Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

95 นำสู้ความสำเร็จการประกอบธุรกิจ

95 นำสู้ความสำเร็จการประกอบธุรกิจ

กฎ 1-95 ข้อง่าย ๆ ในการเปิดธุรกิจ ผมขอนำมารีรันนะครับ

          1. คุณจะต้องขายสิ่งที่ตลาดต้องการไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะขาย

          2. ต้องเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัด

          3. สิ่งที่จะทำ ต้องขายส่งได้ด้วย เพราะขายปลีกมันไม่รวย แล้วมันกระจายจุดไม่ได้ ถ้าของเราขายส่งได้ มันสามารถไปอยู่ได้ทุกมุมโลก

          4. ของที่เราขายส่งได้ ในระยะยาว เราต้องเป็นผู้ผลิตเองได้
          5. สิ่งที่เราขาย ต้องไม่ใช่สิ่งที่เหมือน ๆ กันแล้วแข่งเพียงแต่ราคา เช่น ไข่ไก่ แต่เสื้อยืดคุณขายดีไซน์ไอเดียได้
          6. สิ่งที่คุณจะขาย ต้องมีจุดแข็ง ที่ไม่ใช่คำว่า ราคา คุณภาพ บริการ แต่มันต้องลึกกว่านั้น

          7. คุณต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าคุณ ทำไมเขาต้องไม่ไปซื้อคู่แข่ง

          8. คุณต้องรูว่า กลุ่มเป้าหมายคุณคือใคร แล้วทำเลนั่นมีกลุ่มเป้าหมายคุณไหม

          9. คุณจะเป็นใครในตลาด รวม ๆ หมายถึง คุณจะขาย สินค้าระดับไหน ราคาระดับไหน ภาพลักษณ์คุณระดับไหน

          10. ร้านอาหาร ข้าวมันไก่เหมือน ๆ กันแต่ทำไมร้านนี้คนเต็ม อีกร้านไม่มีลูกค้า เวลาคุณเดินผ่าน คุณจะเลือกเข้าร้านที่คนเยอะ แม้คุณจะไม่เคยกิน แต่คุณจะคิดว่าร้านนี้ต้องอร่อยคนจึงเต็ม คุณจะทำยังไงให้ร้านคุณลูกค้าผ่านครั้งแรกแล้วอยากเข้า

          11. คุณต้องสร้างระบบ ที่ระบบนั้นไม่ได้ยึดตัวคุณ แต่ดำเนินการด้วยตัวมันเอง คุณเพียงเป็นคนตรวจคุมระบบ

          12. อะไรจะเป็นจุดแข็งของคุณ เมื่อมีคนอื่นมาเป็นคู่แข่ง หรือมีคนมาก๊อปปี้ คุณจะทำยังไง คุณต้องมีจุดแข็งตรงนั้น เพราะธุรกิจเป็นระบบเสรี
         

          13. การลดต้นทุน คือกำไรอัตโนมัติ คุณขายได้ 1,000 หน่วย ลดต้นทุนได้ 2 บาท เท่ากับว่าคุณกำไรตั้งแต่ยังไม่ขาย 2,000 แล้ว
          14. พนักงานคือสิ่งที่สำคัญ ถ้ายิ่งพนักงานอยู่นานเท่าไร เท่ากับประสบการณ์ยิ่งมาก สามารถจบลูกค้าได้ง่าย คุณจะทำยังไงให้พนักงานอยู่นานที่สุด

          15. คุณจงคำนวณยอดขายต่ำสุดในช่วงโลว์ซีซั่น แล้วหาจุดคุ้มทุน ถ้าช่วงโลว์สุดยังกำไร ก็ตัดจุดเจ๊งได้เลย

          16. คุณจะต้องสำรวจตลาดเสมอ เพราะการตลาด เพียงแค่คุณหยุด คู่แข่งก็ก้าวล้ำคุณไปแล้ว ถ้าคู่แข่งคุณหยุด แล้วคุณพัฒนา คุณก้าวล้ำ 2 ก้าว
         

          17. ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ ในช่วงโลว์ทุกคนหยุดกิจกรรมเสมอ เพียงคุณกระตุ้นแผนการตลาด ลูกค้าก็รับรู้ง่าย
          18. ในช่วงตลาดโลว์ ลูกค้าเดิม ๆ จะขายไม่ดี จะเริ่มหาเจ้าใหม่ นั่นคือโอกาสของเราเสมอในตลาดโลว์
         

          19. จงแยกแยะลูกค้าชั้นดี ชั้นกลาง ชั้นแย่ เพราะลูกค้าทุกคน สัดส่วนซื้อไม่เท่ากัน ตามกฎ 20/80 คือ ลูกค้าสัดส่วน 20% แต่เป็นกำไรของร้าน 80%
          20. เมื่อคู่แข่งแข่งราคา คุณจงอย่าแข่งราคาจนไม่มีกำไร เพราะธุรกิจต้องการกำไร
         

          21. วันที่คุณขายไม่ดี อย่าโทษตลาด เพราะในวันนั้นก็มีคู่แข่งคุณที่ขายดี
         

          22. เวลาคุณขายไม่ดีอย่าเพียงแต่โทษตลาด เศรษฐกิจไม่ดี ฝนตก แต่หันมาดูตัวเราเองแล้วถามว่า เราทำสินค้าตรงตามความต้องการลูกค้าไหม ราคาเราสมเหตุสมผลไหม บริการเราดีไหม
         

          23. อัตราขายส่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะเมื่อเรามีลูกค้าขายส่ง เท่ากับว่าเรามีหน้าร้านเพิ่มอัตโนมัติ โดยที่เราไม่มีค่าเช่า
          24. ลูกค้าส่งยิ่งมีมาก สินค้าเราจะไม่เคยค้างสต๊อก เช่น เราผลิตต่อแบบ 50 หน่วย มีลูกค้าส่ง 50 เจ้า ลูกค้ารับไปเจ้าละ 1 ตัว เขาจะไม่รู้หรอกว่าแบบนั้นขายไม่ดี

          25. ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไร ความคิดตัน คุณแค่เพียงก้าวเท้าออกไปจากร้าน แล้วไปในแหล่งที่ขายของแบบเดียวกับคุณ คุณอาจได้ไอเดียกลับมา

          26. ปัญหาร้อยแปดพันเก้า คุณจะบอกไม่รู้จะขายอะไร วิธีง่ายสุดคือ ก๊อปปี้ไง คุณไปลอกเลียนแบบร้านค้าที่ขายดีแล้วคุณพอจะทำได้ในเบื้องต้น แล้วลงมือดู (แต่คิดเยอะ ๆ ก่อนทำ)

          27. ก่อนจะทำธุรกิจอย่าไปลองผิดลองถูก คิดว่าเปิด ๆ ไป ขาย ๆ ไปเดี๋ยวก็มีคนมาซื้อ คุณวางแผนก่อนดีไหมว่าจะขายอะไร หาเหตุผลที่ลูกค้าจะซื้อ เพราะเงินลงทุนมีจำกัด

          28. ถ้าคุณจะก็อบปี้ มันก็เป็นทางลัด แต่ไปเปิดไกล ๆ นะ เพราะอาจโดน Teen คนเขียนเคยโดนมาแล้ว

          30. คุณจงรับรู้ไว้ว่า ลูกค้าที่มาซื้อคุณ ไม่ใช่เพราะสินค้าคุณดีสุด ถูกสุด แต่เป็นเพราะตลาดมันไม่สมบูรณ์ด้านข้อมูล

          31. ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าที่ถูกสุด แพงสุด หรือดีสุด แต่เค้าซื้อที่เขาต้องการใช้ แล้วราคามันสมกับมูลค่าที่เขาคิดว่าจะได้รับ

