Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

การค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area)


AEC การค้าเสรีอาเซี่ยน


การเปิดเสรีด้านการค้า 
เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2535 โดยมีการทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2553 นี้ประเทศอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบรูไน จะต้องลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกันให้เหลือ 0% ในรายการ Inclusive List ขณะที่ ประเทศสมาชิกใหม่อีก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า และเวียดนาม ต้องทยอยลดอัตราภาษีศุลกากรจนเหลือ 0% ภายในปี 2558 การเปิดเสรีการค้าของอาเซียนทำให้สินค้าส่งออกหลายรายการของไทยได้เปรียบคู่แข่งในอาเซียนในขณะที่สินค้าบางรายการต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงขึ้น
สินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศแล้วจะได้เปรียบดังนี้
ประเทศอินโดนีเซีย อาทิ ข้าวโพด ผลิตภัณฑ์ ยาง และ เฟอร์นิเจอร์
ประเทศมาเลเซีย อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์
สินค้าที่ไทยต้องปรับตัวสู้
ประเทศอินโดนีเซีย อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผ้าผืน เม็ดพลาสติก
ประเทศฟิลิปปินส์ อาทิ ยางพารา ผ้าผืน
ซึ่งแนวทางในการปรับตัวของสินค้าเกษตร ได้แก่ การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพันธุ์พืช การพัฒนาระบบชลประทานและการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว รวมถึงการแปรรูปวัตถุดิบขั้นต้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอีกด้วย ในส่วนของแนวทางปรับตัวของสินค้าอุตสาหกรรมนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาแข่งขันด้านคุณภาพแทนการแข่งขันด้านราคา โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า สาเหตที่ทำให้สินค้าส่งออกของไทยบางรายการแข่งขันได้ยากนั้น ส่วนนึงเป็นเพราะมีปัญหาในทางปฏิบัติที่เป็นข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง AFTA อาทิ ปัญหาเกี่ยวกับกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า มาตรการทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTMs) การที่บางประเทศยังคงปกป้องผู้ผลิตในประเทศของตน รวมทั้งการที่ผู้ประกอบการของไทยขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อตกลง AFTA เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาทที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้การใช้ประโยชน์จาก AFTA มีมากขึ้น

 http://www.thai-aec.com/32#ixzz20MLGCJ5R

เทคนิคการจำชื่อคนให้แม่น


จำชื่อให้แม่น

6 ขั้นตอนในการจำชื่อคนให้แม่น



คุณมีปัญหาเกี่ยวกับการจำชื่อคนหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ถ้ามี ลองนำเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้ไปลองใช้ดูสิครับ

1. เมื่อแรกพบหน้า ให้คุณมองหาสิ่งที่เป็นลักษณะพิเศษบนใบหน้าของบุคคลนั้น (มองเฉย ๆ อย่างสุภาพนะครับ ไม่ต้องถึงกับลงมือสำรวจ หรือกระทำให้เสียอาการแต่อย่างใด) เช่นไฝ ปาน ขี้แมลงวัน แผลเป็นบนใบหน้า ลักษณะรูปร่างของจมูก หรือรูปร่างของเรียวปาก เมื่อคุณได้พบหน้าคนนี้ครั้งต่อไป ลักษณะพิเศษที่คุณได้จดจำเอาไว้มันจะเด่นออกมาในความรู้สึกคุณ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้จดจำเขาได้

2. เมื่อเขาได้แนะนำชื่อให้คุณรู้จัก ต้องตั้งใจฟังชื่อเอาไว้ให้ดี

3. เมื่อได้ยินชื่อแล้ว ให้แปลชื่อนั้นไปเป็นภาพในหัวของคุณ เช่นถ้าคนนั้นชื่อคุณธนชาติ คุณอาจจะคิดภาพของธนบัตรที่เป็นรูปธงชาติ หรือชื่อสมบัติ ก็ให้นึกถึงหีบสมบัติที่มีทรัพย์สินเงินทองล้นออกมามากมาย (วาดภาพให้เวอร์ๆ ไว้ครับ แล้วจะทำให้คุณจำได้แม่น) ลูกน้องผมคนนึงชื่อ Barry ผมก็นึกถึงข้าว Barley ซึ่งออกเสียงคล้ายๆ กัน

4. ขั้นตอนต่อไปให้กล่าวทักทายด้วยการเอ่ยชื่อคนนั้น แทนที่จะกล่าวว่าสวัสดีหรือยินดีที่ได้รู้จัก เฉยๆ เช่นเมื่อเขาแนะนำว่าเขาชื่อสมชาย ให้คุณกล่าวทันทีว่า "สวัสดีครับคุณสมชาย" หรือ "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณสมชาย"

