทำให้มีโอกาสย้ายงานไปในที่ที่ให้เงินเดือนสูงขึ้น เพราะตำแหน่งที่สูงขึ้นและการย้ายงานจะเป็นหนทางทำให้รายได้เพิ่มขึ้นแบบ ก้าวกระโดด
ถ้าคุณมีศักยภาพที่จำกัด อาจใช้วิธีหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานในหน้าที่ประจำ ก็จะเป็นหนทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ ขณะที่ต้องควบคุมรายจ่ายไม่ให้เพิ่มเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ถ้าทำได้แบบนี้จะทำให้กระแสเงินจากน้ำพักน้ำแรงเพิ่มขึ้นเร็วมาก"
ขณะ เดียวกัน นอกจากเก็บออมเงินด้วยการสมทบเงินเข้า "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" เดือนละ 3-5% ต่อเดือนแล้ว หากต้องการมีเป้าหมายเพื่อใช้ชีวิตที่สุขสบายเมื่อเกษียณ นิเวศน์บอกว่าแม้บริษัทจะสมทบให้อีกเท่าตัว แต่ควรจะเก็บเงินส่วนตัวเพิ่มอีก 10% ของเงินเดือน จะทำให้มีชีวิตในบั้นปลายอย่างพอใช้หรือระดับปานกลาง
แต่หากต้องการเร่งความรวยขึ้นไปอีก นิเวศน์บอกว่า ต้องวางแผนการใช้เงิน และใช้วิธีออมเงินแบบ "ตึง" หรือ "เร่งเต็มที่"
"แบบ ตึงคือ มีเป้าหมายในชีวิตที่จะเร่งความรวย อันนี้ต้องเก็บออมให้มากสุด บอกไม่ได้ว่าเท่าไร ขึ้นอยู่กับภาระของแต่ละคน แต่ความเห็นของผมคือ ถ้าจะเร่งความรวย ต้องตัดรายจ่ายใหญ่ๆ 3 รายการออกไปก่อน คือ ผ่อนบ้าน รถยนต์ และท่องเที่ยว หรือใช้จ่ายให้น้อยที่สุด หากตัดรายการพวกนี้ออกไปได้จะทำให้ไม่มีภาระใช้จ่าย
การใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ให้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น แต่ต้องเก็บให้มากที่สุด"
ใน ทางกลับกัน หากไม่ได้เร่งหรือออมเงินแบบหย่อนยาน เช่น การแช่เงินไว้กับธนาคารเพียงอย่างเดียว จะทำให้มีเงินไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ
นี่คือ แนวทางสร้างความรวยในขั้นแรกที่ "ไม่มี" ความเสี่ยง แต่เขาบอกว่าหากไม่เร่ง หรือวางแผนการเงิน ก็จะได้ผลตอบแทนไม่เพียงพอใช้จ่ายในอนาคต
จึงมาสู่ "สเต็ปสอง"..การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Assets allocation) โดยนำเงินก้อนที่เก็บออมมาได้ ไปจัดสรร หรือจัดสำรับลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
แนวทางนี้เป็นเส้นทางสร้างความรวย "สายกลาง" หรือแบบมาตรฐาน ตามแบบฉบับ "นักการเงิน" มืออาชีพ
"เส้น ทางสายกลางนี้จะเป็นการจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสม โดยให้ "คนอื่นลงทุน" ให้เรา เช่น ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ อาจไม่ต้องเชี่ยวชาญด้านลงทุนส่วนตัว เพียงแต่รู้ว่า แต่ละกลุ่มสินทรัพย์มีความเสี่ยง และผลตอบแทนเป็นอย่างไร"
หลักคิด ง่ายๆ ในการจัดสรรเงิน นิเวศน์แนะนำให้กระจายไปยังตราสารหลักต่างๆ 3 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นเงินสด พันธบัตรและตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และหุ้น
โดยอาจจะเป็นการลงทุนใน "กองทุนรวม" ประเภทต่างๆ ที่บริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
นิเวศน์ บอกว่า การจัดสรรสินทรัพย์ให้เหมาะสมตามสูตรของนักการเงินจะจัดสัดส่วนเงินลงทุนใน "หุ้น" ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
หลักการคือ ใช้วิธีพิจารณา "อายุ" ของผู้ลงทุนเป็นเกณฑ์ เนื่องจากผู้ลงทุนอายุยังน้อย หากขาดทุนก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ใหม่ โดยแนวคิดทางการเงินทั่วไป จะเอา 100 ลบด้วยอายุผู้ลงทุน หรือ 80, 60 ลบอายุ จะได้สัดส่วนการลงทุนในหุ้น หรือวันที่เราตายต้องไม่มีหุ้นเหลืออยู่
เช่น ปัจจุบันอายุ 25 ปี นำ 100 มาลบก็จะได้สัดส่วนลงทุนในหุ้น เท่ากับ 75% หรือพออายุเพิ่มขึ้นเป็น 40 ปี เมื่อเอา 100 ไปลบ เท่ากับ 60% ที่จะลงทุนในหุ้น
หรือถ้านำ 80 ลบอายุ 30 ปีจะเท่ากับลงทุนในหุ้น 50%
"โดย หลักการอายุน้อยเสี่ยงได้มาก แต่อายุมากอย่าเสี่ยงมาก เพราะเมื่อหุ้นตกขาดทุน หรือเกิดวิกฤติ เราจะไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง เพราะไม่มีโอกาสทำงานแล้ว"
เมื่อจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นได้แล้ว..
