Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

พุทธคุณ พาหุง มหากา

พุทธคุณ พาหุง มหากา

จากคำสอนหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
หลวงพ่อจรัญ " พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดูเคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์
อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ
บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด "พาหุงมหากา" หายเลย
สติก็ดีขึ้นเท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา
จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล "


<<เริ่มสวด>> นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
๑. พุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

๒. ธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

๓. สังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
๔. พุทธชัยมงคลคาถา (ถวายพรพระ)
๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)
๕. มหาการุณิโก
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)
กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วสวดเฉพาะพุทธคุณ ดังต่อไปนี้
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จาระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
ให้สวดพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ
เมื่อสวดพุทธคุณครบตามจำนวนจบที่ต้องการแล้ว จึงตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลดังนี้

คาถาแผ่เมตตาตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
อะหัง นิททุกโข โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์
อะหัง อะเวโร โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิดฯ

บทกรวดน้ำ (อุทิศส่วนกุศล)
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพสัตตา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
<<จบบทสวด>>

คำแปล "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" มีอยู่ ๘ บท และมีความมุ่งหมายแตกต่างกันทั้งแปดบท กล่าวคือ

บทที่ ๑ สำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
บทที่ ๒ สำหรับเอาชนะใจคนที่กระด้างกระเดื่องเป็นปฏิปักษ์
บทที่ ๓ สำหรับเอาชนะสัตว์ร้ายหรือคู่ต่อสู้
บทที่ ๔ สำหรับเอาชนะโจร
บทที่ ๕ สำหรับเอาชนะการแกล้ง ใส่ร้ายกล่าวโทษหรือคดีความ
บทที่ ๖ สำหรับเอาชนะการโต้ตอบ
บทที่ ๗ สำหรับเอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
บทที่ ๘ สำหรับเอาชนะทิฏฐิมานะของคน
เราจะเห็นได้ว่า ของดีวิเศษอยู่ในนี้ และถ้าพูดถึงการที่จะเอาชนะหรือการแสวงหาความมีชัย ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
นอกเหนือไปจาก ๘ ประการที่กล่าวข้างต้น
ก่อนที่จะนำเอาตัวคาถาบทสวดมนต์และคำแปลมาไว้ให้จำจะต้องทำความเข้าใจคำอธิบายบทต่างๆ
ไว้พอสมควรก่อน เพราะความในคาถาเองเข้าใจยาก ถึงจะแปลออกมาก็ยังเข้าใจยากอยู่นั่นเอง เมื่อเราไม่เข้าใจ
เราอาจจะไม่เกิดความเลื่อมใส จึงควรจะหาทางทำความเข้าใจกันให้แจ่มแจ้งไว้ก่อน
ในบทที่ ๑. เป็นเรื่องผจญมาร ซึ่งมีเรื่องว่าพระยามารยกพลใหญ่หลวงมา พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถเอาชนะได้
จึงถือเป็นบทสำหรับเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ในการสู้รบ
คำแปล- พระยามารผู้นิรมิตแขนได้ตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างชื่อ ครีเมขละ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะมารได้ ด้วยทานบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๒. เรื่องเล่าว่า มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่ออาฬะวกะ เป็นผู้มีจิตกระด้างและมีกำลังยิ่งกว่าพระยามาร
พยายามมาใช้กำลังทำร้ายพระองค์อยู่จนตลอดรุ่ง ก็ทรงทรมานยักษ์ตนนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะปฏิปักษ์หรือคู่ต่อสู้
คำแปล- อาฬะวกะยักษ์ผู้มีจิตกระด้าง ปราศจากความยับยั้ง มีฤทธิ์ใหญ่ยิ่งกว่าพระยามาร
เข้ามาประทุษร้ายอยู่ตลอดรุ่ง องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยขันติบารมี ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๓. มีเรื่องว่าเมื่อพระเทวทัตทรยศต่อพระพุทธเจ้า ได้จัดการให้คนปล่อยช้างสาร ที่กำลังตกมันชื่อนาฬาคีรี
เพื่อมาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เมื่อช้างมาถึงก็ไม่ทำร้าย จึงถือเป็นบทที่เอาชนะสัตว์ร้าย
คำแปล- ช้างตัวประเสริฐ ชื่อนาฬาคีรี เป็นช้างเมามัน โหดร้ายเหมือนไฟไหม้ป่า มีกำลังเหมือนจักราวุธ และสายฟ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยพระเมตตาบารมีด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๔. เป็นเรื่องขององคุลีมาล ซึ่งเรารู้กันแพร่หลาย คือ องคุลีมาลนั้นอาจารย์บอกไว้ว่า
ถ้าฆ่าคนและตัดนิ้วมือมาร้อยเป็นสร้อยคอ ให้ได้ครบพัน ก็จะมีฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่
องคุลีมาลฆ่าคนและตัดนิ้วมือได้ ๙๙๙ เหลืออีกนิ้วเดียวจะครบพัน ก็มาพบพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงสามารถเอาชนะถึงกับองคุลีมาลเลิกเป็นโจรและยอมเข้ามาบวช กลายเป็นสาวกองค์สำคัญองค์หนึ่ง
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะโจรผู้ร้าย
คำแปล- โจร ชื่อ องคุลีมาล มีฝีมือเก่งกล้า ถือดาบเงื้อวิ่งไล่พระองค์ไปตลอดทาง ๓ โยชน์
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๕. หญิงคนหนึ่งมีนามว่า จิญจมาณวิกา ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า โดยเอาไม้กลมๆ
ใส่เข้าที่ท้องแล้วก็ไปเที่ยวป่าวข่าวให้เล่าลือว่าตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ให้ความจริงปรากฏแก่คนทั้งหลายว่าเป็นเรื่องกล่าวร้ายใส่โทษพระองค์โดยแท้
จึงถือเป็นบทที่เอาชนะคดีความหรือการกล่าวร้ายใส่โทษ
คำแปล- นางจิญจมาณวิกาใช้ไม้มีสัณฐานกลมใส่ที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพื่อกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยวิธีสงบ ระงับพระทัยในท่ามกลางหมู่คน ด้วยเดชะอันนี้ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๖. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะสัจจะกะนิครนถ์ ซึ่งเป็นคนเจ้าโวหาร เข้ามาโต้ตอบกับพระพุทธเจ้า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะในการโต้ตอบ
คำแปล- สัจจะกะนิครนถ์ ผู้มีนิสัยละทิ้งความสัตย์ใฝ่ใจจะยกย่องถ้อยคำของตนให้สูงประหนึ่งว่ายกธง เป็นผู้มืดมัวเมา
องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ ด้วยรู้นิสัยแล้วตรัสเทศนาด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๗. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ให้พระโมคคัลลาน์ อัครมหาสาวกไปต่อสู้เอาชนะพระยานาคชื่อ นันโทปนันทะ
ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้มากหลาย จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะเล่ห์เหลี่ยมกุศโลบาย
คำแปล- องค์พระจอมมุนี ได้โปรดให้พระโมคคัลลาน์เถระ นิรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพระยานาคชื่อ
นันโทปนันทะ ผู้มีฤทธิ์มากให้พ่ายแพ้ด้วยวิธีอันเป็นอุปเท่ห์แห่งฤทธิ์ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา
ในบทที่ ๘. เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงเอาชนะ ผกาพรหม ผู้มีทิฏฐิแรงกล้าสำคัญว่าตนเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงสามารถทำให้ผกาพรหมยอมละทิ้งทิฏฐิมานะ และยอมว่าพระพุทธเจ้าสูงกว่า
จึงถือเป็นบทที่ใช้เอาชนะทิฏฐิมานะของตน
คำแปล- พรหม ผู้มีนามว่า ท้าวผกา มีฤทธิ์และสำคัญตน ว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์
มีทิฏฐิที่ถือผิดรัดรึงอยู่อย่างแน่นแฟ้น องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ด้วยวิธีเทศนาญาณ ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา


คำแปล มหาการุณิโก

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ที่มาและอานิสงส์ของบทสวดมนต์ ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหาการุณิโก
ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์
วัดป่าแก้ว ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุง มหากา
ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากา เป็นประจำทุกๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ
เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้า ค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล
จะสมความปรารถนาทุกประการ

เมื่ออาตมา(หลวงพ่อจรัญ)ได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่งได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ
สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน
ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
"ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็น เจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่าและ ประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย
จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยพระกรรมฐานมีสติ อยู่เสมอเรื่องฝันฟุ้งซ่านก็เป็นไม่ม
ี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล
และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ และจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย
ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ
ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ
อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง
วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง
มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้าก็ยอมตาย
คนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๐๙.๐๐ น.
อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ
อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพร
ก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุงมหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วศรีอโยธเยศ
คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย
"พาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึงมหาการุณิโกนาโถหิตายะ
และจบลงด้วยภาวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆา นุภาเวนะสะทาโสตถี ภะวันตุเต"
อาตมา เรียกรวมกันว่าพาหุงมหากา
อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วได้ถวายให้พระบาท สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม
จึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลยแม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า
ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคนก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าด้วยการกระทำยุทธหัตถี
มีชัยเหนือพระมหาอุปราชาที่ดอนเจดีย์ปูชนียสถานแม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากัน
พระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปานแต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง
อาตมาพบนิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมา ด้วยความสบายใจถึงปากปล่องที่ลงไปเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา
จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมาณวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว
ยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า
ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น
ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบเช่นกัน
โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
"เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนา
และยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง มหากาบรรจุไว้ในองค์พระและพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้วยการเจริญพาหุงมหากาจึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร
เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านได้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต
อันที่จริงถ้าเราทำบุญ เราจะได้ยินพระสวดคาถา "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" ให้เราฟังทุกครั้ง
บางทีเราจะเคยได้ยินพระสวดเจนหูเกินไปจนไม่นึกว่ามีความสำคัญ แท้จริงแล้วคาถาดังกล่าวนี้ มีของดีอยู่ในตัวให้เราใช้มากทุกบททุกตอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อ้างอานุภาพของพระพุทธเจ้าเพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่เรา ทุกตอนลงท้ายว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"
เวลาพระสวดให้เรา ท่านต้องใช้คำว่า "เต" ซึ่งแปลว่า "แก่ท่าน" แต่ถ้าเราจะเอามาสวดหรือภาวนาของเราเอง
เพื่อให้ชัยชนะเกิดแก่ตัวเราเอง เราก็จะต้องใช้ว่า "เม" ซึ่งแปลว่า "แก่ข้า" คือสวดว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเม
ชะยะมังคะลานิ"