5. ในขณะที่คุณได้กล่าวชื่อของเขาอยู่นั้นก็ให้นึกถึงภาพในใจที่คุณสร้างขึ้นมาหรือนึกถึงลักษณะพิเศษบนใบหน้าของผู้นั้น

6. ตลอดระยะเวลาที่คุณพบบุคคลนั้นให้หมั่นทบทวนในใจถึงชื่อของเขาและภาพเชื่อมโยงที่ท่านสร้างขึ้นมา

รับรองครับว่าถ้าท่านนำวิธีนี้ไปใช้่ท่านจะจำชื่อคนได้แม่นขึ้นกว่าเดิมแน่นอน แล้วพบกันใหม่ครับ



ความหมายของ "ความจำ" เป็นคำที่ใช้อธิบายวิธีการที่ข้อมูล หรือสิ่งที่เรียนรู้ถูกบันทึก และเก็บไว้ถาวรในความจำระยะยาวและสามารถที่จะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้ ความรู้ที่นักเรียนเรียนรู้แล้วแต่จำไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์ นักเรียนส่วนมากจะไม่มีวิธีการเรียนและวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพ วิธีทั่วๆไป
ที่นักเรียนใช้อยู่เสมอ เช่น การอ่านทบทวนการสรุปและการขีดเส้นใต้ใจความสำคัญนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยความจำ ความจริงแล้วมนุษย์เราได้ค้นพบวิธีช่วยความจำ (Memonic Device) ที่ได้ผลดีมากมานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว เยสท์ ลูเรีย ฮันท์ และเลิฟ (Yates, 1966 Luria, 1968 Hunt and Love, 1972) พบว่า การสอนเทคนิคในการช่วยความจำให้แก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้เก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้ในความทรงจำได้นาน ๆ
เทคนิคช่วยความจำที่ใช้กันอยู่มีทั้งหมด 6 วิธี คือ
(1) การสร้างเสียงสัมผัส
(2) การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ
(3) การสร้างประโยคที่มีความหมายจากอักษรตัวแรกของกลุ่มของที่จะจำ
(4) วิธี Pegword
(5) วิธีโลไซ (Loce)
(6) วิธี Keyword ซึ่งเป็นวิธีที่ใหม่ที่สุด

เทคนิคการเรียกเงินเดือนในการสมัครงาน

เทคนิคการสมัครงาน



เทคนิคการหางานทำ – ควรเรียกเงินเดือนเท่าไหร่?


คำถามนี้  คงเป็นที่คาใจของหลายคน  โดยเฉพาะบัณฑิต

ใหม่ๆ   เมื่อคุณยังไม่เคยทำงานมาก่อน  ไม่แปลกหรอกที่

คุณไม่รู้เกี่ยวกับตัวเลขพวกนี้  แต่บางคนคงพอรู้มาบ้าง

จากรุ่นพี่  ญาติ  เพื่อน  หรือบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาแนะนำใน

มหาวิทยาลัย

ฉันเชื่อ  การที่คุณตัดสินใจสมัครงานสักงานหนึ่ง  คุณน่า

จะมีประมาณการตัวเลขนี้ไว้ในใจแล้ว
  เพราะในสาย

วิชาชีพที่คุณจบมา  มักมีการพูดถึงตัวเลขเหล่านี้อยู่เสมอ

เช่น  รุ่นพี่คนนี้จบสังคมสงเคราะห์  ไปทำงานเลขานุการ

กรรมการผู้จัดการ  บริษัทเอบีได้เงินเดือน 10,000.-บาท

หรือรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง  จบหนังสือพิมพ์  ไปทำงานนักข่าว

สายการเมืองกับหนังสือพิมพ์กขได้เงินเดือน  15,000.-

บาทเป็นต้น

สาเหตุการสะอึก

สะอึกเกิดจากอะไร



สะอึก (hiccup) เกิดจากกะบังลมทำงานไม่เป็นปกติ กะบังลมกั้นอยู่ระหว่างช่องท้องกับช่องอก ทำงานโดยยืดและหดในจังหวะสม่ำเสมอเพื่อช่วยในการหายใจ สาเหตุของการสะอึกอาจเกิดจากมีอะไรไปรบกวนประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ

สาเหตุเหล่านี้ทำให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง เมื่อกะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอย อากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียงสั่นสะเทือน จึงเกิดเป็นเสียงสะอึก

อาการสะอึกอาจเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ และหายไปได้เอง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีไปจนถึง 2-3 นาที ซึ่งพบได้บ่อยๆ แต่หากสะอึกอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ หรือสะอึกในขณะนอนหลับ อาจต้องหาสาเหตุว่ามาจากโรคของอวัยวะต่างๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น โรคเกี่ยวกับอวัยวะในช่องท้อง ในช่องปอด ในระบบสมองและประสาทส่วนกลาง เป็นต้น