ต่อมา..จัดสรรเงินลงทุนในพันธบัตรและถือเงินสด ซึ่งสัดส่วนลงทุนนี้จะมีความมั่นคงและปลอดภัยมากที่สุด
นิเวศน์ บอกว่า สัดส่วนเงินสดไม่ควรจะเกิน 20% เพื่อให้มีสภาพคล่อง หรือเก็บสำรองไว้เพื่อโอกาสลงทุนเพิ่ม ส่วนเงินที่เหลือจะเป็นเงินลงทุนในพันธบัตร หรือลงทุนในตราสารซิเคียวริไทเซชั่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่า ซึ่งจะมีความมั่นคง รายได้ผันผวนไม่มาก
เมื่อจัดสรรเงินลงทุนได้แล้ว จากนั้นก็พยายามรักษาสัดส่วนลงทุนนั้นไว้
"นี่คือ เส้นทางสายกลางในการจัดสรรเงิน มองโดยทั่วไปเป็นเส้นทางที่ใช้ได้ ไม่เร่งเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เป็นสายมาตรฐาน
การ ลงทุนแบบทางสายกลางนี้จะมีความเสี่ยงไม่สูง ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี เทียบกับทางสายหย่อนคือ การฝากเงินอย่างเดียว จะได้ผลตอบแทนราว ๆ 2-3% ต่อปี"
อย่างไรก็ตาม หากต้องการ "เร่ง" ความรวยสำหรับการลงทุนตามเส้นทางสายกลางก็สามารถทำได้
นิเวศน์ บอกว่า ผู้ลงทุนสามารถเร่งความรวย "เต็มพิกัด" ในเส้นทางสายกลางนี้ได้ โดยใช้วิธีใส่เงินลงทุนในกองทุน "หุ้น" ให้มีสัดส่วนมากสุดถึง 90% และถือเงินสด 10%
ถ้าลงทุนแบบนี้ จะทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวเพิ่มเป็น 10% หรือผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นมาอีกราว 3-4% ขณะที่ทางสายกลางจะได้เพียง 6-7% ต่อปี
"ความเสี่ยงของทางสายเร่งนี้ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเสี่ยงสูงมาก แต่ความจริงแล้วถ้าลงทุนในระยะยาว 20-30 ปี ทางสายเร่งนี้ก็ไม่เสี่ยง จากการติดตามการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก การลงทุนระยะยาวส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารอื่นทุกชนิด
หรือ อย่างกรณีตลาดหุ้นไทย 30 ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ขณะที่ตลาดหุ้นอเมริกาเฉลี่ย 11% ต่อปี ส่วนตลาดอื่นๆ 6-7% ต่อปี เท่ากับว่าลงทุนในทางสายเร่งนี้ก็จะได้ผลตอบแทนประมาณนี้"
สเต็ปสาม.. ลงทุน "ด้วยตัวเอง" แบบโฟกัส และใช้แนวทางการลงทุนแบบ "เน้นมูลค่า" ( Value Investment )
นิเวศน์ บอกว่า ถ้าต้องการจะ "เร่งความรวย" อย่างเต็มพิกัดขึ้นไปอีก ก็ต้องใช้วิธีการลงทุนด้วยตัวเอง จะต้องเรียนรู้การลงทุนแบบ แวลู อินเวสเมนท์ หรือลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" ในตราสารทุกประเภท
"ไม่ว่า จะลงทุนในอะไรก็ตาม ต้องใช้หลักการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" เช่น พันธบัตร ซิเคียวริไทเซชั่น อสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องเป็นแนวเน้นมูลค่า หมายความว่า ทุกครั้งที่เลือกลงทุนจะต้องศึกษาหามูลค่าที่แท้จริงของตราสาร ศึกษาถึงพื้นฐานของมันจริงๆ
คือ ตราสารที่ซื้อจะสร้างกระแสเงินสด จ่ายมาเป็นปันผล หรือผลตอบแทนให้แก่เรามากน้อยแค่ไหน เติบโตแค่ไหน และเราต้องพยายามซื้อตราสารที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
นิเวศน์ บอกว่า เมื่อต้องการเร่งความรวยอย่างเต็มที่ และรวยเร็วที่สุด จะต้องลงทุนใน "หุ้น" ด้วยตัวเอง เนื่องจากหุ้นเป็นตัวสำคัญที่จะเร่งความรวย และจะต้องเป็นพอร์ตการลงทุนหุ้น จะต้องเป็นแบบโฟกัส หมายถึง จะต้องถือหุ้นน้อยตัว อาจจะมีหุ้นหลักๆ เพียง 5-6 ตัว แต่ละตัวต้องใหญ่พอควรคิดเป็นเงินถึง 3 ใน 4 ของเงินทั้งหมดในพอร์ต
เช่น ถ้าพอร์ตลงทุน 1 ล้านบาท ควรลงทุนหุ้นแต่ละตัว ราว 1-2 แสนบาท ถ้าเป็นเบี้ยหัวแตกการลงทุนจะไม่เป็นผล
"ด้วย วิธีเร่งเต็มที่ หรือแบบซูเปอร์ไฮเวย์นี้ เราอาจจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากหุ้นขึ้นอีก 3-4% ต่อปี ซึ่งในระยะยาวแล้วจะทำให้เรารวยเร็วขึ้นมาก หรืออาจจะได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี"
นิเวศน์บอกว่า เงินที่เราลงทุนทบต้นในทุกๆ 17 ปี จะงอกเงยเพิ่มเป็น 10 เท่า หากทบต้น 34 ปี ก็เป็น 100 เท่า
ฉะนั้น เงินทุกก้อนที่ใส่ไปจะทบขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่เอาออกมาใช้เลย ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 15% เมื่ออายุ 40-50 ปี เงินก็จะเพิ่มเป็น 40-50 ล้านบาทแล้ว เพียงพอใช้ยามเกษียณได้แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าถ้ามีเงินลงทุนมากก็ร่ำรวยมาก
เจ้าตำรับนักลงทุนหุ้นมูลค่าบอกว่า หากเร่งรวยในสเต็ปที่ 3 จะประสบความสำเร็จ มีโอกาสมั่งคั่งและมีอิสรภาพการเงินเร็วที่สุด
"การ ตั้งเป้ามีเงิน 10 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเวลาเราลงทุน หลักการคือ เมื่อมีเงินก้อนจะเก็บไว้ใช้บั้นปลายชีวิตเท่านั้น เมื่อมีกำไรต้องเก็บเอาไว้ อย่าดึงเอาไปใช้จ่าย แต่ต้องทบต้นไปเรื่อยๆ ได้กำไรเท่าไรไม่เอาออก ทบต้นไปทุกปี
หลักการทบต้นนี้จะทำให้เงินงอกเงินรวดเร็ว จะทำให้อัตราเร่งรวยสูงมากเป็นทวีคูณ
แต่ ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่จะไม่ได้เร่งในทุกสเต็ป อาจตึงในสเต็ปที่ 2 และ ที่ 3 แต่การเริ่มต้นสเต็ปแรก เป็นเรื่องค่อนข้างยาก ถ้าคุณไม่ตัดสินใจการลงทุน จะเป็นทางสายหย่อนหมด เพราะเงินจะอยู่กับการฝากแบงก์ เพราะไม่กล้าเสี่ยง ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนต่ำสุด"
ขณะที่คนที่เลือกเดินทางสาย หย่อนทั้ง 3 สเต็ป โอกาสที่จะร่ำรวยหรือเกษียณอายุจะอยู่อย่างลำบาก หากเร่งเต็มที่ในสเต็ปแรก อาจจะเกษียณด้วยความสุขพอควร
แต่หากเดินสายกลาง อาจเกษียณอายุเร็วขึ้นและสบายกว่า
และถ้าใช้ทางสายตึงในสเต็ปสุดท้าย จะสบายที่สุด
การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่คน รุ่นใหม่คุ้นเคยกันแล้ว แต่หากจะ ”ก้าวไปอีกขั้น" เช่น กำหนดเป้าหมายความรวย เป็นเศรษฐีมีเงิน 1 ล้าน 5 ล้าน 10 ล้านบาท จะสร้างความรวยแบบติดสปีด หรือรวยแบบพอดี ไม่ปล่อยให้ความมั่งคั่งผ่านหน้าไปเฉยๆ ก็มีกลุยทธ์การออม วิธีลงทุน ซึ่งนักการเงินได้วางแผนให้แบบมืออาชีพ
หากลงมือทำและทำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดภาวะเช่นใด ตลาดหุ้นผันผวน อสังหาฯ ตกต่ำ หรือเศรษฐกิจชะลอตัว ก็ยังไปสู่เป้าหมายนั้นได้
อยาก จะ "รวย" เป็นเศรษฐีเงิน 10 ล้าน จึงไม่ได้เป็นเรื่อง “ไกลตัว” อีกต่อไป หากรู้จักการวางแผนการเงิน หาช่องทางลงทุน ตลอดจนจัดพอร์ตลงทุน ให้ถูกจังหวะ ถูกวิธี
สูตรสู่ความรวยมีหลากหลายวิธี สำหรับ "นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เจ้าตำรับนักลงทุนหุ้นมูลค่า(Value Investor) คนแรกของเมืองไทย ได้สร้างสูตร "เร่ง" ความรวย ไว้ 3 สเต็ปด้วยกัน
สเต็ปแรก.."เซฟรายจ่าย สร้างรายได้เพิ่ม" ด้วยการเก็บเงินที่ได้จาก "น้ำพักน้ำแรง" ให้เป็นเม็ดเงินมากที่สุด..