          32. ลูกค้าประจำที่มาซื้อคุณ เขาคือ LOYALTY CUSTOMER คุณจงดูแลเค้าให้ดี เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ แพงกว่า 5 เท่าในการดูแลลูกค้าเก่า

          33. คุณจงทำสินค้าที่ตอบสนองลูกค้าส่วนรวม เพราะเมื่อคุณตอบสนองลูกค้าเพียงคนเดียวเมื่อไร คุณจะเสียความเป็นส่วนรวมในตลาด ถ้าสินค้าคุณไม่ใช่สินค้าเฉพาะกลุ่ม

          34. ถ้าคุณคิดว่าสินค้าคุณขายดีแล้ว แล้วคุณก็ผลิตแต่สินค้าเดิม ๆ คุณเตรียมตัวตายได้เลย ถ้าสินค้าคุณเป็นแฟชั่น

          35. ถ้าสินค้าคุณขายดีในช่วงไฮ คุณจงคิดให้น้อย แต่ทำให้มาก แต่ถ้าคุณขายไม่ดีในช่วงโลว์คุณจงคิดให้มาก แต่ทำให้น้อย

          36. กลยุทธ์อาจใช้ได้ดีในช่วงไฮซีซั่น แต่อาจแย่ในช่วงโลว์ซีซั่น เพราะสินค้ามันมีวัฏจักร

          37. ถ้าคุณจะขยายสาขา จงมั่นใจว่าสาขา 1 คุณใช้เต็มประสิทธิภาพ จงอย่าคิดแต่เพียงฉันอยากจะเปิด

          38. ถ้าคุณจะเปิดสาขา จงใช้พลังของสาขา เพราะมันไม่ใช่ 1+1 แต่มันเป็น 3
         

          39. ถ้าคู่แข่งคุณมาใหม่แล้วทำให้ยอดขายคุณตก คุณต้องรีบโจมตี ถ้าปล่อยไว้ระยะยาว คุณจะเสียอำนาจการแข่งขันในระยะยาว (แต่ขอให้โจมตีทางด้านการตลาด)
          40. ถ้ายอดขายคุณตก คุณพึงสังวรไว้เลย ตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว
 
          41. คุณต้องมีสายตาในการประเมิน คู่แข่งมี 3 แบบ คือ

        - คู่แข่งโดยตรงในตลาดเดียวกัน
        - คู่แข่งโดยตรงในตลาดต่างกัน
        - คู่แข่งไม่โดยตรง แต่กินเงินจากกระเป๋าลูกค้าเดียวกัน

          42. ลูกค้าคุณคือเครื่องยืนยันดีที่สุด ว่าเขาซื้อคุณเพราะอะไร มีปากจงถาม ถาม ถาม เป็นวิธีประเมินตัวเองดีที่สุด

          43. วิธีจะหาจุดอ่อนคู่แข่ง คุณก็ลองทำตัวเป็นลูกค้าโง่ ๆ ไปลองซื้อสินค้าเขา แล้วอะไรที่เขาทำไม่ได้ คุณก็เอากลับมาเป็นจุดแข็ง

          44. ถ้าคุณจะขยายสาขา ขอให้มั่นใจว่าคุณจะดูแลมันทั่วถึง มิใช่ปล่อยให้ร้านค้านั้นกัดกินกำไรจากสาขาแม่ แล้วเป็นสาขาซากปรักหักพัง

          45. สินค้าที่จะทำเงิน คือสินค้าที่อยู่ในกระแส ที่คุณเป็นผู้นำแฟชั่น จับทางให้ถูก ให้ไว แล้วตีให้ร้อน

          46. ถ้าคุณขายสินค้าไม่ออก อย่าไปโทษลูกค้า แต่คุณจงแน่ใจว่าของที่คุณขายมีคนใช้จริงเหรอ จงรีบพัฒนาโดยเร็ว หรือโยนมันทิ้ง แล้วหาสินค้าที่มันใช่ดีกว่า

          47. คุณอย่าริอาจผลิตสินค้า จนกว่าคุณจะมีลูกค้า เพราะคุณผลิตมาอาจทิ้งยกล็อต จงหาลูกค้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยผลิต

           48. อย่าริขายส่งเลย ถ้ายังขายปลีกไม่ได้ เพราะลูกค้าส่งก็คงเอาของคุณไปดอง เพราะคุณยังขายปลีกไม่ได้ คุณต้องพิสูจน์สินค้าตัวเองขายดีก่อน จะให้คนอื่นไปขายแทน

          49. ถ้าคุณจะขายส่ง คุณต้องคิดปัญหาแทนลูกค้าส่ง ว่าจะเจอปัญหาอะไร แล้วคุณจะผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ในตลาดให้ลูกค้าแทน ลูกค้าส่งมีหน้าที่ขาย คุณมีหน้าที่ผลิตของที่ตลาดยอมรับ

          50. กำไรคำนวณให้เป็น บางคนขาย 100 ต้นทุนสินค้า 40 ค่าเช่า 20 ค่าเด็ก 10 กำไร 30 คิดไปคิดมาก็กำไร แต่สุดท้ายเงินไม่เหลือในธนาคาร กำไรแบบนี้สิมายา เงินที่อยู่ในธนาคารคือกำไร (ต้นทุนแฝงมีมากกว่าที่เราเห็น)

          51. ไม่มีใครเจ๊งจากการทำธุรกิจที่ไม่ได้ไปกู้มาหรอก แต่ที่เขาปิดกิจการ เพราะเขาไม่เห็นอนาคตมากกว่า เพราะก็ยังเห็นกินฟูจิกันอยู่

          52. ธุรกิจคุณจะอยู่รอดได้ เพราะระบบวัตถุดิบ ระบบผลิต ระบบขนส่ง ระบบขาย คุณจงจ่ายในอัตราที่อยู่ร่วมกันได้ เพราะถ้าคุณรวยคนเดียว คนอื่นจน สักวันคุณจะไม่เหลือระบบ แต่เมื่อคุณจ่าย คุณก็รับให้เต็มที่ ระบบมันจะแข็งแกร่ง GIVE & TAKE

          53. ถ้าคุณขายเอง ไม่ปล่อย ไม่ไว้ใจใคร คุณก็ขายเองไปจนตาย

          54. ถ้าคุณคือสมองของระบบ จงอย่าเอาตัวลงไปขาย เพราะคุณจะไม่เห็นภาพกว้าง คุณไม่ได้จำเป็นต้องขายเก่ง แต่คุณมีพนักงานขาย คุณต้องรู้รายละเอียด

          55. ถ้าคุณปล่อยร้านค้าไม่สนใจ อย่าอ้างว่าคุณคือเจ้าของ แล้วไม่ต้องเข้าร้าน แต่เวลาที่คุณไม่อยู่ร้านคุณขอให้แน่ใจว่า คุณยังดูภาพรวมตลาดอยู่

          56. ถ้าสินค้าคุณเป็นธุรกิจ no barrier of entry คือ คู่แข่งเข้ามาง่าย คุณจงคำนวณเวลาตายของธุรกิจไว้ด้วย เพราะคุณจะได้ไม่ประมาท หรือมองธุรกิจที่ 2

          57. คุณอย่าตัดสินใจเลือกทำเลที่ราคาเพียงอย่างเดียว เพราะราคาถูกคุณอาจขายของให้ผี แต่ถ้าค่าเช่าแพง ถ้ามันอยู่ในทำเลที่ดีขายแล้วมีกำไรพอใจ ก็เช่าไปเหอะ
         