เทคนิคการขาย

เทคนิคการขาย

เทคนิคการขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์
ในปัจจุบันการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มีการแข่งขันที่สูงมาก ผู้ซื้อมีตัวเลือกมากมายรวมถึงแหล่งข้อมูลในการค้นหาบ้านสักหลังจากที่ต้อง ขับรถตระเวนหาหรือติดต่อนายหน้าเพื่อหาบ้านที่ตรงกับความต้องการของตัวเอง ช่องทางหนึ่งในการซื้อหรือขายบ้านที่รวดเร็ว และสะดวกที่สุดได้แก่การใช้บริการเว็บไซต์ที่ให้บริการเป็นตัวแทนขายบ้าน หรือให้ผู้ขายประกาศขายบ้านออนไลน์บนเว็บไซต์ ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกกว่าการใช้บริการนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในท้อง ถิ่น และเพิ่มผลกำไรได้มากกว่าจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับนายหน้า ซื้อขายบ้าน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงผู้ซื้อจำนวนมากบนอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นการ เพิ่มโอกาสในการขายให้มากขึ้นกว่าในอดีต จะเห็นได้ว่าการขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ มีข้อดีอยู่มากมาย ดังนั้นเราจะมาดูถึงเทคนิค และเกร็ดต่างๆ ในการที่จะขายออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
1. ลงประกาศที่ดึงดูดความสนใจผู้ซื้อ
ปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างมากสำหรับผู้ขายบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ซื้อสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่ายทำให้มีโอกาสในการเลือกมากขึ้น ดังนั้นการลงประกาศที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อเป็นสิ่งสำคัญในการ เพิ่มโอกาสในการขายของเราให้ได้ผลตามต้องการ เพื่อให้ผู้ซื้อที่สนใจเริ่มติดต่อเราเพื่อทำการซื้อขาย ซึ่งทำได้โดยการให้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้ออย่างครบถ้วน โดยผู้ซื้อจะค้นหาบ้าน หรือที่อยู่อาศัยอื่นๆไม่ว่าจะเป็น คอนโด หอพัก แมนชั่น ที่ต้องการทราบหลักๆได้แก่ ราคา สถานที่ และจำนวนห้องซึ่งบอกได้ถึงลักษณะของที่พักอาศัยนั้นๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
สถานที่
เนื่องจากการลงประกาศในเว็บไซต์ไม่ได้จำกัดกลุ่มของผู้ซื้อเหมือนกันติด ป้ายประกาศตามท้องถนนหรืออาคารซึ่งผู้ที่พบเห็นมักเป็นคนในละแวกนั้นหรือ ตั้งใจที่จะเข้าไปค้นหาที่อยู่อาศัยในแหล่งนั้นๆ ในทางกลับกันการลงประกาศในเว็บไซต์มีกลุ่มผู้ซื้อที่มาจากหลายๆสถานที่ทั่ว ประเทศ ดังนั้นการระบุข้อมูลสถานที่อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นเช่นนอกเหนือจาก จังหวัด เขตหรืออำเภอแล้ว เราอาจระบุละเอียดลงไปอีกในระดับ ถนน ซอย หรือสถานที่สำคัญที่เป็นที่รู้จัก นอกจากนั้นอาจมีการให้แผนที่ประกอบ (ซึ่งใน Tophome.in.th ของเรานั้น ท่านสามารถระบุพื้นที่ในแผนที่ได้ง่ายๆ โดยการปักหมุดบนเขตพื้นที่ที่ต้องการเพื่อให้ผู้ซื้อทราบได้ทันทีว่าบ้านที่ ประกาศขายอยู่ในขอบเขตที่ผู้ซื้อต้องการหรือไม่อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นหากผู้ซื้อสนใจยังสามารถเข้าไปยังสถานที่จริงได้อย่างสะดวก
ราคา
ผู้ซื้อมักมีงบประมาณที่ต้องการอยู่ในใจอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นการให้ข้อมูลราคาที่เสนอขายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจ รวมถึงดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อได้ถ้าเป็นราคาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นบ้านหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั่วไปผู้ซื้อจะ พิจารณาประกาศอื่นๆ ที่มีการระบุราคาขั้นต้นก่อนที่จะตัดสินใจติดต่อไปยังผู้ขาย
จำนวนห้อง และขนาดของบ้าน
ทั้งจำนวนห้องทั้งหมด และจำนวนห้องนอน และห้องน้ำเป็นสิ่งที่บอกถึงลักษณะของบ้านหรือที่พักอาศัยนั้นๆว่าเหมาะสม กับความต้องการของผู้ซื้อหรือไม่ การระบุข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนห้องรวมถึงขนาดของบ้านทำให้ผู้ซื้อสามารถรู้ถึง แบบแปลนของบ้านอย่างคร่าวๆ โดยไม่ต้องไปดูถึงสถานที่จริง นอกจากนั้นขนาดของบ้านยังทำให้ผู้ซื้อทราบว่าราคาของบ้านที่เสนอมีความเหมาะ สมกับบ้านนั้นๆ หรือไม่จากราคาประเมินต่อพื้นที่ซึ่งผู้ซื้อสามารถหาข้อมูลได้
รูปภาพบ้าน
การใส่รูปภาพยิ่งมากยิ่งดี ความชัดเจนและความสวยงามในการแสดงรูปภาพ เป็นจุดที่สามารถดึงความสนใจของผู้ซื้อให้เข้ามาดูประกาศของเรา เนื่องจากทำให้ผู้ซื้อสามารถเห็นถึงบ้านในมุมต่างๆ ได้อย่างละเอียดโดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางไปยังสถานที่จริง รูปภาพที่ชัดเจนและสวยงามสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อได้มากกว่าข้อความ เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามรูปภาพที่ใช้ควรเป็นรูปภาพที่เน้นถึงส่วนที่สำคัญของบ้าน เช่น ภาพบ้านทั้งหลัง ห้องนอน ห้องน้ำ เป็นต้น การใช้รูปภาพที่ไม่ชัดเจน เช่น บันไดบ้าน ระเบียงบ้านที่ผู้ซื้อดูแล้วไม่สามารถเห็นลักษณะของบ้านได้อย่างชัดเจนนอก จากจะไม่เป็นที่สนใจแล้วยังทำให้หน้าเว็บเพจโหลดได้ช้าลงกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงขนาดของภาพที่ไม่ควรใหญ่จนเกินไปซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่เข้ามาดูต้องคอย หน้าเว็บนานมากขึ้น
เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์
เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้ในการติดต่อถ้าผู้ซื้อสนใจประกาศของเรา
หัวข้อประกาศ
นับเป็นเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อให้คลิกเข้ามาดูราย ละเอียดเพิ่มเติมซึ่งอยู่ด้านใน โดยส่วนหัวข้อจะเป็นข้อความสั้นๆที่อธิบายถึงลักษณะสำคัญของบ้าน หรือสินทรัพย์ที่เราต้องการจะขาย สำหรับในส่วนนี้เราจะสามารถเขียนข้อความได้อย่างจำกัด ดังนั้นควรคิดคำต่างๆ ให้ดีก่อนเขียนหัวข้อประกาศ โดยการมองในมุมของผู้ซื้อที่มีโอกาสเข้ามาพิจารณาสินทรัพย์ของเราว่ามีความ ต้องการและกำลังมองหาอะไรบ้าง เช่น "บ้าน 2 ชั้น" หรือ "คอนโดลุมพินี" สถานที่ตั้งเช่น "มีนบุรี" หรือ "ปิ่นเกล้า" รวมทั้งจุดเด่นของบ้าน เช่น สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ใกล้เซ็นทรัลลาดพร้าว อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจอาจจะไม่น่าสนใจสำหรับทุกคน เช่น อยู่ติดทางด่วน ซึ่งเรามองว่าเป็นข้อดีเนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวก สำหรับบางคนอาจนึกถึงเสียงรถที่ดัง ฝุ่นควัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อไม่ต้องการเป็นต้น ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาคีย์เวิร์ดที่ใช้ให้ดี นอกจากนั้นคำที่ใช้ในหัวข้อประกาศยังส่งผลในการค้นหาจาก Search Engine อีกด้วย 
2. ตั้งราคาให้เหมาะสม
ราคาเป็นข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งที่คัดกรองผู้ซื้อที่เหมาะสม และมีความสามารถในการซื้อสินทรัพย์ที่เราต้องการจะขาย สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การขายบ้านใช้เวลานานมาจากการตั้งราคาที่สูงเกินไป ซึ่งถ้าเราต้องการที่จะขายบ้านออกไปได้ด้วยความรวดเร็วเราจำเป็นที่จะต้อง ตั้งราคาให้เหมาะสมในสายตาของผู้ซื้อ รวมถึงการลดราคาลงให้ต่ำกว่าเล็กน้อยในกรณีที่ต้องการขายอย่างเร่งด่วน สำหรับการตั้งราคาอย่างเหมาะสมโดยทั่วไปจะมีหลักการตั้งราคาอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การตั้งราคาตามราคาตลาด และการตั้งตามราคาพื้นฐานหรือราคาประเมิน รวมถึงอาจใช้ทั้ง 2 แบบร่วมกันในการตั้งราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ความต้องการของเราเอง
การตั้งราคาโดยอ้างอิงราคาตลาด
เราสามารถหาราคาที่เหมาะสมได้โดยสังเกตและเปรียบเทียบราคากับบ้านที่มี การตั้งราคาขายกันตามท้องตลาด เช่น ป้ายประกาศขายบ้านละแวกเดียวกับบ้านของเราว่ามีราคาประมาณเท่าไหร่ หรือการเปรียบเทียบราคากับผู้ประกาศขายบ้านรายอื่นๆ ที่ประกาศขายในอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย รวมถึงผู้ซื้อเองก็มักจะเปรียบเทียบก่อนพิจารณาซื้อเช่นเดียวกันเนื่องจาก สามารถหาข้อมูลมาเปรียบเทียบได้ง่ายจากเว็บไซต์ที่ให้บริการขายบ้านที่มี อยู่จำนวนมาก ซึ่งการตั้งราคาตามราคาตลาดอาจจะสูงหรือต่ำกว่าราคาพื้นฐานของบ้านขึ้นกับ ปัจจัยต่างๆ ในขณะที่มีการขายบ้าน เช่น สภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีอาจทำให้ราคาตลาดลดลง ในขณะที่ข่าวการสร้างรถไฟฟ้าใกล้บ้านอาจทำให้ราคาตลาดเพิ่มสูงขึ้นเป็นต้น ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องติดตามและตั้งราคาให้เหมาะสมอยู่เสมอ
การตั้งราคาโดยใช้ราคาพื้นฐาน
เป็นการตั้งราคาโดยใช้การประเมินราคาตามคุณสมบัติของอสังหาริมทรัพย์ นั้นๆ เช่น ขนาดและตำแหน่งของที่ดิน ขนาดของบ้าน เป็นต้น ซึ่งราคาประเมินยังมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อในกรณีที่ต้องทำการกู้ยืม เงินจากสถาบันการเงินในการนำมาซื้อบ้านของเรา โดยสถาบันการเงินมักจะให้กู้ยืมเงินไม่เกินราคาประเมิน ดังนั้นถ้าเราตั้งราคาสูงกว่าราคาประเมินมากเกินไปผู้ซื้ออาจไม่มีกำลังใน การหาเงินมาเพื่อซื้อบ้านจากเราทำให้โอกาสในการปิดการขายให้รวดเร็วอาจทำได้ ยากมากขึ้น สำหรับราคาประเมินเราสามารถหาได้โดยวิธีการต่างๆ เช่น การใช้บริการของตัวแทนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปซึ่งมักจะมีบริการ ประเมินราคาให้สำหรับลูกค้า หรือเว็บไซต์ที่ให้บริการประเมินราคาทางอินเทอร์เน็ตต่างๆ รวมไปถึงการค้าหาข้อมูลด้วยตนเองโดยใช้เลขที่โฉนดหรือเลขที่ดินจากเว็บไซ ต์ของ กรมธนารักษ์ ราคาประเมินทรัพย์สินที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง และ อาคารชุด ซึ่ง ราคาประเมิน = ราคาที่ดิน + ราคาสิ่งปลูกสร้าง - ค่าเสื่อมราคาสิ่งปลูกสร้าง เมื่อเราได้ราคาทั้งราคาตลาดและราคาประเมินมาแล้วเราก็สามารถที่จะหาราคาที่ เหมาะสมที่สามารถดึงดูดผู้ซื้อให้สนใจทรัพย์สินที่เราต้องการขาย โดยไม่เป็นการเอาเปรียบผู้ซื้อ และได้ผลตามที่เราต้องการซึ่งสามารถแข่งขันกับผู้ขายรายอื่นๆที่มีอยู่มาก มายได้
3. ใช้ search engine ให้เป็นประโยชน์
การตั้งประกาศบนเว็บไซต์มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ซื้อสนใจ และเข้ามาดูรายละเอียดจนถึงติดต่อเราเพื่อดำเนินกระบวนการซื้อขายต่อไป ยิ่งมีผู้ซื้อเห็นประกาศมากเท่าไหร่ย่อมเปิดโอกาสให้มีการติดต่อเพื่อการ ซื้อขายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องหาทางให้ผู้ซื้อมีโอกาสที่จะเห็นประกาศของเรามากที่สุด เท่าที่จะทำได้ วิธีที่มักจะทำกันคือ การหาเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากหลายๆ เว็บไซต์ และโพสต์ประกาศในหลายๆ เว็บไซต์ อย่างไรก็ตามเรามักจะลืมใส่ใจรายละเอียดของประกาศของเรา ซึ่งส่งผลต่อการแสดงผลใน search engine ต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมืออันดับแรกสำหรับผู้ซื้อในการค้นหาบ้านผ่านทางอิน เทอร์เน็ต
Search engine ที่เป็นที่นิยมต่างๆ เช่น google.com, yahoo.com, sanook.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงประกาศของเราได้โดยตรงซึ่ง เพิ่มโอกาสในการเจอประกาศนอกเหนือไปจากจำนวนของผู้ใช้งานภายในเว็บไซต์ซื้อ ขายหนึ่งๆ อย่างไรก็ตามการทำให้ประกาศของเราถูกพบโดย Search engine โดยเฉพาะหน้าแรกๆ นั้นไม่ง่าย แต่วิธีการในการตั้งประกาศก็ไม่ยากเกินไปเมื่อเทียบกับการลงประกาศในหลายๆ เว็บไซต์ โดยสิ่งที่เราควรคำนึงในการตั้งประกาศเพื่อให้ประกาศของเรามีโอกาสเจอใน search engine โดยผู้ใช้งานมีดังนี้
หัวข้อประกาศ
เป็นส่วนที่สำคัญ นอกเหนือไปจากการดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อในเว็บไซต์แล้วยังส่งผลต่อการค้น หาของ search engine อีกด้วย ดังนั้นภายในหัวข้อประกาศจึงควรมีคำสำคัญที่ผู้ซื้อใช้ในการค้นหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเฉพาะเช่น ชื่อโครงการ หมู่บ้าน หรือลักษณะเฉพาะตัวของบ้านของเรา การที่มีคำเฉพาะเจาะจงทำให้รายชื่อเว็บที่มีคำดังกล่าวมีจำนวนน้อยกว่าคำ ทั่วๆ ไปเพียงอย่างเดียว ซึ่งส่งผลให้อันดับของเราภายใน search engine มีโอกาสที่จะสูงกว่าด้วย
รายละเอียดประกาศ
เป็นส่วนที่ไม่ควรมองข้าม ข้อมูลในส่วนนี้ควรระบุคำสำคัญต่างๆ ที่เราต้องการให้ค้นหาหน้าประกาศของเราเจอจากการค้นหาคำนั้นๆ ของผู้ซื้อ ซึ่งมักจะเป็นรูปแบบคำคั่นด้วย "," เช่น บ้านแลนด์ แอน เฮ้าส์,พระราม 2 เป็นต้น
จากเกร็ดข้อมูลต่างๆ ข้างต้นน่าจะทำให้ผลของการขายอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นการยากในการเอาใจใส่รายละเอียดเล็กน้อยและไม่ยุ่งยากในการนำไป ใช้ด้วย หวังว่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยให้ท่านทำการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความต้องการนะค่ะ