นั่นคือ ต้องหารายได้ให้มากที่สุด และจ่ายให้น้อยที่สุด
"ใน การหารายได้นั้น ถ้าหากเป็นคนเก่งควรจะต้องพยายามทำงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้รับการโปรโมทให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น และอาจจะทำให้มีโอกาสย้ายงานไปในที่ที่ให้เงินเดือนสูงขึ้น เพราะตำแหน่งที่สูงขึ้นและการย้ายงานจะเป็นหนทางทำให้รายได้เพิ่มขึ้นแบบ ก้าวกระโดด
ถ้าคุณมีศักยภาพที่จำกัด อาจใช้วิธีหารายได้เสริมนอกเหนือจากงานในหน้าที่ประจำ ก็จะเป็นหนทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ ขณะที่ต้องควบคุมรายจ่ายไม่ให้เพิ่มเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ถ้าทำได้แบบนี้จะทำให้กระแสเงินจากน้ำพักน้ำแรงเพิ่มขึ้นเร็วมาก"
ขณะ เดียวกัน นอกจากเก็บออมเงินด้วยการสมทบเงินเข้า "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" เดือนละ 3-5% ต่อเดือนแล้ว หากต้องการมีเป้าหมายเพื่อใช้ชีวิตที่สุขสบายเมื่อเกษียณ นิเวศน์บอกว่าแม้บริษัทจะสมทบให้อีกเท่าตัว แต่ควรจะเก็บเงินส่วนตัวเพิ่มอีก 10% ของเงินเดือน จะทำให้มีชีวิตในบั้นปลายอย่างพอใช้หรือระดับปานกลาง
แต่หากต้องการเร่งความรวยขึ้นไปอีก นิเวศน์บอกว่า ต้องวางแผนการใช้เงิน และใช้วิธีออมเงินแบบ "ตึง" หรือ "เร่งเต็มที่"
"แบบ ตึงคือ มีเป้าหมายในชีวิตที่จะเร่งความรวย อันนี้ต้องเก็บออมให้มากสุด บอกไม่ได้ว่าเท่าไร ขึ้นอยู่กับภาระของแต่ละคน แต่ความเห็นของผมคือ ถ้าจะเร่งความรวย ต้องตัดรายจ่ายใหญ่ๆ 3 รายการออกไปก่อน คือ ผ่อนบ้าน รถยนต์ และท่องเที่ยว หรือใช้จ่ายให้น้อยที่สุด หากตัดรายการพวกนี้ออกไปได้จะทำให้ไม่มีภาระใช้จ่าย
การใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ให้ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น แต่ต้องเก็บให้มากที่สุด"
ใน ทางกลับกัน หากไม่ได้เร่งหรือออมเงินแบบหย่อนยาน เช่น การแช่เงินไว้กับธนาคารเพียงอย่างเดียว จะทำให้มีเงินไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ
นี่คือ แนวทางสร้างความรวยในขั้นแรกที่ "ไม่มี" ความเสี่ยง แต่เขาบอกว่าหากไม่เร่ง หรือวางแผนการเงิน ก็จะได้ผลตอบแทนไม่เพียงพอใช้จ่ายในอนาคต
จึงมาสู่ "สเต็ปสอง"..การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Assets allocation) โดยนำเงินก้อนที่เก็บออมมาได้ ไปจัดสรร หรือจัดสำรับลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
แนวทางนี้เป็นเส้นทางสร้างความรวย "สายกลาง" หรือแบบมาตรฐาน ตามแบบฉบับ "นักการเงิน" มืออาชีพ
"เส้น ทางสายกลางนี้จะเป็นการจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสม โดยให้ "คนอื่นลงทุน" ให้เรา เช่น ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ อาจไม่ต้องเชี่ยวชาญด้านลงทุนส่วนตัว เพียงแต่รู้ว่า แต่ละกลุ่มสินทรัพย์มีความเสี่ยง และผลตอบแทนเป็นอย่างไร"
หลักคิด ง่ายๆ ในการจัดสรรเงิน นิเวศน์แนะนำให้กระจายไปยังตราสารหลักต่างๆ 3 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นเงินสด พันธบัตรและตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และหุ้น
โดยอาจจะเป็นการลงทุนใน "กองทุนรวม" ประเภทต่างๆ ที่บริหารโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ
นิเวศน์ บอกว่า การจัดสรรสินทรัพย์ให้เหมาะสมตามสูตรของนักการเงินจะจัดสัดส่วนเงินลงทุนใน "หุ้น" ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ
หลักการคือ ใช้วิธีพิจารณา "อายุ" ของผู้ลงทุนเป็นเกณฑ์ เนื่องจากผู้ลงทุนอายุยังน้อย หากขาดทุนก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ใหม่ โดยแนวคิดทางการเงินทั่วไป จะเอา 100 ลบด้วยอายุผู้ลงทุน หรือ 80, 60 ลบอายุ จะได้สัดส่วนการลงทุนในหุ้น หรือวันที่เราตายต้องไม่มีหุ้นเหลืออยู่
เช่น ปัจจุบันอายุ 25 ปี นำ 100 มาลบก็จะได้สัดส่วนลงทุนในหุ้น เท่ากับ 75% หรือพออายุเพิ่มขึ้นเป็น 40 ปี เมื่อเอา 100 ไปลบ เท่ากับ 60% ที่จะลงทุนในหุ้น
หรือถ้านำ 80 ลบอายุ 30 ปีจะเท่ากับลงทุนในหุ้น 50%
"โดย หลักการอายุน้อยเสี่ยงได้มาก แต่อายุมากอย่าเสี่ยงมาก เพราะเมื่อหุ้นตกขาดทุน หรือเกิดวิกฤติ เราจะไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง เพราะไม่มีโอกาสทำงานแล้ว"
เมื่อจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นได้แล้ว..
ต่อมา..จัดสรรเงินลงทุนในพันธบัตรและถือเงินสด ซึ่งสัดส่วนลงทุนนี้จะมีความมั่นคงและปลอดภัยมากที่สุด
นิเวศน์ บอกว่า สัดส่วนเงินสดไม่ควรจะเกิน 20% เพื่อให้มีสภาพคล่อง หรือเก็บสำรองไว้เพื่อโอกาสลงทุนเพิ่ม ส่วนเงินที่เหลือจะเป็นเงินลงทุนในพันธบัตร หรือลงทุนในตราสารซิเคียวริไทเซชั่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่า ซึ่งจะมีความมั่นคง รายได้ผันผวนไม่มาก
เมื่อจัดสรรเงินลงทุนได้แล้ว จากนั้นก็พยายามรักษาสัดส่วนลงทุนนั้นไว้
"นี่คือ เส้นทางสายกลางในการจัดสรรเงิน มองโดยทั่วไปเป็นเส้นทางที่ใช้ได้ ไม่เร่งเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เป็นสายมาตรฐาน
การ ลงทุนแบบทางสายกลางนี้จะมีความเสี่ยงไม่สูง ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี เทียบกับทางสายหย่อนคือ การฝากเงินอย่างเดียว จะได้ผลตอบแทนราว ๆ 2-3% ต่อปี"
อย่างไรก็ตาม หากต้องการ "เร่ง" ความรวยสำหรับการลงทุนตามเส้นทางสายกลางก็สามารถทำได้
นิเวศน์ บอกว่า ผู้ลงทุนสามารถเร่งความรวย "เต็มพิกัด" ในเส้นทางสายกลางนี้ได้ โดยใช้วิธีใส่เงินลงทุนในกองทุน "หุ้น" ให้มีสัดส่วนมากสุดถึง 90% และถือเงินสด 10%
ถ้าลงทุนแบบนี้ จะทำให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวเพิ่มเป็น 10% หรือผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นมาอีกราว 3-4% ขณะที่ทางสายกลางจะได้เพียง 6-7% ต่อปี
"ความเสี่ยงของทางสายเร่งนี้ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเสี่ยงสูงมาก แต่ความจริงแล้วถ้าลงทุนในระยะยาว 20-30 ปี ทางสายเร่งนี้ก็ไม่เสี่ยง จากการติดตามการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก การลงทุนระยะยาวส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารอื่นทุกชนิด
หรือ อย่างกรณีตลาดหุ้นไทย 30 ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ขณะที่ตลาดหุ้นอเมริกาเฉลี่ย 11% ต่อปี ส่วนตลาดอื่นๆ 6-7% ต่อปี เท่ากับว่าลงทุนในทางสายเร่งนี้ก็จะได้ผลตอบแทนประมาณนี้"