คนส่วนใหญ่มักจะสะอึกหลังจากการรับประทานอาหารมากเกินไปหรือเร็วเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ทำให้มีก๊าซมาก บางคนอาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่มากเกินไป บางคนที่มีความตึงเครียดมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุของการสะอึกได้

เทคนิคหยุดอาการสะอึกมีหลายวิธี การศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา พบว่า การกลืนน้ำตาลทรายเปล่าๆ 1 ช้อนโต๊ะ สามารถแก้อาการสะอึกได้ถึง 19 คน จากจำนวน 20 คน

นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆ อีกหลายวิธี ได้แก่
- สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลั้นหายใจไว้สักพัก
- หายใจในถุงกระดาษ
- กลืนน้ำแข็งบดละเอียด
- เคี้ยวขนมปังแห้ง
- บีบมะนาวให้ได้สัก 1 ช้อนชา แล้วจิบแก้สะอึก
- ก้มตัวดื่มน้ำจากขอบแก้วด้านตรงข้ามหรือด้านที่ไกลจากริมฝีปาก
- จิบน้ำจากแก้วเร็วๆ หลายๆ อึก ติดๆ กัน
- ใช้นิ้วมืออุดหูประมาณ 20-30 วินาที
- อุดหูไปด้วย แล้วดูดน้ำจากหลอดไปด้วย
- แหงนหน้า กลั้นหายใจ นับ 1-10 จากนั้นหายใจออกทันที แล้วดื่มน้ำหนึ่งแก้ว
- ใช้นิ้วคีบลิ้นแล้วดึงออกมาเบาๆ หรือแลบลิ้นออกมายาวๆ
- กดจุด โดยออกแรงบีบเนินใต้นิ้วโป้งของมืออีกข้างหนึ่ง หรือกดบริเวณร่องเหนือริมฝีปาก
- นวดเพดานปาก
- ทำให้ตกใจ เช่น ตบหลังแรงๆ โดยไม่ให้รู้ตัวก่อน
- ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบา ๆ ให้เรอ

ที่มา : http://www.manager.co.th

สาเหตุอาการบวมน้ำเกิดจาก


อาการบวมน้ำเกิดจากอะไรกัน

 อาการบวมน้ำ เกิดขึ้นเมื่อของเหลวที่ควรเดินทางผ่านหลอดเลือดและน้ำเหลืองกลับซึมออกมาสู่เซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ สาเหตุที่พบบ่อยคือ บริโภคเกลือมากเกินไป การสวมถุงเท้าที่ยาวถึงเข่าและรัดแน่นด้านบน การยืนนานๆ และการนั่งห้อยขา ก็ทำให้ข้อเท้าบวมได้ ส่วนอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน เกิดจากระดับฮอร์โมนแปรปรวนซึ่งมีผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง สาเหตุอื่นคือ เกิดจากโรคตับ โรคไต หรือภาวะหัวใจล้มเหลว

   การรักษา การรักษาอาการบวมน้ำนั้นต้องดูที่สาเหตุ บางครั้งแพทย์ก็ใช้ยาขับปัสสาวะรักษาอาการบวมน้ำเพื่อให้ร่างกายขับน้ำส่วนเกินออกมา แต่บางครั้งยานี้ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแร่ธาตุที่ควบคุมให้หัวใจเต้นเป็นปกติ แม้ว่าบางกรณียังจำเป็นต้องใช้ยาขับปัสสาวะอยู่ แต่มีอีกหลากหลายวิธีที่คุณทำเองได้ เช่น ปรับปรุงอาหารการกิน ดื่มชาสมุนไพร และเดินออกกำลังกายสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง ก็แก้ปัญหาได้แล้ว
อาการบวมน้ำเป็นอาการข้างเคียงชนิดหนึ่งจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นส่วนประกอบในยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งพบได้เป็นเรื่องปกติ ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ในยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีปริมาณแตกต่างกัน ปัจจุบันมีปริมาณ 20, 30, 35 ไมโครกรัม เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศรีษะ, ตึงคัดเต้านม, เป็นฝ้า, น้ำหนักเพิ่ม
  แต่ก็ยังจะพบอาการข้างเคียงได้บ้างใน 2-3 เดือนแรกของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แล้วอาการดังกล่าวจะหายไปได้เอง ทั้งนี้หากมีอาการมากหรือไม่หายภายใน 2-3 เดือน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรต่อไป  แนะนำให้คุณปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร พร้อมกับแจ้งชื่อยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่คุณทานอยู่ด้วยนะคะ และทานมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว เพื่อแพทย์หรือเภสัชกรจะได้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะสมให้คุณได้ที
ที่มา เภสัชกร  มัยมุน หะลี
http://thaihealthfit.exteen.com/20120226/entry