วัวสีม่วง(Purple Cow)

1. P ไม่พอ

:1. Product สินค้า
:2. Pricing การตั้งราคา
:3. Promotion การส่งเสริมการขาย
:4. Positioning การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์
:5. Publicity การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
:6. Packaging การบรรจุภัณฑ์
:7. Pass-along การบอกต่อ
:8. Permission การอนุญาติ
และ P ตัวใหม่ คือ "Purple Cow" : "วัวสีม่วง"


2. P ตัวใหม่

P ตัวใหม่ คือ "Purple Cow" : "วัวสีม่วง"

สาระสำคัญของ "วัวสีม่วง คือ มันต้อง โดดเด่น (Remarkable)


3. ค่าที่เป็นตัวพิมพ์หนา และ การยืนยันที่กล้าหาญ

อะไรบางอย่างที่โดดเด่น ย่อมมีค่าควรแก่การพูดถึง มีค่าควรแก่การสังเกต

การตลาดที่โดดเด่น คือ ศิลปะของการสรรสร้างสิ่งต่างๆ ที่ควรค่าแก่การสังเกตเห็น ใน "สินค้า และ บริการ"


4. ก่อน ระหวาง และ หลัง

ก่อนการโฆษณา:
ระหว่างการโฆษณา:
หลังการโฆษณา:


5. สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับจากเครื่องสไลช์ขนมปัง

: สินค้าดี แต่มีการตลาดที่ "ห่วย" ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้น้อยมาก

: แต่เป็นเพราะ การบรรจุหีบห่อ และ การโฆษณา ที่ได้ผล


6. คุณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือเปล่า

: จากหนังสือ The Pursuit of Wow ของ Tom Peter ทำไม สินค้าที่มีอนาคต จึงเป็นสินค้าที่ผลิต โดยคนที่มีความสนใจ และ กระตือรือร้นเป็นพิเศษ...

: จากหนังสือ The One to One Future เขียนถึง ความจริงที่เรียบง่ายว่า
"การ ลงทุนรักษาลูกค้าเก่าไว้ย่อมถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่" และ อธิบายอย่างชัดเจนถึงวงการของการ "บริหารลูกค้าสัมพันธ์" และ แสดงให้เห็นว่า มีคนอยู่ 4 ประเภทเท่านั้น คือ 1. ว่าที่ลูกค้า 2. ลูกค้า 3. ลูกค้าผู้จงรักภักดี และ 4. อดีตลูกค้า และ บ่อยครั้งลูกค้าผู้จงรักภักดีมักจะยินดีใช้จ่ายเงินกับคุณมากขึ้น

Merchant Dream ว่าเองนะ:
"การลงทุนรักษาลูกค้าเก่าไว้ย่อมถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่"
ดังนั้น
"การลงทุนรักษา แฟนคนเก่า ภรรยาคนเก่าไว้ ย่อมถูกกว่าการหาแฟนคนใหม่ หรือ ภรรยาคนใหม่"
และ ในทำนองเดียวกัน
"การลงทุนรักษา พนักงานคนเก่า ลูกน้องคนเก่าไว้ ย่อมถูกกว่าการหา พนักงานคนใหม่ และ ลูกน้องคนใหม่"

:จากหนังสือ Crossing the Chasm ได้ชี้ให้เห็นว่า "สินค้าใหม่ และ แนวความคิดใหม่ เคลื่อนผ่านประชาชนได้อย่างไร"
โดยเริ่มต้นจาก
คนที่ชอบการเปลี่ยนแปลงละคนที่ยอมรับในตอนต้น
แล้ว ค่อยๆเติบโตเป็นคนส่วนใหญ่
และ สุดท้ายก็มาถึงพวกล้าหลัง
ความเข้าใจเกี่ยวกับเส้นโค้งนี้ กลับสามารถใช้ได้กับสินค้า หรือ บริการทุกประเภทที่เสนอให้กับลูกค้าทุกระดับ

:จากหนังสือ The Tipping Point ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า
"แนวความคิดกระจายไปในหมู่ประชาชนจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้อย่างไร"

:จากหนังสือ Unleashing the Ideavirus บรรยายว่า
"แนวความคิดในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คือ แนวความคิดที่แพร่กระจายได้อย่างไร"