สเต็ปสาม.. ลงทุน "ด้วยตัวเอง" แบบโฟกัส และใช้แนวทางการลงทุนแบบ "เน้นมูลค่า" ( Value Investment )
นิเวศน์ บอกว่า ถ้าต้องการจะ "เร่งความรวย" อย่างเต็มพิกัดขึ้นไปอีก ก็ต้องใช้วิธีการลงทุนด้วยตัวเอง จะต้องเรียนรู้การลงทุนแบบ แวลู อินเวสเมนท์ หรือลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" ในตราสารทุกประเภท
"ไม่ว่า จะลงทุนในอะไรก็ตาม ต้องใช้หลักการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" เช่น พันธบัตร ซิเคียวริไทเซชั่น อสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องเป็นแนวเน้นมูลค่า หมายความว่า ทุกครั้งที่เลือกลงทุนจะต้องศึกษาหามูลค่าที่แท้จริงของตราสาร ศึกษาถึงพื้นฐานของมันจริงๆ
คือ ตราสารที่ซื้อจะสร้างกระแสเงินสด จ่ายมาเป็นปันผล หรือผลตอบแทนให้แก่เรามากน้อยแค่ไหน เติบโตแค่ไหน และเราต้องพยายามซื้อตราสารที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง"
นิเวศน์ บอกว่า เมื่อต้องการเร่งความรวยอย่างเต็มที่ และรวยเร็วที่สุด จะต้องลงทุนใน "หุ้น" ด้วยตัวเอง เนื่องจากหุ้นเป็นตัวสำคัญที่จะเร่งความรวย และจะต้องเป็นพอร์ตการลงทุนหุ้น จะต้องเป็นแบบโฟกัส หมายถึง จะต้องถือหุ้นน้อยตัว อาจจะมีหุ้นหลักๆ เพียง 5-6 ตัว แต่ละตัวต้องใหญ่พอควรคิดเป็นเงินถึง 3 ใน 4 ของเงินทั้งหมดในพอร์ต
เช่น ถ้าพอร์ตลงทุน 1 ล้านบาท ควรลงทุนหุ้นแต่ละตัว ราว 1-2 แสนบาท ถ้าเป็นเบี้ยหัวแตกการลงทุนจะไม่เป็นผล
"ด้วย วิธีเร่งเต็มที่ หรือแบบซูเปอร์ไฮเวย์นี้ เราอาจจะสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากหุ้นขึ้นอีก 3-4% ต่อปี ซึ่งในระยะยาวแล้วจะทำให้เรารวยเร็วขึ้นมาก หรืออาจจะได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี"
นิเวศน์บอกว่า เงินที่เราลงทุนทบต้นในทุกๆ 17 ปี จะงอกเงยเพิ่มเป็น 10 เท่า หากทบต้น 34 ปี ก็เป็น 100 เท่า
ฉะนั้น เงินทุกก้อนที่ใส่ไปจะทบขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่เอาออกมาใช้เลย ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 15% เมื่ออายุ 40-50 ปี เงินก็จะเพิ่มเป็น 40-50 ล้านบาทแล้ว เพียงพอใช้ยามเกษียณได้แล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าถ้ามีเงินลงทุนมากก็ร่ำรวยมาก
เจ้าตำรับนักลงทุนหุ้นมูลค่าบอกว่า หากเร่งรวยในสเต็ปที่ 3 จะประสบความสำเร็จ มีโอกาสมั่งคั่งและมีอิสรภาพการเงินเร็วที่สุด
"การ ตั้งเป้ามีเงิน 10 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเวลาเราลงทุน หลักการคือ เมื่อมีเงินก้อนจะเก็บไว้ใช้บั้นปลายชีวิตเท่านั้น เมื่อมีกำไรต้องเก็บเอาไว้ อย่าดึงเอาไปใช้จ่าย แต่ต้องทบต้นไปเรื่อยๆ ได้กำไรเท่าไรไม่เอาออก ทบต้นไปทุกปี
หลักการทบต้นนี้จะทำให้เงินงอกเงินรวดเร็ว จะทำให้อัตราเร่งรวยสูงมากเป็นทวีคูณ
แต่ ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่จะไม่ได้เร่งในทุกสเต็ป อาจตึงในสเต็ปที่ 2 และ ที่ 3 แต่การเริ่มต้นสเต็ปแรก เป็นเรื่องค่อนข้างยาก ถ้าคุณไม่ตัดสินใจการลงทุน จะเป็นทางสายหย่อนหมด เพราะเงินจะอยู่กับการฝากแบงก์ เพราะไม่กล้าเสี่ยง ซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนต่ำสุด"
ขณะที่คนที่เลือกเดินทางสาย หย่อนทั้ง 3 สเต็ป โอกาสที่จะร่ำรวยหรือเกษียณอายุจะอยู่อย่างลำบาก หากเร่งเต็มที่ในสเต็ปแรก อาจจะเกษียณด้วยความสุขพอควร
แต่หากเดินสายกลาง อาจเกษียณอายุเร็วขึ้นและสบายกว่า
และถ้าใช้ทางสายตึงในสเต็ปสุดท้าย จะสบายที่สุด
+ พลิกตำรารวย 5 เซียนหุ้น ปี 2552 ยุคทอง การลงทุน
ตลาดหุ้นปี 2552 มีทั้งความสิ้นหวังและเสียงหัวเราะ ช่วงต้นเดือนมี.ค. SET Index ลงต่ำสุด 408.78จุด ก่อนจะวิ่งแรลลี่ 7 เดือนเต็มๆ ขึ้นไป 758จุ
กลายเป็น 'ปีทอง' ของนักลงทุน
"เสียป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง เซียนหุ้นเก็งกำไรรายใหญ่ระดับ "หลายร้อยล้านบาท" ผู้ให้คำนิยามตลาดหุ้นไทยว่า "ซึมนาน-คลานเป็นเต่า-เศร้าเป็นปี-สุขีประเดี๋ยวเดียว" จากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมา นาน 17 ปี ได้ข้อสรุปว่า การถือเงินสด และมองโลกในแง่ร้ายบ้าง คือ กลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งสไตล์การลงทุนที่ดีที่สุด คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ช่วงที่ต้องเล่นสั้นก็ต้องเล่นสั้น ช่วงที่ลงทุนระยะกลางได้ก็ต้องถือ เพราะตลาดหุ้นไทยช่วงเวลาแห่งความสุขมันมีน้อย ถ้าไม่ปรับตัวก็จะอยู่ยาก
ถ้าหุ้นขึ้นมาแล้ว 30% ก็ต้องมาดู "รูปทรงกราฟ" ว่าจะไปต่อไหวก็เล่นต่อแต่ซื้อปริมาณน้อยลง ใครก็เสียวทั้งนั้นแหละ!! ในตลาดหุ้นเราต้องถือคติว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า..บนสวรรค์ก็ไม่รู้มีตั้งกี่ชั้น ถ้าตอนหุ้นตกในนรกก็ไม่รู้มีกี่ขุม ไม่มีคำว่าถูกว่าแพงในตลาดหุ้น"
สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องรู้ตัวหุ้น..รู้นิสัยหุ้น ต้องดูประวัติหุ้น ต้องรู้ว่าหุ้นตัวนี้ปีนี้มี Growth มั้ย! เราก็จะรู้แล้วว่าพื้นฐานหุ้นเป็น ยังไง สุดท้ายก็ต้องมาดู "จุดซื้อด้านเทคนิค" จะช่วยให้ประหยัดเวลาเหมือนขึ้นรถเมล์ถูกสายไม่ต้องรอนาน ถ้าบรรยากาศตลาดไม่ดี ใช้รถถัง ใช้ปืนกล ก็ไม่คุ้ม สมมติว่าคนหนึ่งพกมีดมา คนหนึ่งพกปืนมา คนที่ใช้มีดเขาก็หากินได้ มันเหมือนกับเรามีเครื่องมือแค่ตัวใดตัวหนึ่งขอให้ใช้ให้เก่งก็หากินได้
วันนี้เสี่ยป๋องให้นิยามตัวเองว่าเป็น "นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน" ที่ส่วนใหญ่จะเล่นเก็งกำไรหุ้นบิ๊กแคป เขามีความเชื่อส่วนตัวว่าสุดท้ายแล้วคนเล่นหุ้น 100 คน จะแค่มี 20 คน ที่รอดตายจากตลาดหุ้น โดยคนที่ 1-5 จะรวยมหาศาล พวกนี้ไม่น่าห่วง ส่วนคนที่ 5-10 ก็จะรวยมาก ซึ่งตัวเองอาจอยู่อันดับ 8 (รวยมาก) ส่วนคนที่ 10-20 จะรวยแบบดูแลตัวเองได้ นอกจากนั้นอีก 80% ไม่เคยรอดพ้นน้ำมือตลาดหุ้น หากยังไม่รู้เทคนิคการเล่นหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเอง
พิชัย จาวลา กรรมการบริหาร กลุ่มจาวลากรุ๊ป นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 42 ปี ที่มีฐานธุรกิจอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงตลาดหุ้น เขาไม่ใช่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหรือมีพอร์ตลงทุนเป็นร้อยเป็นพันล้าน บาท แต่พิชัยเป็น "นักคิด" ที่กล้านำเสนอความจริงที่แตกต่าง เขาเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ "เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง" ขณะเดียวกันพิชัยยังมีบทบาทเป็นนักลงทุนรายย่อยที่มีพอร์ตลงทุนในระดับ 10-20 ล้านบาท