          58. ก่อนจะเลือกทำเล คุณจงใช้เวลาไปเดินที่นั่น 7 ครั้ง ดีกว่าจะมาอยู่เสียค่าเช่าฟรี ๆ 1 ปี
          59. ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเปิดร้านแล้วขายของที่ต้องตามแฟชั่น หรือคุณต้องไปเลือกของเอง หรือจับจ่ายของทุกวัน เช่น ขายอาหาร ขอให้มั่นใจคุณต้องชอบนะ เพราะโคตรเหนื่อย
          60. ถ้านโยบายคุณจะขายปลีก-ขายส่ง ขอให้แน่ชัดกับทำเล เพราะถ้าคุณจะขายปลีกแล้วไปเปิดใน โบ๊เบ๊ สำเพ็ง คุณก็เตรียมตัวตาย จงรู้ตัวก่อนว่าจะขายที่ไหนที่เหมาะกับคุณ

          61. ราคาใครคิดว่าไม่สำคัญ งั้นจะมีราคา 1 ตัว ส่ง 3 ตัว มีป้าย SALE SALE ราคาโคตรมีผลกับการตัดสินใจซื้อ ดังนั้นอย่าตั้งมั่ว ๆ แต่ขอให้มีเหตุผลว่าราคานี้ใครซื้อ และทำไมต้องราคานี้เพราะงั้นคุณคงได้ขายกันเองแน่ ๆ

          62. ราคา 99 199 299 มันมีประสิทธิภาพนะ ลองเข้าร้าน KFC สิ

          63. อย่าใช้นโยบาย sale พร่ำเพรื่อ เพราะเมื่อคุณไม่ลด ลูกค้าอาจไม่ซื้อคุณเลย ขอให้ทุกครั้งที่เซล จุดประสงค์เพื่อโละสินค้าตกรุ่น หรือเพื่อเพิ่มยอดขาย หรือโจมตีคู่แข่ง หรือ..??? เพราะผมซื้อ S&P แค่วันพุธ

           64. คุณอย่าไปกังวลกับคู่แข่งที่ขายโดยใช้แต่กลยุทธ์ราคา เพราะลูกค้ามีหลายระดับ ถ้าคุณไปยึดมาก คุณจะลดเกรด คุณภาพ ภาพลักษณ์ตัวเอง จนไม่มีค่า แต่ขอให้มั่นใจว่าสินค้าคุณ ราคากับมูลค่าสอดคล้องกัน

          65. สินค้าที่คุณขาย จงมีทางเลือกให้ลูกค้า ถ้าคุณอยากได้ยอดขายเพิ่ม หรือจบการขายได้ คุณเคยเห็นคนขายน้ำปั่นรสเดียวไหม หรือร้านอาหารตามสั่งมีเมนูเดียว ยกเว้นคุณจะชำนาญแบบข้าวมันไก่ประตูน้ำ
         

          66. คุณเคยโทษดวงไหม ทำไมร้านนั้นคนเข้าเยอะ ร้านนี้คนเข้าน้อย ดวงมีส่วนนะ แต่ผมว่าสินค้า การตกแต่ง ราคา มีผลมากกว่าดวง
          67. ถ้าคุณจ้างพนักงานขาย จงมั่นใจว่าคุณจ้างพนักงานขาย ไม่ใช่พนักงานไล่แขก

           68. ถ้ามีลูกค้าเข้ามาพร้อมกัน ไม่มีทางที่คุณจะดูแลจบการขายลูกค้าได้พร้อมกัน จงประเมินความน่าจะเป็น งั้นคุณอาจคนเต็มร้านแต่เดินออกหมด (เห็นลูกค้าแขก ให้สนใจลูกค้าสิงคโปร์)

          69. ถ้าลูกค้ายังไม่เข้ามาเหยียบในพื้นที่ร้าน ลูกค้ามีสิทธิ์จะจากไป จงปล่อยให้เขาเข้ามาก่อน เพราะเขาสนใจจึงเดินเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วก็อย่าปล่อยออกไป เพราะเมื่อเขาเดินออกไป แสดงว่าเงินส่วนนั้นอาจตกไปเป็นของคู่แข่งแล้ว
         

          70. ถ้าคุณจะอยากจะขยายยอดขาย ก็มี 4 วิธีในการเพิ่มสินค้า เช่น ขายเสื้อยืดผู้ชาย
        - แนวนอน ก็ขายเสื้อยืดคอกลม คอวี สกรีนลาย เสื้อพื้นแขนสั้น แขนยาว (วัตถุดิบตัวเดียวกัน)
        - แนวตั้ง เพิ่มเสื้อโปโล ชาย แจ็คเก็ต เสื้อฮู้ด (เพิ่ม ผลิตลาย ทางเลือก)
        - แนวเมทริก เช่น ขายหมวก ขายรองเท้า ขายแว่นตา กางเกง (เพิ่มส่วนประกอบเกี่ยวเนื่อง)
        - แนวหลากหลาย เช่น ขายอะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเดิมเลย เช่น ขาย ชุดราตรี ชุดว่ายน้ำ

          71. ถ้าอ่านมาถึงข้อนี้ จะบอกว่า ข้อ 29 ไม่มี

          72. คุณกลับไปหาข้อที่ 29

          73. ถ้าคุณขายในแหล่งท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่คุณพูดหนี่ฮาว จ๋ายเจี้ยน เซียเซี่ย คนจีนก็ซื้อคุณละ

          74. ถ้าคุณคิดว่าจะเปิดร้านอย่าไปคิดหาสินค้า นวัตกรรมใหม่ ๆ เลย ถ้าคุณไม่ใช่ สตีฟ จ๊อบส์ คุณแค่เพียงหาช่องว่างในสินค้าเดิม ๆ แค่นี้ก็ทำเงินละเพราะไม่มีร้านไหนสมบูรณ์แบบ ร้านใหญ่ไม่สนใจ ลูกค้ารายย่อย ร้านค้าใหญ่ ๆ มักบริการช้า ไม่ดูแลบริการ

          75. ถ้าคุณหาช่องว่างไม่เจอ ก็แค่วันไหนคุณหาซื้อสินค้าหรือบริการนั้นไม่ตอบสนองความต้องการคุณ นั่นล่ะช่องว่าง

          76. ถ้ากลัวเปิดแล้วเจ๊ง ลองหาเพื่อนร่วมธุรกิจ เพราะความรู้ของแต่ละคนอาจหลากหลาย รวมถึงเงินทุน

          77. ถ้าธุรกิจที่คุณเปิดร่วมลงทุน ถ้าขยายเติบโต จงแตกมันซะ ก่อนที่จะมาแตกแยก ส่วนใหญ่ช่วงแรก ๆ ขาดทุน ก็ยอม ๆ กันไป พอมีกำไร ผลประโยชน์มักไม่ลงตัว ดังคำที่ว่า โตแล้วแตก แต่ถ้าใครไม่แตก ก็ทำต่อไป

          78. ถ้าคุณมีเป้ายอดขาย คุณอย่าพยายามได้ลด แต่จงพยายามหาวิธีที่จะได้ถึงเป้าหลาย ๆ ทาง เพราะไม่งั้นยอดขายคุณจะลดลงเรื่อย ๆ

          79. ว่าง ๆ หาหนังสือธุรกิจ การบริหาร การตลาดมาอ่านบ้าง มันจะเปิดมุมมองคุน เช่น RICH DAD POOR DAD รับรอง นารูโตะไม่มีสอน

          80. ธุรกิจที่ดีคุณต้องทำบันทึกยอดขาย รายวัน รายเดือน รายไตสมาส รายปี เทียบเดือนต่อเดือน ปีต่อปี งั้นคุณจะไม่รู้แนวโน้มตัวเอง