:ในหนังสือ Permission Marketing
จาก การที่นักการตลาด ต้องเผชิญหน้ากับภาวะที่ "ผู้บริโภคไม่ให้ความสนใจในโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ" บริษัท จะประสบความชัยชนะได้อย่างไร เมื่อพวกเขาปฏิบัติต่อความสนใจของ "ว่าที่ลูกค้า" เหมือนเป็นทรัพย์สินชิ้นหนึ่ง

7. ทำไม คุณจึงต้องการวัวสีม่วง
8. ความตายของระบบทีวี - ธุรกิจที่เกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก
9. ก่อนและหลัง
10. ลองพิจารณารถเต่าทอง
11. ทำไม วอลสตรีท เจอร์นัลจึงกวนใจผมนัก
12. การรับรู้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
13. ความตั้งใจกับหนทาง
14. กรณีศึกษา : ขึ้นงั้นรึ
15. กรณีศึกษา : ไทด์ควรจะทำยังไง
16. เข้าไปข้างใน
17. ความคิดที่แพร่กระจาย...ชนะ
18. ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
19. ใครฟัง
20. โกง
21. ใครแคร์
22. ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะเหมือนกันหมด
23. กฏของตัวเลขจำนวนมาก
24. กรณีศึกษา : ชิป คอนเลย์
25. ปัญหากับวัว
26. เดินตามผู้นำ
27. กรณีศึกษา : เก้าอีแอรอน
28. การคาดการณ์อนาคต ผลกำไร และ วัวสีม่วง
29. นักการตลาดมวลชนเกลียดการประเมินผล
30. กรณีศึกษา : โลจิเทค
31. ใครชนะในโลกของวัว
32. กรณีศึกษา : กีวีชนิดใหม่
33. ประโยชน์ของการเป็นวัวสีม่วง
34. กรณ๊ศึกษา : พ่อค้าเนื้อชาวอิตาเลียน
35. วอลสตรีทกับวัว
36. ตรงข้ามกับ "โดดเด่น"
37. ไข่มุกในขวด
38. คำพูดขัดกัน ความจริงที่น่าขัน
39. เจ็ดสิบสองอัลบั้มของเพิร์ล แจม
40. กรณีศึกษา : คูราด
41. อยู่เฉยๆ อย่าแค่สักแต่ทำ
42. กรณีศึกษา : บริการไปรษณีย์ของสหรัฐอเมริกา
43. ค้นหาโอตากุ
44. กรณีศึกษา : ดัทช์ บอย ปลุกธุรกิจสีขึ้นมาได้ยังไง
45. กรณีศึกษา : คริสปี้ ครีม
46. กระบวนการและแผนการ
47. อำนาจของสโลแกน
48. กรณีศึกษา : ฮาเก้น-ดาซในบรองซ์วิลล์
49. ขายในสิ่งที่ผู้คนกำลังซื้อ (และ พูดถึง)
50. ปัญหากับการประนีประนอม
51. กรณีศึกษา : โมโตโรลา และ โนเกีย
52. ความหมายของการเป็นนักการตลาดในวันนี้
53. ไม่ใช่นักการตลาดอีกต่อไปแล้ว : เวลานี้เราคือนักออกแบบ
54. โฮเวิร์ด รู้อะไรบ้าง
55. คุณต้องช็อกความรู้สึก รุนแรง หรือ พิศดารถึงที่สุด หรือ เปล่า ถึงจะโดดเด่น
56. กรณีศึกษา : แมคโดนัลด์ที่ฝรั่งเศส
57. แล้วโรงงานล่ะ
58. ปัญหา กับ ราคาถูก
59. กรณีศึกษา : HALLMARK.COM ควรจะทำอย่างไร
60. เมื่อวัวมองหางานทำ
61. กรณีศึกษา : เทรซี่นักประชาสัมพันธ์
62. กรณีศึกษา : เป็นที่นิยมมากเหลือเกิน ไม่มีใครไปที่นั่นอีกแล้ว
63. มันเกี่ยวกับแรงปรารถนาหรือเปล่า
64. ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง
65. การระดมความคิด
66. เกลือไม่น่าเบื่อ....อีกแปดวิธีในการใช้วัวสีม่วงให้ได้ผล
67. ออร์เวลจะพูดว่าอะไร
68. เกี่ยวกับผู้เขียน
69. ข้อมูลเพิ่มเติม

วัวสีม่วง (Purple Cow) ที่ Cold Storage

Purple Cow (วัวสีม่วง) ผู้เขียนถือว่าเป็น “P” ตัวใหม่ทางการตลาดตามแนวคิดของ Purple Cow ที่มาจากหนังสือของ Seth Godin (2003) ซึ่งกล่าวถึง การตลาดที่จดจำได้ (Remarkable Marketing)ผู้เขียนพักที่สิงคโปร์อยู่ 2-3 วัน ทำให้มีโอกาสเข้าไปศึกษารูปแบบการทำตลาดของธุรกิจค้าปลีกแห่งหนึ่งซึ่งน่า สนใจและเป็น “Purple Cow” คือ The Cold Storage Group ซึ่งตั้งมา 100 ปีพอดี (1903-2003)

วิสัยทัศน์และภารกิจของ Cold Storage
ผู้ เขียนจะขอเรียกว่า ห้าง Cold Storage น่าจะง่ายและสะดวกดีนะครับ ห้าง Cold Storage กำหนดวิสัยทัศน์และภารกิจไว้ดังนี้ Vision Our Vision to be the Leading fresh food people Mission Our mission we always care for our customers และปรัชญาหรือคุณค่าที่ห้าง Cold Storage มีให้กับลูกค้าคือ 3’Cs (Clean, Chill, Cook) Clean : But if fresh. Keep it safe wash hand and surface often separate. Don’t cross contaminate. Chill : Refrigerater promptly. Cook : Cook to prepare temperatures. สิ่งที่เป็น Purple Cow ก็คือ

ผู้เขียนได้พบวิธีการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) ในรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีในบ้านเรา >Off-Shelf Promotion เป็นลักษณะของการจัดทำ “ชั้นโปรโมขั่น” ที่สวยงามและช่วยส่งเสริมการขายต่างหากจากซัพพลายเออร์คือ ผู้ผลิตสินค้า แล้วนำไปวางหน้าชั้นสินค้าที่เป็นของซัพพลายเออร์ และมีอยู่เกือบทุกชั้นสินค้า ซึ่งเป็นอะไรที่มากกว่าการทำโฆษณาหรือมี TV ติดตั้งไว้ที่ชั้นสินค้า

รวมถึงบาง “ชั้นโปรโมชั่นแบบใหม่นี้” จะมีพนักงาน PG หรือ Merch มาช่วยแนะนำอีกด้วย >In-Store Expo. เป็นลักษณะของการจัดแสดงสินค้าโดยยึดพื้นที่ชั้นวางสินค้า 1 บล็อกแล้วจัดเป็นซุ้มแสดงสินค้าตั้งแต่หัวชั้นจนสุดแถวชั้นสินค้า เช่น กรณีของ Kimberly-Clark จัดเป็น “Kid Boulevard” คือ เป็นสินค้าเด็กทั้งหมดตลอด 1 บล็อกหรือชั้นทั้ง 2 ข้างมีสีสันทำการส่งเสริมการขาย จัดชั้นตบแต่งใหม่หมดรวมทั้งพื้นทางเดินด้วย ผู้เขียนเห็นแล้วถือว่าเป็นการทำให้เกิด “Purple Cow” ที่ดีและยังไม่เคยเห็นในเมืองไทยครับ! ในทัศนะของผู้เขียน “Purple Cow” เป็นสิ่งที่จะสร้างให้เกิด KPIs ในธุรกิจค้าปลีกได้เป็นอย่างดี