ทำไม! ตลาดหุ้นไทยถึงเป็น "หลุมฝังศพ" รายย่อยรุ่นแล้วรุ่นเล่า บทสรุปหนึ่งก็คือ ตลาดหุ้นไม่ใช่ Fair Game สำหรับคนส่วนใหญ่ "หมูสนาม" ส่วนใหญ่แท้จริงก็เป็น "เซียน" ในอาชีพของตัวเองกันมาทั้งนั้น
พิชัยเริ่มเข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ปี 2532 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไปเล่นหุ้นตามข่าว เลยต้องย้อนกลับมาหา "เหตุ" ว่าทำไมถึงขาดทุน และเขาก็ได้ข้อสังเกตว่า "ผู้ชนะ" ในตลาดหุ้นจะเป็นเพียง "คนกลุ่มน้อย" เหมือนกับทฤษฎี 80:20 ที่บอกว่าคนส่วนน้อยเพียง 20% จะเป็นผู้ควบคุมผลประโยชน์ 80% เสมอ
"ทฤษฎีผลประโยชน์" ที่พิชัยคิดขึ้นหลักการตัดสินใจที่จะเข้าซื้อหรือขายหุ้นจะ ต่างจากคนทั่วไปที่ตัดสินใจจากข่าว, เหตุการณ์หรือบทวิเคราะห์ แต่ทฤษฎีผลประโยชน์เราจะต้องคิด "สองชั้น" คือฟังข่าวแล้ววิเคราะห์การตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ แล้วเลือกแทงฝั่ง “ตรงข้าม”
หลักการสำคัญอีกข้อหนึ่ง คนส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นขึ้นลงตาม "เหตุผล" แท้ที่จริงแล้วเหตุผลเป็นเพียง "ข้ออ้าง" ความจริงคือตลาดหุ้นอยู่นอกเหนือเหตุผล ราคาต่างหากเป็นผู้กำหนดข่าว..ไม่ใช่ข่าวกำหนดราคา
"ลองคิดดูซิ! ถ้าไม่มีคนมาคอยรับซื้อหุ้น คุณจะขายหุ้นออกไปได้อย่างไร ในขณะที่คนส่วนใหญ่ขายหุ้นอาจจะมีคนส่วนหนึ่งเข้าไปช้อนซื้อของถูก ซึ่งคนกลุ่มนี้ในที่สุดจะได้กำไรและคนส่วนใหญ่ที่แห่ขายจะขาดทุน"
เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำกำไรจากตลาดหุ้นคุณ จะต้องเป็นคนส่วนน้อยของตลาดที่ต้องคิดต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่าลงทุนด้วยเหตุผล เราก็ต้องลงทุนโดยไม่ใช้เหตุผลเหมือนคนส่วนใหญ่
"ผมคิดว่าสูตรการทำธุรกิจกับลงทุนหุ้นให้ สำเร็จมีความใกล้เคียงกันคือต้องพิจารณาจาก “ตัวเล่น” และ “จังหวะเวลา” การทำธุรกิจต้องการเหตุผลมากกว่าและมีโอกาสเติบโตเอาชนะเศรษฐกิจได้โดย ปัจจัยเรื่องของเวลาเป็นเรื่องรอง แต่ตลาดหุ้นคุณต้องเลือกให้ถูกทั้ง "ตัวหุ้น" และ "จังหวะเวลา" ซึ่งบ่อยครั้งตลาดหุ้นมักใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล"
พิชัยเสริมว่าแนวคิดนี้ใกล้เคียงกับการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกว่า การเก็งกำไรจากตลาดหุ้นทำได้ยากมาก วิธีการทำกำไรที่ดีที่สุดคือการค้นหาหุ้นคุณ ค่าที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วถือให้ยาว และไม่แห่ลงทุนตามกระแส ซึ่งบทสรุปของวิธีคิดนี้คือ จงกล้าในขณะที่คนส่วนใหญ่กลัวและจงกลัวในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังกล้า
ส่วนเซียนหุ้นรายนี้ ทวีฉัตร จุฬางกูร หลานชาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเป็นทายาท สรรเสริญ จุฬางกูร เจ้าของอาณาจักรธุรกิจหมื่นล้าน "ซัมมิทกรุ๊ป" ที่สำคัญทวีฉัตรเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้น "หลายพันล้านบาท" ปัจจุบันเขามีอายุเพียง 37 ปี และวันนี้เจ้าตัวขอ "โกอินเตอร์" เทรดหุ้นข้ามชาติถึง 3 ประเทศที่สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของทวีฉัตรในปี 2552 พบว่า มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 20 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 2,300 ล้านบาท ขณะที่เจ้าตัวบอกเองว่ามีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 50 บริษัท แต่แอ็คทีฟแค่ 10 บริษัท
ทวีฉัตร บอกว่า ปีนี้ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุน "เทรดหุ้นน้อย ลง และถือยาวมากขึ้น" ทำให้มีกำไรจากการลงทุนมากกว่าปีก่อน ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี นอกจากนี้ยังหันไปซื้อขายหุ้นในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนดีที่สุด และไม่มีเรื่องการเมืองให้ต้องกังวลใจ ตรงกันข้ามตลาดหุ้นบ้านเรามีความเสี่ยงสูงเกือบทุกเรื่อง
เขาเล่าว่า หุ้นส่วน ใหญ่ที่ลงทุนในต่างประเทศอยู่ในกลุ่มรถยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มเสื้อผ้า ส่วนตัวมองว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหุ้นเหล่านี้จะมาก่อนเพื่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้านี้ ส่วนการลงทุนที่ผ่านมาไม่ได้ให้น้ำหนักที่หุ้นพี/อีต่ำ หรือหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี แต่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้าใจในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ทวีฉัตรยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้หุ้น "เทิร์นอะราวด์" ส่วนหลักการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างไปจากนักลงทุนทั่วไปวิเคราะห์หุ้น ประการแรก ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์และมีนโยบายในการบริหารงานที่ดี มีประวัติน่าเชื่อถือและมีความโปร่งใส ประการต่อมา พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่สนใจว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหน และประการสุดท้าย จะดูกราฟทางเทคนิคในการลงทุน แต่การดูกราฟทางเทคนิคจะทำกับหุ้นบางตัวเท่านั้น เพราะไม่ถนัดที่จะทำแบบนี้กับหุ้นทุกตัว
ส่วนการจัดน้ำหนักพอร์ตลงทุนขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจ และสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า ไม่เคยกำหนดเป็นหลักการ และก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องมีกำไรเท่าไรถึงจะ "ขาย" ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
"บางครั้งได้กำไรแค่ 10% ผมก็ "โกย" แล้ว เรื่องพวกนี้บอก (สอน) กันไม่ได้จริงๆ ทุกคนก็มีเทคนิคการลงทุนเป็นของตัวเอง..วันนี้ผมค่อนข้างกังวลเรื่องภาวะ เศรษฐกิจ เพราะตอนนี้ต่างประเทศเขาแก้ปัญหากันไปหมดแล้ว บ้านเรายังไปไม่ถึงไหนเลย"
ท่ามกลางวิกฤติ "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล กลับมองเป็นโอกาสสำคัญเข้าสะสมหุ้น "ราคาถูก" สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้ง