          81. สินค้ารอบตัวคุณ มันมีแผนการตลาดซ่อนอยู่หมดนั้นล่ะ เมื่อคุณซื้อหรือใช้บริการสินค้า คุณก็โดนมิสเตอร์การตลาดจัดการแล้ว ดังนั้นสินค้าที่คุณขาย จงใช้ตัวช่วยให้มันขายง่ายขึ้น โดยมิสเตอร์การตลาด

          82. ก่อนที่คุณคิดจะหาวิธีเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาด คุณขายของให้ได้ก่อนดีไหม มีเงินเข้าดีกว่าเงินออกโดยที่ไม่มีรายได้ คือพยายามขายของโดยใช้ต้นทุนให้น้อยสุด

          83. ทำไมเฟรนช์ฟราย KFC เล็กกว่า เหี่ยวกว่าของ  McDonald's หรือเจ้าของไม่รู้ว่าลูกค้าบ่น เพราะก็เหมือนกับว่าทำไมของบางร้านสวยไม่เท่ากับอีกร้าน หรือแพงกว่าอีกร้านก็ยังขายได้

          84. ทำไมสินค้าบางตัวในห้างถึงขายต่ำกว่าราคาทุน เช่น น้ำตาล น้ำมันพืช เพราะคุณคงไม่ได้ขับรถไปเพียงแค่ซื้อน้ำตาล ดังนั้นราคาสินค้าในร้านคุณทำไมบางตัวถึงแพง บางตัวถึงถูก คิดก่อนตั้งราคา ตั้งถูกชีวิตเปลี่ยน

          85. คุณอย่าขายราคาที่กำไรต่อหน่วยเท่ากันหมด เพราะบางทีคนอ้วนก็ยอมจ่ายแพงกว่านะ

          86. พื้นที่ขายต่อร้านค้า แปรผันต่อกำไร ถ้าคุณขายสินค้าชิ้นใหญ่กำไรน้อย คุณก็ต้องใช้พื้นที่ ก็อย่าไปจ่ายค่าเช่าต่อ ตร.ม. ละ 10,000 เลย ถ้าคุณไม่ได้ขายทอง คำนวณพื้นที่ต่อ ตร.ม. ต่อราคาด้วย

          87. ผมขอเตือนถ้าคุณขายดี อย่าให้โดดเด่นมาก เพราะตลาดเสรี ไม่มีใครให้คุณฟันกำไรคนเดียวนาน ๆ หรอก ยกเว้นเณรคำไม่ดังก็ฟันได้

          88. ปัจจัยการตลาด 1 อย่างอาจถูกต้อง แต่ไม่ถูกเวลา หรือต้องใช้การตลาดมากกว่า 2 จงเลือกทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

          89. ขอให้มั่นใจว่าคุณขายที่ประสิทธิภาพของสินค้า มิใช่เปลือกนอก เช่น บรรจุภาพ การตกแต่ง ราคา ของแถม เพราะลูกค้าจะซื้อคุณแค่ครั้งเดียว

          90. นโยบาย เปลี่ยน คืน แลก ขอให้ชัดเจน เพราะคุณอาจเสียลูกค้าไม่ใช่เพราะสินค้า แต่เป็นทะเลาะตบตีกันทีหลัง

          91. ทำไมโรงหนังขายป๊อปคอร์น แพง ๆ แต่คนซื้อ บางทีของคุณในร้านลูกค้าเข้ามาเพราะชอบอันนี้ แต่ก็เบลอ ๆ ซื้อของแพงด้วย เห็นไหมขายแบบไม่เบลอ แต่ลูกค้าเบลอ จงใช้อารมณ์ร่วมของลูกค้า อย่าทำให้ลูกค้าใช้สมอง

          92. ถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่ม ขอให้ได้ปวดหัวเลย เพราะจะถามกันไปมา ซื้อไหม ไอ้คนจะตั้งใจซื้อ ก็เลยไม่ได้ซื้อ สรุปเดินออกกันไปแบบงง ๆ ถ้าจบรายตัวได้ให้รีบจบ งั้นต้องใช้กฎหมู่

          93. ถ้าคุณขายของแล้วเหลือสต็อกทำยังไง ก็ลดราคาเท่าทุน หรือขาดทุน ดังนั้นขอให้รู้เลยคุณไม่มีทางขายของทุกชิ้นได้หมดแน่ ดังนั้นราคาที่ตั้งจงบวกส่วนสำรองตรงนี้ไปด้วย สุดท้ายภาระตกที่ผู้บริโภค

          94. การขายของถูก ผู้ได้รับผลประโยชน์คือลูกค้า ยิ่งขายถูก ลูกค้ายิ่งกำไร ซัพพลายเออร์รวยเอารวยเอา คนผลิตก็ผลิตกันไป สุดท้ายคนขายโดนค่าเช่ากินตาย เจ้าของต้องหา BREAK EVEN POINT เป็นนะ จุดคุ้มทุน ดั่งคำว่าทำให้คนอื่นรวย         


          95. เมื่อเปิดธุรกิจนาน ๆไป ลูกค้าจะเบื่อสินค้าเดิม ๆ ลูกค้าจะบ่นว่ามีของใหม่ไหม พอเราบอกไม่มีลูกค้าก็ไม่ซื้อ พอบอกมีใหม่ลูกค้าบอกไม่ชอบ ก็ไม่ซื้อ สรุปก็ไม่ซื้อ ดังนั้นคุณต้องหา CORE PRODUCT ให้เจอ คือจุดที่ลูกค้ายังไงก็ต้องซื้อ เช่น ร้านข้าวร้านนี้ไม่อร่อยยังมีคนกิน รถเมล์บริการห่วยก็ยังมีคนขึ้น

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
คุณเทียนย้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ตัวอักษรน่ารักแปลกๆสวยงาม,สัญญลักษณ์,อักษร

อักษรพิเศษ เท่ๆ น่ารักๆ เยอะมาก
อักษรพิเศษภาษาจีน
㊀㊁㊂㊃㊄㊅㊆㊇㊈㊉
อักษรพิเศษ สัญลักษณ์ รูปดาว เยอะ
✪✣✤✥✦✧✩✫✬✭✮✯✰✱✲✳❃❂❁❀✿✾✽✼✻✺✹✸✷☣☢☠☭♈➸╬∴☀☆∷﹌
★◎▶☺☻►◄♨◐◑↔↕↘☼♦◊◦♠♣✎✟➹❀✏ஓ☂✖®✲ღ☃❆∆ŠÕ╠╣Őő (;°○°)(>c<)
(づ ̄³ ̄)づ»-(¯`v´¯)-»-─═┳︻∝╬══ ::======>>┈━═☆
┣▇▇▇═─ ⊹⊱⋛⋋⋌⋚⊰⊹ 彡➸❝❞°﹌﹎╱╲☁₪¡Þ✱௫μ
o(‧”’‧)o。◕‿◕。べòべあぃ£❤。◕‿◕。 ✄☪☣☢☠☮☭☮℃©®¼½¾³²