ทำความรู้จัก P ตัวใหม่ทางการตลาด

จงทำให้แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์

จาก การสรุปสาระสำคัญของหนังสือชื่อ Purple Cow ของ Seth Godin (2003) ได้ให้ข้อคิดทางการตลาดว่า นักการตลาดจะต้องพยายามผลิต Purple Cow ออกมาตลอดเวลาและต้องหาประโยชน์จาก Purple Cow ให้ได้มากที่สุด โดยสิ่งที่เป็น Purple Cow นั้นก็คือ การตลาดที่จดจำได้ Seth เปรียบเทียบสินค้าหรือบริการต่างๆที่มีอยู่ว่าเป็นเหมือน วัว ที่ล้วนแต่มีหน้าตาที่เหมือนกัน สีสันก็เหมือนกัน ทำให้ไม่มีความแตกต่างและขาดความน่าสนใจ จึงทำให้ลูกค้าหรือผู้ซื้อไม่อยากจะจดจำหรือพูดถึง รวมทั้งบอกต่อให้กับผู้อื่นได้ทราบ

ด้วยเหตุนี้ Seth จึงแนะนำให้บริษัทต่างๆ ผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณค่าพอที่ลูกค้าจะเอ่ยอ้างหรือพูดถึง รวมทั้งสามารถจดจำได้(remarkable) และกล้าที่จะแนะนำ บอกต่อให้คนอื่นๆทราบ ซึ่งสิ่งนี้ Seth เรียกว่า P ตัวที่ 5 ทางการตลาด คือ Purple Cow นั่นเอง

เนรมิตสินค้าอย่างไรให้โดดเด่น น่าซื้อ

บทความที่นำเสนอสรุปจาก หนังสือเรื่อง Purple Cow แต่งโดย Seth Godin ผู้แต่งได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “วัวสีม่วง” หรือ Purple cow ไว้ว่า เป็นการสร้างคุณภาพของสินค้าและบริการให้มีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง สามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าจนต้องมีการบอกกันปากต่อปากว่า สินค้าและบริการของเรานั้นมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ และหากไม่ได้มาลองใช้สินค้าและบริการของเราแล้วจะถือว่า “น่าเสียดาย” อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การจะสร้าง “วัวสีม่วง” ได้นั้น ตัวเราเองจะต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุง คุณภาพของสินค้าหรือบริการให้มีความแตกต่าง และแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างแท้จริงเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยศึกษาวิธีการสร้าง “วัวสีม่วง” ดังกล่าว




วิธีการสร้าง “วัวสีม่วง” มีดังต่อไปนี้

1. เลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจนที่สุด โดยกำหนดจากกลุ่มอายุ อาชีพ ความเป็นอยู่ และรสนิยมในการเลือกใช้สินค้าและบริการ เป็นต้น

2. จัดทำโฆษณาโดยเจาะกลุ่มเป้าหมายตามที่เราต้องการ แต่ไม่ควรเสียค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณามากจนเกินไป เพราะจะไม่คุ้มกับกำไรที่ได้รับ

3. มองโลกในแง่ดี และคิดว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้เสมอ

4. พยายามหาลูกค้ากลุ่มใหม่เพื่อขยายส่วนแบ่งทางธุรกิจ

5. หาช่องทางในการสื่อสารเพื่อให้ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง โดยการหาบุคคลที่จะช่วยเป็นปากกระบอกเสียงในการหาลูกค้าให้เรา (Idea sneezer) ซึ่งบุคคลดังกล่าวนั้น ควรเป็นคนที่ชอบเข้าสังคม มีเพื่อนฝูงมากมาย มีความน่าเชื่อถือ และมีความชื่นชอบในสินค้าของเราอย่างแท้จริง idea sneezer นั้นหาได้ไม่ง่ายนัก แต่เมื่อหาเจอแล้วให้รักษาไว้ให้ดีที่สุด ซึ่งผู้แต่งแนะนำว่า การให้ผลตอบแทนแก่ผู้ที่ช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าให้เรานั้น ควรเป็นการดูแลเอาใจใส่และการให้บริการที่เป็นเลิศมากกว่าการตอบแทนในรูปของ เงินทอง

6. ถามตนเองว่า ถ้าต้องการเพิ่มมูลค่าของสินค้า จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง เช่น หากต้องการลดราคาสินค้าลงเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า แต่ยังคงได้กำไรเท่าเดิม เราอาจจะต้องลองหาซัพพลายเออร์ใหม่ ๆ ที่เสนอสินค้าในราคาที่ที่ถูกกว่าที่เป็นอยู่ เป็นต้น

7. แข่งขันกับคู่แข่งที่ครองตลาดเป็นอันดับหนึ่งในวงการของเรา อย่างไรก็ตาม การแข่งขันนั้นจะต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์คือ เพื่อใช้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือ ห้ามลอกเลียนแบบ และห้ามโจมตีคู่แข่งโดยเด็ดขาด แต่ให้เน้นว่า สินค้าและบริการของมีจุดเด่นอะไร และสามารถแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

8. ศึกษาธุรกิจในสาขาอื่น ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับสินค้าและบริการของเรา

9. พยายามรักษาวัวของเราให้เป็นสีม่วงให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้

10. หากวัวของเราเริ่มจะมีสีจางลงให้รีบหา “วัวสีม่วง” ตัวใหม่มาทดแทนโดยเร็ว


ที่มา : http://www.quixest.com 

เทคนิคการเขียน Blog

เทคนิค 10 ข้อ เขียน blog ติดอันดับเร็วมาก

1. ให้คนอ่านได้รับรู้ถึงความคิดเห็นของคุณ
คน ทั่วไปชอบบล็อก เหตุผลก็คือ บล็อกนั้นถูกเขียนขึ้นโดยทั่วไป โดยไม่ใช่บริษัทหรืออะไร คนส่วนใหญ่อยากที่จะรู้ว่าคนอื่นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร และถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ เขาอยากรู้ว่าคุณ (เจ้าของบล็อก) นั้นคิดอย่างไร จงบอกพวกเขาว่าคุณคิดอย่างไร โดยใช้ความยาวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2. หาลิงค์มาใส่เยอะๆ 
หาอะไรมาสนับสนุนไอเดียของคุณ เช่น เวบอื่นๆ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเนื้อหาของบล็อกคุณ

3. เขียนให้สั้นเข้าไว้
พยายาม เล่าเรื่องให้มันสั้นๆเข้าไว้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีเวลาน้อย และก็ยุ่งมากอยู่แล้วในแต่ละวัน เขียนเรื่องของคุณให้คนอ่านแว๊บเดียวจบ จะดีทีี่สุด!!

4. ความยาว 250 คำก็เพียงพอ 
โพสยาวๆนั้นเข้าถึงคนได้ยากและคนก็ลืมง่าย แต่โพสที่สั้นๆ นั้นจะให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม

5. ทำให้หัวข้อเรื่องมันติดตา จำง่าย 
ใส่ใจความสำคัญไว้ที่หัวเรื่อง (subject) ให้มีความกะทัดรัดและจำง่ายไม่คุณก็ลองดูตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ก็ได้ว่าเขาทำกันอย่างไร

6. ทำออกมาเป็นหัวข้อๆ ให้คนอ่าน
เราทุกคนชอบอ่านอะไรที่เป็นข้อๆอยู่แล้ว เพราะมันทำให้เนื้อหาของเรื่องที่อ่าน อยู่ใน format ที่อ่านได้ง่ายขึ้น

7. ทำให้โพสของคุณอ่านง่าย
ในทุกย่อหน้าของคุณ พยายามใส่หัวเรื่องย่อยลงไป และก็อย่าพยายามใช้หัวเรื่องที่ยาวเกินไป

8. พยายามคงเส้นคงวากับ Style การเขียนของคุณ 
คนส่วนใหญ่ชอบรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากที่คนอ่านของคุณติดใจใน style คุณแล้วก็อย่าพยายามเปลี่ยนมัน