ปัจจุบันเสี่ยปู่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" ที่ร่ำรวยมาจากเงินทุนประเดิมไม่ถึง 1 ล้านบาท เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว วันนี้เสี่ยปู่เลือกเส้นทางเดินในฐานะ "แวลู อินเวสเตอร์" ตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาลงทุนอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 รอบ
สำหรับวิกฤติในปี 2551-2552 เสี่ยปู่ซุ่มเก็บหุ้นราคาถูกไว้จำนวนมาก โดยยังโฟกัสไปที่หุ้น "เทิร์นอะราวด์" บริษัทขนาดกลาง และบริษัทขนาดใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานดี
"วิกฤติซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการเงินโลก อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกลัว แต่สำหรับผมมันคือโอกาสการทำกำไรครั้งสำคัญ" เสี่ยปู่บอก และสิ่งที่เขามองต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักยึดตัว SET Index เป็นตัวตั้ง และรีบขายหุ้นทำกำไรเพราะคิดว่า..เดี๋ยวหุ้นก็ลง
แต่วิกฤติหลายครั้งในตลาดหุ้นสอนเสี่ยปู่ว่า หลังวิกฤติต้อง "ถือรอ" จนกว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากต้องเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" โดยพิจารณาจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value และให้ผลตอบแทน เงินปันผลสูง
เสี่ยปู่บอกว่า การซื้อหุ้นจะ มีหลักพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ 1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่า Book Value ถ้าบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับ เท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูลถึงจะ รวยได้
สำหรับเซียนหุ้นคนสุดท้าย "เซียนนิค" สง่า ตั้งจันสิริ จากเงินก้อนแรก 500,000 บาท เล่นหุ้น 4 ปี วันนี้เขามีพอร์ตแล้ว 50 ล้านบาท ชายหนุ่มวัย 32 "โนเนม" แต่ไม่ "โนวิชั่น" เขาเป็นหลานชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้ง บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ ทียูเอฟ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก
เคล็ดลับห้าข้อที่สง่าใช้ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จก็คือ 1. ต้องกระจายความเสี่ยง 2. รู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว 3. Cut Loss เป็น..อย่าดื้อ 4. เมื่อถึงเป้าหมายต้องพอ และ 5. ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าไว้เสมอ
วิธีการลงทุนของเซียนหุ้นรายนี้ เขาจะแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล
ส่วนพอร์ต "ระยะกลาง" จะเน้นหุ้นกลุ่มแบงก์กับอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น" ก็จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว" ในกลุ่มหุ้นที่มี "สตอรี่" ถ้าเล่นสั้นจะไม่ถือนาน แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น" ตามความเหมาะสม
สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ต้องท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก" และหุ้นทุก ตัวที่เข้าไปลงทุนจะต้องตั้ง "เป้าหมายกำไร" เมื่อถึงเป้าก็ต้องขายโดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20% และตั้งจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ไว้ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที
เซียนนิคให้แง่คิดว่า จากประสบการณ์ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็กที่ "พื้นฐานดี" และธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" แต่ราคาหุ้นยังต่ำ หุ้นพวกนี้เวลาขึ้นมีโอกาสได้กำไรเกิน 20% ในเวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสแบบนี้ไม่บ่อย เขาย้ำว่า การลงทุนในตลาดหุ้นคือการอยู่กับอนาคต อย่าดูแต่ปัจจุบัน ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ
ที่สำคัญในตลาดหุ้นอะไร ก็ไม่แน่นอน ต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะต้องเก็บเงินสดไว้ 40% เสมอ เพราะโอกาสซื้อ “ของถูก” ไม่ได้มีมาบ่อยๆ โดยเขายกสัจธรรมที่สุดแสนจะเบสิคแต่ใช้ได้ดีเสมอว่า “จงเข้าซื้อเมื่อหุ้นตก และจงขายเมื่อหุ้นขึ้น”
ส่วนหลักการจำกัดความเสี่ยง ง่ายๆ คือ อย่าไปลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ เพราะข้อจำกัดของตลาดหุ้นไทยคือ ตลาดเล็กและคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมตลาดได้ ส่วนเราคุมตลาดไม่ได้ถ้ารู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ
"ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ และบางคนเอาเงินร้อนมาเล่นแต่ผมจะใช้เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว"
สง่าสรุปปิดท้ายว่า ขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรอย่าดีใจกับมันมาก เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมายถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่าทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง
กลายเป็น 'ปีทอง' ของนักลงทุน
"เสียป๋อง" วัชระ แก้วสว่าง เซียนหุ้นเก็งกำไรรายใหญ่ระดับ "หลายร้อยล้านบาท" ผู้ให้คำนิยามตลาดหุ้นไทยว่า "ซึมนาน-คลานเป็นเต่า-เศร้าเป็นปี-สุขีประเดี๋ยวเดียว" จากประสบการณ์ที่เล่นหุ้นมา นาน 17 ปี ได้ข้อสรุปว่า การถือเงินสด และมองโลกในแง่ร้ายบ้าง คือ กลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งสไตล์การลงทุนที่ดีที่สุด คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ช่วงที่ต้องเล่นสั้นก็ต้องเล่นสั้น ช่วงที่ลงทุนระยะกลางได้ก็ต้องถือ เพราะตลาดหุ้นไทยช่วงเวลาแห่งความสุขมันมีน้อย ถ้าไม่ปรับตัวก็จะอยู่ยาก
ถ้าหุ้นขึ้นมาแล้ว 30% ก็ต้องมาดู "รูปทรงกราฟ" ว่าจะไปต่อไหวก็เล่นต่อแต่ซื้อปริมาณน้อยลง ใครก็เสียวทั้งนั้นแหละ!! ในตลาดหุ้นเราต้องถือคติว่า "เหนือฟ้ายังมีฟ้า..บนสวรรค์ก็ไม่รู้มีตั้งกี่ชั้น ถ้าตอนหุ้นตกในนรกก็ไม่รู้มีกี่ขุม ไม่มีคำว่าถูกว่าแพงในตลาดหุ้น"
สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องรู้ตัวหุ้น..รู้นิสัยหุ้น ต้องดูประวัติหุ้น ต้องรู้ว่าหุ้นตัวนี้ปีนี้มี Growth มั้ย! เราก็จะรู้แล้วว่าพื้นฐานหุ้นเป็น ยังไง สุดท้ายก็ต้องมาดู "จุดซื้อด้านเทคนิค" จะช่วยให้ประหยัดเวลาเหมือนขึ้นรถเมล์ถูกสายไม่ต้องรอนาน ถ้าบรรยากาศตลาดไม่ดี ใช้รถถัง ใช้ปืนกล ก็ไม่คุ้ม สมมติว่าคนหนึ่งพกมีดมา คนหนึ่งพกปืนมา คนที่ใช้มีดเขาก็หากินได้ มันเหมือนกับเรามีเครื่องมือแค่ตัวใดตัวหนึ่งขอให้ใช้ให้เก่งก็หากินได้