กลยุทธ์การตลาด

การวางแผนกลยุทธ์การตลาดสมัยใหม่

  กลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมทางการตลาด(Marketing Mix)หรือที่เรียกสั้นๆว่า 8P’s 
ซึ่งต้องมีแนวทางความคิดทางการสื่อสารการตลาด(IMC)โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคแบบสมัยใหม่ซึ่งแบ่งส่วนขยายเพิ่มเติมจากเดิมอีก หลายส่วนทั้งงานศึกษาทั้งภายในและภายนอกประเทศเชื่อมโยงสู่การทำธุรกิจสมัย ใหม่ซึ่งเน้นการสร้างผลกำไรสูงสุดบนความพอใจของผู้บริโภคซึ่งเป็นการทำธุรกิจระยะยาว(Long-Term Business) พร้อมกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคสมัยใหม่ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างมากโดย เฉพาะการแบ่งส่วนการตลาด(Segmentation)ซึ่งไม่สามารถแบ่งส่วนการตลาดแบบ เดิมๆได้แล้ว ซึ่งการเอกสารการศึกษาในส่วนแรกเป็นแนวทางทำธุรกิจและก่อให้เกิดพฤตกรรมใน การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  ส่วนที่เอกสารอื่นๆจะช่วยในการวางแผนการตลาด ในธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับการศึกษาใน ครั้งนี้
                          1.แนวคิดทางการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดโดยใช้ 8P’s
       ซึ่งประกอบไปด้วยสว่นผสมทางการตลาด ดังนี้
                                   1.1 กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์  ( Product  Strategy )
                                   1.2กลยุทธ์ราคา ( Price  Strategy )
                                   1.3กลยุทธ์การจัดจำหน่าย  ( Place  Strategy )
                                   1.4กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ( Promotion  Strategy )
                                   1.5กลยุทธ์การบรรจุภัณฑ์  ( Packaging  Strategy )
                                   1.6กลยุทธ์การใช้พนักงานขาย ( Personal  Strategy )
                                   1.7กลยุทธ์การให้ข่าวสาร  ( Public  Relation Strategy )
                                   1.8กลยุทธ์ พลัง   ( Power  Strategy )
       ซึ่งสามารถอธิบายเพื่อให้เข้าใจง่ายๆดังนี้

         กลยุทธ์ ผลิตภัณฑ์
  (Product  Strategy)

กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์นั้น จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดสินใจ เกี่ยวกับ
             1. คุณสมบัติผลิตภัณฑ์  ( Product  attribute )
             2.  ส่วนประสมผลิตภัณฑ์ ( Product  mix )
             3. สายผลิตภัณฑ์ ( Product  lines )
สิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
             1. แนวความคิดด้านผลิตภัณฑ์  ( Product  Concept )
เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค Product ได้ ต้องมีความชัดเจนในตัวผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
             2. คุณสมบัติผลิตภัณฑ์  ( Product  attribute ) จะต้องทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตมาจากอะไร
มีคุณสมบัติอย่างไร ลักษณะทางกายภาพ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ขนาด ความดี ความงาม ความคงทนทานด้านรูปร่าง รูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตัวของมันเอง
             3.ลักษณะเด่นของสินค้า  ( Product  Feature  ) การนำสินค้าของบริษัทไปเปรียบเทียบกับสินค้าของคู่แข่งขันแล้วมีคุณสมบัติ แตกต่างกัน และจะต้องรู้ว่าสินค้าเรามีอะไรเด่นกว่า เช่น ลักษณะเด่นของ Dior คือเป็นผลิตภัณฑ์ชันนำจากปารีส
             4.ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์  ( Product  Benefit )   พิจารณาว่าสินค้ามีลักษณะเด่นอย่างไรบ้าง
และสินค้าให้ประโยชน์อะไรกับลูกค้าบ้าง  ระหว่างการให้สัญญากับลูกค้า กับการพิสูจน์ด้วยลักษณะเด่นของสินค้า
                 ตัวอย่างกลยุทธ์

                 : ขยายวิธีการใช้ใหม่ๆ ของผลิตภัณฑ์เรา เพื่อกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือ กลุ่มผู้ใหญ่ที่ อายุตั้งแต่ 55 ปี ขึ้นไป
                 : ละทิ้งผลิตภัณฑ์ซึ่งบังไม่สามารถทำกำไรนับตั้งแต่เมื่นำผลิตภัณฑ์นั้นๆ สู่ตลาดแล้วเป็นเวลา ปี

            กลยุทธ์ราคา ( Price  Strategy )
เป็นการกำหนดว่าเราจะตั้งราคาแบบใด กลยุทธ์ราคาสูงหรือราคาต่ำ สิ่งที่จะต้องตระหนักคือ
ราคาทีได้กำหนดไว้นั้นเหมาะสมในการแข่งขัน หรือสอดคล้องกับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของสินค้านั้นหรือไม่กลยุทธ์ด้านราคา ( Price strategy )
 ในการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคามีประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาดังนี้
              1.ตั้งราคาตามตลาด ( On going price ) หรือตั้งราคาตามความพอใจ ( Leading price )
                     1.1 ตั้งราคาตามตามตลาด (On going price) เหมาะสำหรับสินค้าที่สร้างความแตกต่างได้ยากจึงไม่สามารถจะตั้งราคาให้แตก ต่างจากตลาดคู่แข่งขันได้ นั่นคือ การตั้งราคาตามคู่แข่งขัน
                     1.2 ตั้งราคาตามความพอใจ  ( Leading price )  เป็นการตั้งราคาตามความพอใจ โดยไม่คำนึงถึงคู่แข่งขัน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างในตราสินค้าสินค้าที่มีเอกลักษณ์ส่วนตัวมีภาพพจน์ที่ดี จะตั้งราคาเท่าไรก็ไม่มีใครเปรียบเทียบ
              2. สินค้าจะออกเป็นแบบราคาสูง ( Premium price )  เมื่อแน่ใจในคุณภาพที่เหนือกว่าและการยอมรับในราคาของลูกค้าหรือราคามาตรฐาน ( Standard ) เมื่อใช้การตั้งราคาโดยพิจารณาจากราคาของคู่แข่งขัน หรือตราสินค้าเพื่อการแข่งขัน ( Fighting brand )  เป็นสินค้าด้อยคุณภาพกว่าคู่แข่งขันเล็กน้อย จะลงตลาดล่าง
              3. การตั้งราคาเท่ากันหมด  ( One pricing ) คือสินค้าหลายอย่างที่มีราคาติดอยู่บนกล่อง หมายถึง ไม่ว่าจะขายอยู่ที่ใดฤดูหนาวหรือฤดูร้อนราคาก็เท่ากันหมด  หรือราคาแตกต่างกัน ( Discriminate price ) ข้อดี คือสามารถเรียกราคาได้หลายราคา แต่ข้อเสียก็คือ เราต้องหาเหตุผลในการตั้งราคาหลายอย่าง เพื่อให้คนยอมรับได้
              4. การขยายสายผลิตภัณฑ์ ( Line extension ) ในกรณีนี้การนำเสนอสินค้าเริ่มต้นด้วยราคาหนึ่ง แล้วมีกลยุทธ์เผยแพร่ความนิยมไปยังตลาดบน หรือตลาดล่าง
              5.  การขยับซื้อสูงขึ้น ( Trading up ) เป็นการปรับราคาสูงขึ้นทำให้ได้กำไรมากขึ้น จึงพยายามขายให้ปริมาณมากขึ้นหรือการขยับซื้อต่ำลง ( Trading down ) เป็นการผลิตสินค้าที่มีราคาแพงให้มีคุณภาพกว่าสินค้าที่ราคาถูกเล็กน้อยแต่ ตั้งราคาสูงกว่า เพื่อให้คนซื้อสิ้นที่รองลงมา
              6. การใช้กลยุทธ์ด้านขนาด ( Size ) คือไม่ทำขนาดเท่ากับผู้ผลิตรายอื่น ๆ
                  ตัวอย่าง กลยุทธ์ 
                  : ตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งร้อยละ 30 เพื่อแสดงภาพลักษณ์ของตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของสินค้าที่อยู่ในระดับสูง
                  : ตั้งราคาต่ำสำหรับช่วงฤดูกาลที่ยอดขายน้อย และตั้งราคาต่ำกว่าผู้นำเล็กน้อยในช่วงฤดูกาลที่ยอดขายดี
             กลยุทธ์ช่องทางการจัด จำหน่าย( Place Strategy )
วิธีการจัดจำหน่าย จะต้องพิจารณาถึง
              1. ช่องทางการจัดจำหน่าย ( Channel of distribution )
เป็นเส้นทางที่สินค้าเคลื่อนย้ายจากผู้ผลิตหรือผู้ขายไปยังผู้บริโภคหรือผู้ ใช้ ซึ่งอาจจะผ่านคนกลางหรือไม่ฝ่ายคนกลางก็ได้