9. พยายามแทรก Keyword ไว้ในตัวโพสด้วย
พยายาม คิดถึงตัว Keyword ที่คนทั่วไป มักจะใช่ในการ search เข้ามาหาโพสของคุณ และพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงในหัวข้อเรื่อง และตัวโพส
อีกอย่างที่ต้องระวังคือ ต้องพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงไปให้ดูเป็นธรรมชาติและต้องไม่ให้ดูเยอะเกินความจำเป็น

10. แก้เนื้อหาบ้าง 
หลังจากคุณเขียนโพสเสร็จแล้ว ก่อนที่คุณจะทำการกดปุ่ม submit ให้คุณลองย้อนกลับมาอ่านโพสของคุณอีกครั้ง และก็ตัดส่วนที่คุณคิดว่า ไม่จำเป็นออกไป หรืออะไรก็ตามที่ไม่น่าจะเอาไว้



การโปรโมท blog หรือ Web ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่จะเอาดีในด้านการให้ข้อมูลอย่างมืออาชีพ ด้วยเหตุที่ว่าเราจะสร้างเว็บ หรือ blog มาทำไมในเมื่อไม่อยากให้ใครเห็น หรือ ใครพบเว็บ หรือ บล็อกของเรา

ในการเขียนบล็อก หรือ เว็บไซต์นั้น สำหรับธุรกิจโดยทั่วไปย่อมหวังที่จะให้ได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีมา Internet ก็คืออีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เกิดช่องทางในการนำเสนอสินค้าและบริการ สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป แต่ด้วยเหตุที่ในการนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ เหล่านั้นต่างก็มีผู้ประกอบการต่าง ๆ มากมายนำเสนอเช่นเดียวกันเป็นจำนวนมากหลายหมื่นหลายล้านเว็บไซต์ทั่วประเทศ เครื่องมือค้นหาอย่าง Search Engine?ถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น จึงมีการนำเสนอโฆษณารูปแบบ PPC (จะนำเสนอในครั้งต่อไป) แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุก ๆ เดือนไปตลอดที่มีการโฆษณา เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีการโฆษณาเว็บของเรา หรือ blog ของเราก็จะหายไปในบัดดล เว้นแต่ว่าคุณได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาการทางด้าน SEO มาก่อนที่จะหยุดทำการโฆษณานั้น ๆ จนติดหน้าแรกไปแล้ว

การโปรโมทเว็บ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องมีการวางแผนที่ดี แต่ก็อาจเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งอาจมองว่าไม่คุ้มกับการ โปรโมทเว็บ หรือ โปรโมทบล็อก ด้วยซ้ำไปวันนี้ Make Many จะนำเสนอเรื่องราวทางด้านเทคนิคในขั้นพื้นฐานสำหรับการ โปรโมทเว็บ หรือ โปรโมท blog กันครับที่ประหยัดเวลาและไม่ต้องเสียเงินในการโปรโมทด้วยครับ

เทคนิคการโปรโมทเว็บ หรือ blog ให้ติดอันดับใน Search Engine
ก่อน ที่เราจะทำการโปรโมทเว็บ หรือ โปรโมท blog ของเรานั้นเราต้องทำการสำรวจ ข้อมูลและเว็บ หรือ blog ของเราเสียก่อนครับโดยให้คุณดำเนินการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ครับ เพื่อง่ายต่อการเข้าใจคุณสามารถ ศึกษาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เรื่อง “SEO คืออะไร” และ “Blog กับ SEO” กันเสียก่อนหนะครับจะได้เข้าใจตรงกันครับ

ขั้นตอนการโปรโมทเว็บไซต์/โปรโมท blog
1. Study ทำการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ คีเวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เว็บหรือบล็อกของเรา รวมไปถึงคีเวิร์ดที่ไกล้เคียงกันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับอะไร คำค้นหาหลักอะไร หรือ สินค้าอะไร ได้ยิ่งดีเอาแบบตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะถ้าหากว่าทำแบบกว้าง ๆ อาจไม่ได้ผลในทางที่เป็นการค้าหรือธุรกิจควรให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ครับ

2. Website Optimization ทำการปรับปรุงเนื้อหา และ การปรับแต่งเว็บเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการ SEO ตามแบบฉบับที่เหมาะสม หลักการก็คือพยายามใช้ HTML แบบโบราณให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้ Search Engine ชอบมาก ๆ ครับ ถ้าหากไม่ทราบแนวทางในการปรับแต่งสามารถศึกษาข้อมูลการปรับแต่งแบบโบราณได้ จาก W3C ครับ

3. Website Submission คือการส่งบัติเชิญเหล่า Search Engine ต่าง ๆ ให้มาเก็บข้อมูลที่เราได้ทำการปรับปรุงใหม่นั้น ๆ เพื่อให้ได้รับการ Index ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปและเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลให้กับ Search Engine ด้วยครับ

4. Evaluation ทำการติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูความเคลื่อนไหวในการติดอันดับในระดับต่าง ๆ และ คีเวิร์ดต่าง ๆ ด้วยครับ

5. Fine Tuning ปรับปรุงเนื้อหาของเว็บไซต์ หรือ บล็อกของเราตลอดเวลาครับ หรือ ทุกวันได้จะดีมากครับเพราะจะทำให้ Robot ของ Search Engine เข้ามาทำการเก็บข้อมูลบล็อก หรือเว็บของเราเป็นประจำ ข้อสำคัญต้องสอดคล้องกับ Keyword ของเราด้วยหนะครับ

เพียงเราทำตาม ขั้นตอนต่าง ๆ แบบง่าย ๆ อย่างนี้ไม่เกิน 6 เดือน Blog หรือ Website ของเราก็จะเริ่มติดอันดับไปทีละ Keyword เรื่อย ๆ และ น่าจะได้อันดับที่ดีพอสมควรครับ ในการโปรโมทเว็บ หรือ blog ด้วยหลักการทาง SEO นั้นต้องอาศัยระยะเวลา เนื่องจากเราต้องรอให้ Search Engine ต่าง ๆ ได้ทำการปรับปรุงเว็บเราไปให้ได้มากที่สุดเสียก่อน หรือ ให้ตรงกับคีเวิร์ดของเราให้มากที่สุดก่อน แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาวครับ เพราะถ้าเราติดอันดับแล้วเราก็จะทำการปรับปรุงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนนิ่งและได้รับความน่าเชื่อถือในเรื่องข้อมูลมากขึ้น.