วันนี้เสี่ยป๋องให้นิยามตัวเองว่าเป็น "นักเก็งกำไรหุ้นพื้นฐาน" ที่ส่วนใหญ่จะเล่นเก็งกำไรหุ้นบิ๊กแคป เขามีความเชื่อส่วนตัวว่าสุดท้ายแล้วคนเล่นหุ้น 100 คน จะแค่มี 20 คน ที่รอดตายจากตลาดหุ้น โดยคนที่ 1-5 จะรวยมหาศาล พวกนี้ไม่น่าห่วง ส่วนคนที่ 5-10 ก็จะรวยมาก ซึ่งตัวเองอาจอยู่อันดับ 8 (รวยมาก) ส่วนคนที่ 10-20 จะรวยแบบดูแลตัวเองได้ นอกจากนั้นอีก 80% ไม่เคยรอดพ้นน้ำมือตลาดหุ้น หากยังไม่รู้เทคนิคการเล่นหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเอง
พิชัย จาวลา กรรมการบริหาร กลุ่มจาวลากรุ๊ป นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์วัย 42 ปี ที่มีฐานธุรกิจอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงตลาดหุ้น เขาไม่ใช่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหรือมีพอร์ตลงทุนเป็นร้อยเป็นพันล้าน บาท แต่พิชัยเป็น "นักคิด" ที่กล้านำเสนอความจริงที่แตกต่าง เขาเป็นเจ้าของผลงานหนังสือ "เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง" ขณะเดียวกันพิชัยยังมีบทบาทเป็นนักลงทุนรายย่อยที่มีพอร์ตลงทุนในระดับ 10-20 ล้านบาท
ทำไม! ตลาดหุ้นไทยถึงเป็น "หลุมฝังศพ" รายย่อยรุ่นแล้วรุ่นเล่า บทสรุปหนึ่งก็คือ ตลาดหุ้นไม่ใช่ Fair Game สำหรับคนส่วนใหญ่ "หมูสนาม" ส่วนใหญ่แท้จริงก็เป็น "เซียน" ในอาชีพของตัวเองกันมาทั้งนั้น
พิชัยเริ่มเข้าตลาดหุ้นมาตั้งแต่ปี 2532 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไปเล่นหุ้นตามข่าว เลยต้องย้อนกลับมาหา "เหตุ" ว่าทำไมถึงขาดทุน และเขาก็ได้ข้อสังเกตว่า "ผู้ชนะ" ในตลาดหุ้นจะเป็นเพียง "คนกลุ่มน้อย" เหมือนกับทฤษฎี 80:20 ที่บอกว่าคนส่วนน้อยเพียง 20% จะเป็นผู้ควบคุมผลประโยชน์ 80% เสมอ
"ทฤษฎีผลประโยชน์" ที่พิชัยคิดขึ้นหลักการตัดสินใจที่จะเข้าซื้อหรือขายหุ้นจะ ต่างจากคนทั่วไปที่ตัดสินใจจากข่าว, เหตุการณ์หรือบทวิเคราะห์ แต่ทฤษฎีผลประโยชน์เราจะต้องคิด "สองชั้น" คือฟังข่าวแล้ววิเคราะห์การตัดสินใจของคนส่วนใหญ่ แล้วเลือกแทงฝั่ง “ตรงข้าม”
หลักการสำคัญอีกข้อหนึ่ง คนส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นขึ้นลงตาม "เหตุผล" แท้ที่จริงแล้วเหตุผลเป็นเพียง "ข้ออ้าง" ความจริงคือตลาดหุ้นอยู่นอกเหนือเหตุผล ราคาต่างหากเป็นผู้กำหนดข่าว..ไม่ใช่ข่าวกำหนดราคา
"ลองคิดดูซิ! ถ้าไม่มีคนมาคอยรับซื้อหุ้น คุณจะขายหุ้นออกไปได้อย่างไร ในขณะที่คนส่วนใหญ่ขายหุ้นอาจจะมีคนส่วนหนึ่งเข้าไปช้อนซื้อของถูก ซึ่งคนกลุ่มนี้ในที่สุดจะได้กำไรและคนส่วนใหญ่ที่แห่ขายจะขาดทุน"
เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำกำไรจากตลาดหุ้นคุณ จะต้องเป็นคนส่วนน้อยของตลาดที่ต้องคิดต่างไปจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่าลงทุนด้วยเหตุผล เราก็ต้องลงทุนโดยไม่ใช้เหตุผลเหมือนคนส่วนใหญ่
"ผมคิดว่าสูตรการทำธุรกิจกับลงทุนหุ้นให้ สำเร็จมีความใกล้เคียงกันคือต้องพิจารณาจาก “ตัวเล่น” และ “จังหวะเวลา” การทำธุรกิจต้องการเหตุผลมากกว่าและมีโอกาสเติบโตเอาชนะเศรษฐกิจได้โดย ปัจจัยเรื่องของเวลาเป็นเรื่องรอง แต่ตลาดหุ้นคุณต้องเลือกให้ถูกทั้ง "ตัวหุ้น" และ "จังหวะเวลา" ซึ่งบ่อยครั้งตลาดหุ้นมักใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล"
พิชัยเสริมว่าแนวคิดนี้ใกล้เคียงกับการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่บอกว่า การเก็งกำไรจากตลาดหุ้นทำได้ยากมาก วิธีการทำกำไรที่ดีที่สุดคือการค้นหาหุ้นคุณ ค่าที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงแล้วถือให้ยาว และไม่แห่ลงทุนตามกระแส ซึ่งบทสรุปของวิธีคิดนี้คือ จงกล้าในขณะที่คนส่วนใหญ่กลัวและจงกลัวในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังกล้า
ส่วนเซียนหุ้นรายนี้ ทวีฉัตร จุฬางกูร หลานชาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และเป็นทายาท สรรเสริญ จุฬางกูร เจ้าของอาณาจักรธุรกิจหมื่นล้าน "ซัมมิทกรุ๊ป" ที่สำคัญทวีฉัตรเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้น "หลายพันล้านบาท" ปัจจุบันเขามีอายุเพียง 37 ปี และวันนี้เจ้าตัวขอ "โกอินเตอร์" เทรดหุ้นข้ามชาติถึง 3 ประเทศที่สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
จากการสำรวจพอร์ตลงทุนของทวีฉัตรในปี 2552 พบว่า มีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 20 บริษัท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนมากกว่า 2,300 ล้านบาท ขณะที่เจ้าตัวบอกเองว่ามีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 50 บริษัท แต่แอ็คทีฟแค่ 10 บริษัท
ทวีฉัตร บอกว่า ปีนี้ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุน "เทรดหุ้นน้อย ลง และถือยาวมากขึ้น" ทำให้มีกำไรจากการลงทุนมากกว่าปีก่อน ส่วนหนึ่งเพราะกังวลเรื่องการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี นอกจากนี้ยังหันไปซื้อขายหุ้นในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนดีที่สุด และไม่มีเรื่องการเมืองให้ต้องกังวลใจ ตรงกันข้ามตลาดหุ้นบ้านเรามีความเสี่ยงสูงเกือบทุกเรื่อง
เขาเล่าว่า หุ้นส่วน ใหญ่ที่ลงทุนในต่างประเทศอยู่ในกลุ่มรถยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มเสื้อผ้า ส่วนตัวมองว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหุ้นเหล่านี้จะมาก่อนเพื่อน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่กำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้านี้ ส่วนการลงทุนที่ผ่านมาไม่ได้ให้น้ำหนักที่หุ้นพี/อีต่ำ หรือหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี แต่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเข้าใจในธุรกิจนั้นเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ทวีฉัตรยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้หุ้น "เทิร์นอะราวด์" ส่วนหลักการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างไปจากนักลงทุนทั่วไปวิเคราะห์หุ้น ประการแรก ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์และมีนโยบายในการบริหารงานที่ดี มีประวัติน่าเชื่อถือและมีความโปร่งใส ประการต่อมา พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่สนใจว่าแข็งแกร่งมากขนาดไหน และประการสุดท้าย จะดูกราฟทางเทคนิคในการลงทุน แต่การดูกราฟทางเทคนิคจะทำกับหุ้นบางตัวเท่านั้น เพราะไม่ถนัดที่จะทำแบบนี้กับหุ้นทุกตัว