              2. ประเภทของร้านค้า ( Outlets ) ในทุกวันนี้จะพบได้ว่าวิวัฒนาการของการจัดจำหน่ายนั้นเป็นสิ่งที่เจริญเติบ โตรวดเร็วมากประเภทของร้านค้ามีมากมาย จนแทบจะตามไม่ทัน จะขอเรียงลำดับประเภทของร้านค้าจากใหญ่ไปหาเล็ก
               (1) ร้านค้าส่ง  ( Wholesale store ) เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าในปริมาณมาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกลาง
               (2)  ร้านค้าขายของถูก( Discount store )  เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าราคาพิเศษ
               (3)  ร้านห้างสรรพสินค้า( Department store )                            
                         (4)  ซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่เดี่ยว ๆ (Stand alone supermarket)เป็นร้านที่มีทำเลเดี่ยวไม่ติดกับร้านค้าใดๆ
               (5) ช้อปปิ้งชุมชน ( Community mall ) เป็นร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน
               (6) Minimart  จะเห็นได้จากร้านค้าเล็กๆ ตามตึกอาคารสูงๆ ในโรงพยาบาล ซึ่งตั้งฮั่วเส็งเริ่มบุกตลาด Minimart  พอสมควร
               (7)  ร้านค้าสะดวกซื้อ ( Convenience store ) เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค หรือสินค้าสะดวกซื้อ บางร้านจะเปิดบริการ 24 ชั่วโมง
               (8) ร้านค้าในปั๊มน้ำมัน
               (9) ซุ้มขายของ ( Kiosk )  เป็นร้านที่จัดเป็นซุ้มขายของ บางครั้งจัดเป็นบูท
              (10) เครื่องขายอัตโนมัติ ( Vending machine ) เป็นการขายสินค้าผ่านเครื่องจักรอัตโนมัติ
              (11) การขายทางไปษณีย์ ( Mail order )  เป็นการขายสินค้าซึ่งใช้จดหมายส่งไปยังลูกค้า มีการลงในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ถ้าพอใจก็ส่งข้อความสั่งซื้อทางไปรษณีย์
              (12) ขายโดยแคตตาล็อก ( Catalog sales )
              (13) ขายทางโทรทัศน์ ( T.V. Sales )
              (14) ขายตรง ( Direct sales ) การขายโดยใช้พนักงานขายออกเสนอขายตามบ้าน
              (15) ร้านค้าสวัสดิการ เป็นร้านค้าที่ตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกกับพนักงานตามหน่วยงานราชการ ต่างๆ ของบริษัท หรือสำนักงานต่างๆ
              (16) ร้านค้าสหกรณ์ เป็นร้านค้าที่ตั้งอยู่ตามมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ

           3. จำนวนคนกลางในช่องทาง ( Number of intermediaries ) หรือความหนาแน่นของคนกลา
ในช่องทางการจัดจำหน่าย ( Intensity of distribution ) ในการพิจารณาเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายจะมีกระบวนการ ขั้นตอน 
ดัง นี้
               (1) การพิจารณาเลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายว่าเป็นใคร
               (2)พฤติกรรมในการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ซื้อเงินสดหรือเครดิต ต้องจัดส่งหรือไม่ ซื้อบ่อยเพียงใด
               (3) การพิจารณาที่ตั้งของลูกค้าตามสภาพภูมิศาสตร์

           4. การสนับสนุนการกระจายตัวสินค้าเข้าสู่ตลาด ( Market logistics ) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต และตัวสินค้าจากแหล่งปัจจัยการผลิตผ่านโรงงานของผู้ผลิต แล้วกระจายไปยังผู้บริโภค

                    กลยุทธ์ การส่งเสริมการตลาด(Promotion Strategy )

              กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดจะต้อง ประสานกับแผนการตลาดโดยรวมและควรกำหนดแผนการส่งเสริมการตลาดที่เฉพาะเจาะจง
              ตัวอย่างกลยุทธ์
                   : ใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับคู่ค้า เพื่อให้คู่ค้าสนับสนุนตราสินค้าของเรา
                   : ใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดให้เกิดผลสูงสุดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า ของเราในช่วงที่ยอดขายตกต่ำของปี
                              (ค้น หาเพิ่มเติมในบทความหน้าอื่น)

                    กลยุทธ์ การบรรจุภัณฑ์  (Packaging Strategy )
            การตัดสินใจเลือกรูปแบบการบรรจุภัณฑ์และประเภทวัสดุของบรรจุภัณฑ์มักจะใช้ กับสินค้าอุปโภคบริโภคที่พัฒนาใหม่ หรือเมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้าใหม่ กลยุทธ์การบรรจุภัณฑ์ มีหลักในการพิจารณาดังนี้
              1. บรรจุภัณฑ์นั้นเหมาะสมที่จะบรรจุสินค้า ( Put  in ) หรือไม่
              2. สินค้าเมื่อวางบนชั้นแล้วได้เปรียบ (เด่น ) ( Put up ) หรือไม่
              3. สินค้าเมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก ( Put away ) หรือไม่
              4. บรรจุภัณฑ์สวยงาม ( Prettiness ) หรือไม่
              5. สามารถเชิญชวนให้ใช้ ( Pleading ) ได้หรือไม่
              6. บรรจุภัณฑ์สามารถสะท้อนตำแหน่งครองใจของสินค้า ( Positioning ) ได้หรือไม่
              7. บรรจุภัณฑ์สามารถสะท้อนบุคลิกภาพของสินค้า ( Personality ) ได้หรือไม่
              8. บรรจุภัณฑ์สามารถปกป้องสินค้า ( Protection ) ได้หรือไม่
              9. บรรจุภัณฑ์มีความสะดวกต่อการใช้งาน ( Practicality ) หรือไม่
            10. บรรจุภัณฑ์ที่เลือกนั้นสามารถทำกำไรได้มากขึ้น ( Profitability ) ได้หรือไม่
            11. บรรจุภัณฑ์นั้นสามารถนำมาใช้ในการส่งเสริมการตลาด ( Promotion ) ได้หรือไม่
            12. เป็นการบอกถึงวิธีการใช้สินค้า ( Preaching ) ได้หรือไม่
            13. สามารถดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ( Preservation ) ได้หรือไม่

                    ถ้านำสิ่งเหล่านี้มาพิจารณาทั้งหมดจะเห็นไว่าในการออก แบบบรรจุภัณฑ์ของบริษัทจะเป็นโลโก้ ตัวหนังสือ ตัวอักษร การเลือกเป็นกระดาษ เป็นโฟม เป็นฝาจุก หรือเครื่องหมาย สีสันต่างๆ บริษัทก็จะได้บรรจุภัณฑ์ที่ดี
                     ตัวอย่าง กลยุทธ์   
                                :  เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ด้วยสีสันที่สดใสเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นอย่าง ชัดเจน ณ จุดขาย

                          กลยุทธ์ การใช้พนักงานขาย (Personal  Strategy)