เทคนิควิธีการสร้าง Link Popularity

       การที่เราจะมี PageRank ดีๆ ติดอันดับในการค้นหา เป็นอันดับต้นๆ ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องยากและก็ไม่ง่าย แต่ถ้ารู้วิธีการสร้าง Link Popularity แล้วละก็ ไม่ยากเลยครับ ซึ่งวิธีการสร้าง Link Popularity นี้เอง เป็นสิ่งที่นัก SEO ทั้งหลาย ต้องเรียนรู้และต้องสร้างให้ได้มากๆ จนถึงมากที่สุดเลยหล่ะครับ เอาละ เรามาดูวิธีการสร้าง Link Popularity กันเลยดีกว่า
1. ไป Comment ที่บล็อกคนอื่น
วิธีแรกเลยที่ผมมักจะทำบ่อยๆ ก็คือคอมเม้นท์ในบล็อกของคนอื่น ใจเขาใจเราหล่ะครับ เวลาเราทำบล็อกแล้วมีคนมาคอมเม้นท์ (ที่ไม่ใช่สแปม) เราก็จะรู้สึกดี และอยากจะคุยกับคนที่มาคอมเม้นท์ เพราะคนที่คอมเม้นท์ถือว่าเป็นคนที่สนใจเว็บบล็อกของเราจริงๆ ดังนั้นเราเม้นท์เขา เขาเม้นท์เรา ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนลิงค์กันได้ด้วยนะครับ
2. Link ไปหาบล็อกอื่นก่อน
อย่ารอให้เขาลิงค์มาหาเราก่อน เราต้องลิงค์ไปหาเขาก่อนจะดีที่สุด เพราะเขาจะเห็นว่าเขามีความสำคัญ หลังจากนั้น เมื่อเราลิงค์ไปหาเขาแล้ว ก็เมล์ไปบอกว่าเราติดลิงค์ให้เขาแล้ว ถ้าไม่รบกวนเกินไปก็กรุณาลิงค์กลับมาด้วยนะครับ อะไรประมาณนี้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง หรือเว็บเราดีจริง รับรองว่าเขาต้องลิงค์กลับมาแน่นอนครับ
3. Submit บล็อกเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ
ข้อนี้ต้องขยันนิดนึง เพราะคุณต้อง submit บล็อกของเราเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ข้อได้เปรียบของบล็อกก็คือ คุณสามารถโปรโมทบล็อกไปสู่ search engine ของเว็บได้ และยังโปรโมทไปสู่ search engine เฉพาะทางเช่นพวก Blog Search Engine ได้อีกด้วย
4. ออกแบบบล็อกให้ดูดีสวยงาม
อันนี้ลองดู เว็บ Template สวยๆ ทั้งหลาย เช่น Templatemonster อันนี้ก็เจ๋งดี ดูเป็นแนวทางนะครับ อย่าไปก็อปเขามาทั้งดุ้น เอามาปรับแต่ง ใส่ไอเดียเราเข้าไป เพื่อให้เกิดเป็นเว็บตามสไตล์ของเราจริงๆ
5. ใช้ CSS ในการออกแบบบล็อก
ออกแบบเว็บด้วย CSS และใช้ Validator HTML ให้ผ่านด้วย ช่วยให้เว็บของเรามีโค้ดที่ดูง่ายสะอาด ทำให้ บอทต่างๆ วิ่งเก็บข้อมูลได้สะดวก การเชื่อมโยงลิงค์ทำได้ง่าย ช่วยให้การทำ SEO ของเรา ได้อันดับดีไปด้วย
6. ทำ Tag ไปหา technorati
วิธีง่ายๆ ก็คือ ไปสมัครสมาชิกที่เว็บ Technorari แล้วก็สร้างลิงค์เพื่อให้เชื่อมโยงมาที่เว็บเราอีกที ซึ่ง Technorati ถือว่าเป็น Blog Search Engine ที่มี PR สูง และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากอีกด้วย
7. ทำ signature เวลาตอบกระทู้ใน Web Board
เป็นวิธีที่หลายๆ คนชอบใช้ในการทำลิงค์มาที่เว็บของตัวเอง แต่ต้องดูด้วยนะครับว่าบอร์ดที่ไหนบ้าง ที่เราสามารถใส่ลายเซ็นต์ได้ บางแห่งอาจจะต้องมีเงื่อนไขด้วย ผมแนะนำ http://www.thaiseoboard.com เพราะได้ผลดี บอทเยอะ แต่ว่าต้องมีเงื่อนไขนิดหน่อย ต้องอ่านกติกาดีๆ นะครับ
8. Ping ไปที่ Blog Search Engine
ถ้าเราใช้ระบบบล็อกของ Wordpress เราสามารถ Ping Blog ได้ โดยการเข้าเว็บ ที่รับ ping หรือหาเว็บที่รวม ping list มาแล้วก็เอาไปใส่ในระบบของ Wordpress เวลาเราเขียนบล็อกแต่ละครั้งก็จะ ปิงไปที่เว็บนั้นๆ ให้อัตโนมัติ  ส่วนเว็บที่รวม ping list ลองเข้าไปอ่านได้ที่นี่นะครับ http://www.suansanook.com/wordpress
9. ใช้ Social Bookmark
เว็บ Digg ทั้งหลาย เกิดกันมากมาย ลองไปโพสต์ตามเว็บ Social Bookmark กันดูนะครับ อย่างเช่น Zickr, Dekdigg, Suansanook Dunweb เป็นต้น รับรองว่ามีลิงค์มาที่เว็บเราแน่นอน

credit:http://seo.teeneesanook.com

เทคนิคในการจัดทำ SEO โดยใช้ Google Adwords

               คำตอบของผมก็คือว่า เราสามารถนำ Google Adwords มาประยุกต์ใช้ในการทำ SEO ได้ และได้อย่างดีทีเดียวครับ ดังที่เพื่อนๆคงจะได้ทราบวิธีการทำงานของ Google Adwords กันไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า โฆษณาบน Google Adwords นั้น เป็นโฆษณาที่มีผลกับจิตใจของผู้เห็นโฆษณาภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น เท่ากับว่า ผลลัพธ์ SEO ที่ได้จากการโฆษณาบน Google Adwords นั้น เป็นผลลัพธ์ SEO ที่ดีเยี่ยมยิ่งกว่าโพลใด ๆ ครับ เช่น ถ้าเรา ทำโฆษณาขึ้นมา 2 ชิ้น แล้วทำการโฆษณาแข่งกันบน Google หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์
สามารถที่จะสรุปเบื้องต้นได้แล้วว่า SEO ข้อความโฆษณาทางด้านซ้ายมือนั้น มีผลในการเรียกความสนใจของผู้ที่อ่านได้มากกว่า (ใน Keywords นั้นๆ) รวมทั้งการใช้ Google Adwords นั้น เราสามารถทำการทดสอบและปรับเปลี่ยนข้อความโฆษณาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถหา Keywords และข้อความโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงได้โดยเร็ว
ดังนั้นถ้าหากเราจะใช้ประโยชน์จาก Google Adwords เพื่อเทคนิคการทำ SEO ของเว็บไซต์นั้น ผมแนะนำให้ทำดังนี้
• ลองทำการโฆษณาเว็บไซต์ของตนเองด้วย Google Adwords ก่อน เพื่อหา Keywords ข้อความโฆษณา และ landing page ที่มีประสิทธิภาพในการโฆษณาเว็บไซต์ของเราก่อน
• เมื่อเรามี Keyword และข้อความโฆษณาที่สามารถทำกำไรให้กับเราได้แล้ว ก็ลองนำ Keyword, ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้นไปโฆษณาบน PPC อื่นๆ เช่น Overture.com, Findwhat.com แล้วดูว่ายังสามารถทำกำไรให้เราได้หรือไม่
• ถ้าหากเราสามารถทำกำไรได้จาก Keyword , ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้น เราก็ค่อยทำ SEO เว็บไซต์ของเรา โดยการใช้ Keyword , ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้น โดยเราควรจะเลือกทำ SEO กับ Keyword ที่ทำกำไรให้กับเรามากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
ดังนั้นจะเห็นว่า Google Adwords นั้นจะช่วยให้ประโยชน์ในการทำ SEO โดยจะทำให้เราสามารถค้นหา Keywords, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่มีความสัมพันธ์กัน ได้โดง่ายและรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อนครับ / บทความวิธีหาเงินจาก google adsense
นอกจากนั้นการทำ SEO ด้วยวิธีนี้ ยังจะทำให้เราสามารถทำกำไรกลับมาได้สูง เพราะว่า เราเน้นการทำ SEO ในชุด Keyword, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่สามารถทำกำไรกลับมาให้เราได้สูงอยู่แล้ว (เรารู้ตั้งแต่ก่อนทำ SEO แล้ว ด้วยการทดลองบน Google Adwords ถูกไหมครับ)
โดยสรุปแล้ว Google Adwords นั้นสามารถนำมาเป็นสื่อในการทดสอบการทำ SEO ได้นั่นเอง เพราะทำได้ง่ายดายกว่ามาก จนกระทั่งเมื่อไหร่ที่เรามี Keywords, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่คิดว่าดีและทำกำไรได้แล้ว จึงค่อยนำสิ่งเหล่านั้นไปใช้ในการทำ SEO แบบทั่วไปครับ