ส่วนการจัดน้ำหนักพอร์ตลงทุนขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจ และสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า ไม่เคยกำหนดเป็นหลักการ และก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องมีกำไรเท่าไรถึงจะ "ขาย" ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
"บางครั้งได้กำไรแค่ 10% ผมก็ "โกย" แล้ว เรื่องพวกนี้บอก (สอน) กันไม่ได้จริงๆ ทุกคนก็มีเทคนิคการลงทุนเป็นของตัวเอง..วันนี้ผมค่อนข้างกังวลเรื่องภาวะ เศรษฐกิจ เพราะตอนนี้ต่างประเทศเขาแก้ปัญหากันไปหมดแล้ว บ้านเรายังไปไม่ถึงไหนเลย"
ท่ามกลางวิกฤติ "เสี่ยปู่" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล กลับมองเป็นโอกาสสำคัญเข้าสะสมหุ้น "ราคาถูก" สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นได้ทุกครั้ง
ปัจจุบันเสี่ยปู่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับ "พันล้านบาท" ที่ร่ำรวยมาจากเงินทุนประเดิมไม่ถึง 1 ล้านบาท เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว วันนี้เสี่ยปู่เลือกเส้นทางเดินในฐานะ "แวลู อินเวสเตอร์" ตามรอย วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาลงทุนอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 รอบ
สำหรับวิกฤติในปี 2551-2552 เสี่ยปู่ซุ่มเก็บหุ้นราคาถูกไว้จำนวนมาก โดยยังโฟกัสไปที่หุ้น "เทิร์นอะราวด์" บริษัทขนาดกลาง และบริษัทขนาดใหญ่ที่ปัจจัยพื้นฐานดี
"วิกฤติซับไพร์มของสหรัฐอเมริกา และวิกฤติการเงินโลก อาจทำให้นักลงทุนหลายคนกลัว แต่สำหรับผมมันคือโอกาสการทำกำไรครั้งสำคัญ" เสี่ยปู่บอก และสิ่งที่เขามองต่างออกไปจากนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มักยึดตัว SET Index เป็นตัวตั้ง และรีบขายหุ้นทำกำไรเพราะคิดว่า..เดี๋ยวหุ้นก็ลง
แต่วิกฤติหลายครั้งในตลาดหุ้นสอนเสี่ยปู่ว่า หลังวิกฤติต้อง "ถือรอ" จนกว่าราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนได้มากต้องเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีที่กำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" โดยพิจารณาจากหุ้นที่ซื้อขายต่ำกว่า Book Value และให้ผลตอบแทน เงินปันผลสูง
เสี่ยปู่บอกว่า การซื้อหุ้นจะ มีหลักพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ 1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ "งบการเงิน" บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
"ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่"
2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่า Book Value ถ้าบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ
3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับ เท่าใด
"ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย"
เสี่ยปู่ให้ข้อคิดปิดท้ายว่า ทุกวิกฤติย่อมมาพร้อมกับโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะจับจังหวะถูกและกล้าเข้าไปซื้อหรือไม่ คนที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ต้องทำการบ้านสม่ำเสมอและแม่นในข้อมูลถึงจะ รวยได้
สำหรับเซียนหุ้นคนสุดท้าย "เซียนนิค" สง่า ตั้งจันสิริ จากเงินก้อนแรก 500,000 บาท เล่นหุ้น 4 ปี วันนี้เขามีพอร์ตแล้ว 50 ล้านบาท ชายหนุ่มวัย 32 "โนเนม" แต่ไม่ "โนวิชั่น" เขาเป็นหลานชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้ง บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ ทียูเอฟ บริษัทผู้ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ระดับโลก
เคล็ดลับห้าข้อที่สง่าใช้ลงทุนแล้วประสบความสำเร็จก็คือ 1. ต้องกระจายความเสี่ยง 2. รู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว 3. Cut Loss เป็น..อย่าดื้อ 4. เมื่อถึงเป้าหมายต้องพอ และ 5. ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าไว้เสมอ
วิธีการลงทุนของเซียนหุ้นรายนี้ เขาจะแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล
ส่วนพอร์ต "ระยะกลาง" จะเน้นหุ้นกลุ่มแบงก์กับอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น" ก็จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว" ในกลุ่มหุ้นที่มี "สตอรี่" ถ้าเล่นสั้นจะไม่ถือนาน แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น" ตามความเหมาะสม
สิ่งที่เซียนหุ้นรายนี้ต้องท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก" และหุ้นทุก ตัวที่เข้าไปลงทุนจะต้องตั้ง "เป้าหมายกำไร" เมื่อถึงเป้าก็ต้องขายโดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20% และตั้งจุด Stop Loss (หยุดขาดทุน) ไว้ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที
เซียนนิคให้แง่คิดว่า จากประสบการณ์ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็กที่ "พื้นฐานดี" และธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" แต่ราคาหุ้นยังต่ำ หุ้นพวกนี้เวลาขึ้นมีโอกาสได้กำไรเกิน 20% ในเวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสแบบนี้ไม่บ่อย เขาย้ำว่า การลงทุนในตลาดหุ้นคือการอยู่กับอนาคต อย่าดูแต่ปัจจุบัน ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ
ที่สำคัญในตลาดหุ้นอะไร ก็ไม่แน่นอน ต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะต้องเก็บเงินสดไว้ 40% เสมอ เพราะโอกาสซื้อ “ของถูก” ไม่ได้มีมาบ่อยๆ โดยเขายกสัจธรรมที่สุดแสนจะเบสิคแต่ใช้ได้ดีเสมอว่า “จงเข้าซื้อเมื่อหุ้นตก และจงขายเมื่อหุ้นขึ้น”
ส่วนหลักการจำกัดความเสี่ยง ง่ายๆ คือ อย่าไปลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ เพราะข้อจำกัดของตลาดหุ้นไทยคือ ตลาดเล็กและคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมตลาดได้ ส่วนเราคุมตลาดไม่ได้ถ้ารู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ
"ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ และบางคนเอาเงินร้อนมาเล่นแต่ผมจะใช้เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว"
สง่าสรุปปิดท้ายว่า ขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรอย่าดีใจกับมันมาก เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมายถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่าทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)