           การขายโดยใช้พนักงานขายจัดเป็นรูปแบบการปฏิบัติ ตัวต่อตัวระหว่างกิจการกับลูกค้า ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังคำสั่งซื้อด้วยรูปแบบการขายที่แตกต่างกัน    การขายโดยพนักงานขายนั้นเกี่ยวข้องกับการจ้างพนักงานขาย การจัดการทั่วๆ ไปเกี่ยวกับพนักงานขาย ตลอดจนการบริหารสินค้าคงคลัง     การเตรียมการเสนอขายและการบริการหลังการขาย ในการพัฒนาแผนกการขายนั้น กิจการจะเริ่มตั้งแต่การตั้งวัตถุประสงค์และปฏิบัติการ ซึ่งต้องมีความชัดเจนและสอดคล้องกับประเภทของธุรกิจ โดยอาจเป็นธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจการบริการ หรือธุรกิจการผลิต จากนั้นจึงกำหนดกลยุทธ์การขายและการดำเนินงาน การขายโดยใช้พนักงานขายนั้นหวังผลลัพธ์เพื่อเพิ่มยอดขายและขณะเดียวกันก็ เพื่อสร้างสัมพันธ์ภาพระยะยาวกับลูกค้าอีกด้วย 
          นอกจากนี้การขายโดยใช้ พนักงานขายนั้น ยังมีการใช้โบว์ชัวร์ เอกสาร ใบปลิว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยในการนำเสนอขายของพนักงาน  ตลอดจนเป็นหลักฐานอ้างอิงและสามารถมอบไว้ให้ลูกค้าเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่ม เติม
                    ตัวอย่าง กลยุทธ์
                             : กำหนดตัวเลขอัตราส่วนการขาย เช่น จำนวนลูกค้าที่คาดหวัง ( Prospect ) เมื่อเทียบกับจำนวนที่กลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าของเราในที่สุดหรือจำนวน ลูกค้าที่ซ่อสินค้าเมื่อเทียบกับลูกค้าที่เข้ามาในห้าง ทั้งนี้เพื่อการตรวจสอบถึงประสิทธิภาพของพนักงานขาย
                  : คิดค้นโปรแกรมการให้ผลตอบแทนการขาย ( Incentive Program ) ใหม่ๆ เพื่อเป็นรางวัลแก่พนักงานขายที่ทำยอดขายตามเป้า

                         กลยุทธ์ การให้ข่าวสาร( Public Relation Strategy)

                  การให้ข่าวสารนั้น คือ รูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสารที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อ ทั้งนี้เพื่อสร้างทัศนคติที่เป้นบวกต่อสินค้าและกิจการของเรา แต่ปัจจุบันการสื่อสารโดยวิธีดังกล่าวอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางอ้อมเกี่ยวกับสื่ออีกด้วย การให้ข่าวสารแก่สาธารณะชนนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการประชาสัมพันธ์ การให้ข่าวสารจัดว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ในระยะยาวแก่องค์กร และต้องการให้ผลลัพธ์นี้ออกมาในเชิงบวกแก่องค์กร
                  สิ่งที่เราต้องพิจารณาอย่างยิ่งในการให้ข่าวสารคือ กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้รับข่าวสารและสื่อโฆษณาที่จะใช้เพื่อการสื่อข่าว สาร
                        ตัวอย่างกลยุทธ์   

                                                    : การร่วมมือกับสื่อบางสื่อ เพื่อจัดเทศกาลในโอกาสพิเศษ
                               : กำหนดโปรแกรมการเปิดตัวการบริการรูปแบบใหม่ของธุรกิจเรา

ที่มา 

การโฆษณา AIDA

AIDA 

เป็นทฤษฎีที่เน้นหนักด้านผู้ขายว่าต้อง ปฏิบัติการต่าง ๆ 
ตามลำดับขั้นให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เพื่อผลสำเร็จในการเสนอขาย


  • ความเอาใจใส่ (Attention)
    ขั้น แรกพนักงานขายต้องหาโอกาสที่จะทำให้ผู้คาด ว่าเป็นลูกค้าตื่นตัว พร้อมที่จะรับฟังการเสนอขาย เช่น การขอนัดพบล่วงหน้า หรือบอกเหตุผลในการมาหรือขออภัยที่รบกวนเวลาเขา การที่จะทำให้เขาเกิดความเอาใจใส่ที่จะรับฟังการเสนอขายอาจเป็นผลมาจาก บุคลิกท่าทาง การแต่งกายเรียบร้อย การยิ้ม การพูดจาสุภาพนิ่มนวล พนักงานขายจะต้องแน่ใจว่าสามารถทำได้สำเร็จ ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มต้นการขายที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ผ่านไปสู่ขั้นตอนอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น

  • ความสนใจ ( Interest )
    เมื่อ เห็นว่า ลูกค้าพร้อมที่จะรับฟังการเสนอขาย พนักงานขายก็ต้องเริ่มสร้างความสนใจ มีวิธีการให้ลูกค้าเกิดความสนใจ กล่าวถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ โดยอาจเสนอตัวอย่างสินค้า แค๊ทตาล๊อก รูปภาพ หรืออื่น ๆ มาช่วยเร่งเร้าความสนใจให้เกิดเร็วขึ้น หนักที่สำคัญก็คือ พนักงานขายต้องพยายามหาความต้องการของลูกค้า (ในด้านทัศนคติและความรู้สึก) โดยวิธีการตั้งคำถาม ทดสอบความสนใจเพื่อทราบถึงความรู้สึก ทัศนคติ หรือท่าทีซึ่งบางครั้งลูกค้าอาจจะบอกมาเองก็ได้

  • ความปรารถนา(Desire)
    เป็น ขั้นที่พนักงานขายต้องพยายามจูงใจให้ลูกค้าเกิดความรู้สึก อยากที่จะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายอยู่ ขั้นนี้เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการขายเพราะลูกค้ามักจะตั้งข้อตำหนิ ติเตียน สงสัย โต้แย้งต่าง ๆ ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคในการขาย พนักงานขายต้องเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ พยายามควบคุมสติอารมณ์ ปรับตัวให้เข้ากับลักษณะลูกค้าแต่ละรายจนสามารถแก้ข้อสงสัยต่าง ๆ ไปได้ โดยทำให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับหรือพอใจในคำตอบ บางครั้งจะเป็นการประหยัดเวลาได้มากถ้านักงานขายจะกล่าวถึงคำถามที่เขามักจะ ได้รับเสียเอง โดยอาศัยประสพการณ์ที่ผ่านมาและก่อนที่จะดำเนินการต่อไปก็ควรสรุปสาระสำคัญ ๆ ที่ได้กล่าวแล้วเพื่อกระตุ้นเตือนความสนใจของลูกค้า การตกลงใจที่จะซื้อ (Action) หากการเสนอขายได้กระทำอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมทำให้ผู้คาดว่าจะเป็นลูกค้าพร้อมที่จะตกลงซื้อ อย่างไรก็ตามการตกลงซื้อไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติจะต้องอาศัยการชี้ชวนของ พนักงานขายด้วย พนักงานขายที่ดีจะปิดการขายเมื่อเห็นแน่นอนว่าลูกค้าเกิดความอยากซื้ออย่าง แรงกล้า โดยทั่วไปไม่นิยมถามตรงๆ ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ แต่มักใช้คำถามเลี่ยงๆ เช่นว่าจะให้ส่งสินค้ามาเมื่อไหร่ จำนวนเท่าไหร่

  • ตกลงใจซื้อ (Action)
    เป็น ขั้นตอนที่ลูกค้าตกลงใจซื้อสินค้าที่เสนอขายแต่ผู้ซื้ออาจจะไม่สั่งซื้อ ทันที การปิดการขายจึงไม่ควรที่จะตั้งคำถามให้ลูกค้าตอบว่า "ซื้อ" หรือ "ไม่" แต่ควรจะเลี่ยงด้วยการถามว่า "ต้องการสีอะไร" "จะให้จัดส่งเมื่อใด" "ต้องการจ่ายเป็นเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต" เป็นต้น

  • ความพอใจ (Satisfaction)
พนักงาน ขายต้องเสริมสร้างความพอใจให้กับลูกค้าโดยการแสดงความขอบคุณ และแสดงให้ลูกค้ารู้สึกว่า ได้ตัดสินใจถูกต้อง เหมาะสมที่สุดแล้ว ทั้งให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและพอใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ขาย ขั้นนี้ควรทำให้เร็วที่สุดหลังการขาย พนักงานขายปลีก อาจจะเห็นว่าในขั้นนี้อาจจะเสนอขายสินค้าอื่นๆ เพิ่มได้อีกด้วย
องค์ประกอบที่ทำให้โฆษณาของคุณ ประสบความสำเร็จ เทคนิคนี้เรียกว่า AIDA ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสี่ประการคือ

A= Attention หรือ อาจจะใช้คำว่า (Awareness) แทนก็ได้ A หมายถึง การดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ให้มาฟังหรือชมในสิ่งที่เรานำเสนอให้ได้ สิ่งที่จะกระตุ้นความรู้สึก หรือดึงดูดความสนใจของคนได้นั้นต้องเป็นสิ่งที่กระตุ้นสัญชาตญาณภายในของ มนุษย์ คือเป็นสิ่งที่กระตุ้นกิเลสหรือความอยากได้ของคนเหล่านั้น เช่น รูป สี กลิ่น รสชาติ ความอยากในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อยากสวย อยากหล่อ อยากรวย อยากเป็นที่สนใจในวงสังคม นอกจากการกระตุ้นอารมณ์ และความต้องการแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคือ สิ่งที่แก้ไขปัญหาที่เขาเผชิญอยู่

สิ่งที่กระตุ้นความต้องการของนัก ธุรกิจเครือข่ายคือ ความอยากรวย, อยากมีคนเข้าร่วมธุรกิจเยอะๆ, วิธีการที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ หรือ วิธีการสปอนเซอร์คน

I = Interest หมาย ถึง ความสนใจในสินค้า หรือ บริการของกลุ่มเป้าหมายที่เรานำเสนอสินค้าหรือบริการออกไป สิ่งที่สร้างความสนใจในสินค้า หรือบริการของกลุ่มเป้าหมายคือ การทำให้เขาเห็นใน ข้อดี หรือผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากเรา ซึ่งจะสร้างความแตกต่างให้กับเขา มากกว่าที่เขาจะได้รับจากคู่แข่งของเรา ยกตัวอย่างเช่น ข้อดีสิบประการในการใช้สินค้าของเรา, การแสดงการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของสินค้า หรือบริการของคุณกับผู้อื่น


สิ่ง สำคัญที่เราต้องคำนึงถึงในการสร้างความสนใจในสินค้า หรือ บริการของกลุ่มเป้าหมาย คือทุกสิ่งที่นำเสนอต้องสร้างผลลัพธ์ได้จริงตามที่บอกไว้ ไม่ใช่สิ่งที่โอ้อวดเกินจริง เพราะเมื่อผู้บริโภคใช้สินค้าหรือบริการของเราแล้วทำไม่ได้จริง ก็จะเป็นการสร้างผลเสียให้กับสินค้าหรือบริการของคุณ

D = Desire หมายถึง ความปรารถนาในการบริโภคสินค้า หรือบริการที่นำเสนอ ก็คือ การทำให้เขาต้องการบริโภคสินค้า หรือ บริการของเรา แม้ว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องมีก็ได้ สิ่งที่จะกระตุ้นความปรารถนา หรือควาต้องการใช้สินค้า ก็คือ สิ่งที่เติมเต็มความต้องการ ความปรารถนาของกลุ่มเป้าหมาย

ยก ตัวอย่างเช่น การซื้อชุดสวยราคาแพงจากดีไซเนอร์ระดับโลกที่ออกมาขาย แทนที่การซื้อเสื้อผ้าจากตลาดนัด หรือความต้องการมีรถสปอตร์คันหรูราคาแพง ทั้งๆ ที่มีรถใช่อยู่แล้ว อีกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ สินค้าของบริษัท แอปเปิล เช่น ไอฟ๊อท หรือไอโฟน รุ่นใหม่ ที่คนแย่งกันครอบครองเมื่อออกมาใหม่ เพราะความก้าวล้ำ นำสมัย

A = Action หมาย ถึง สิ่งที่มำให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการที่นำเสนอ เป็นขบวนการที่สำคัญมากชี้เป็นชี้ตายให้ กับโฆษณาที่คุณทำเลย สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำโฆษณา คือ ต้องมี call to action ซึ่งกระตุ้น ให้กลุ่มเป้าหมายต้องซื้อสินค้า หรือทำในสิ่งที่เราต้องการเช่น

- เข้าร่วมธุรกิจวันนี้ รับรองว่าเป็นต้นสาย 100%
- โปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 1 แถม 1
- รับประกัน สปอนเซอร์คน 10 -20 คนต่อเดือน แน่นอน

เมื่อใช้เทคนิค AIDA คือคุณต้องมั่นใจว่าหัวเรื่องหรือประโยคเด็ดของคุณต้องดึงดูดความสนใจของ กลุ่มเป้าหมาย หัวเรื่องต้องเป็นสิ่งที่ชัดเจน ตรงประเด็น และทำได้จริงอย่างที่ประกาศออกไป ยกตัวอย่างเช่น

- วิธีสร้างรายได้ 6 หลัก ในเวลา 6เดือน จากที่บ้าน
- ฟรี...วิธีสปอนเซอร์คน 100 คน ภายใน 60 วัน
- ไม่อยากล้มเหลวในการทำธุนรกิจเครือข่าย ต้องรู้เรื่องนี้

โฆษณาของคุณ จะไม่สำเร็จได้ถ้าขาดองค์ประกอบทั้ง 4 อย่างของ AIDA
เมื่อ การใช้งานสูตรนี้โดยไม่เป็นไปตามลำดับ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะทำให้โฆษณาของคุณไม่สมบูรณ์แบบ ขาดแรงดึงดูด ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้มีสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเติมเต็มให้ เทคนิค AIDA สมบูรณ์แบบ แล้วกลายเป็น AIDA(S)

S= Satisfaction หมายถึง ความพึงพอใจในสินค้า หรือบริการ ของผู้ที่ได้ชมโฆษณา ที่เรานำเสนอผ่านโฆษณาออกไป สิ่งที่สร้างความพึงพอใจของโฆษณาที่ทำออกไป ก็คือการที่กลุ่มเป้าหมายนำสิ่งที่ได้ในโฆษณาไปใช่ประโยชน์ได้ เมื่อใดที่ความพึงพอใจถึงขีดสุด การที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าไปใช้งาน หรือเกิดการซื้อ บริโภคซ้ำ ได้

ต่อไปนี้ปัญหาของการทำโฆษณาของคุณ จะไม่เป็นปัญหอีกต่อไป ขอเพียงใหคุณจำไว้ว่าทุกครั้งที่จะทำโฆษณาต้องไม่ลืม AIDA(S)

    การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด Marketing Public Relations : MPR

    การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด 

    (Marketing Public Relations : MPR)




    ความหมายการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด (Marketing Public Relations : MPR)


    การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด หรือเอ็มพีอาร์ หมายถึง ขั้นตอนการวางแผนการปฏิบัติดำเนินงานและการประเมินผลในกระบวนการกระตุ้นให้เกิดการซื้อและความพึงพอใจโดยอาศัยการให้ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ ผ่านรูปแบบการนำเสนอเกี่ยวกับสินค้าและองค์กร เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและต้องการซื้อสินค้าในที่สุด นักกลยุทธ์ไอเอ็มซีบางท่านก็เรียกเอ็มพีอาร์ว่า การเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับตราสินค้า (Brand Publicity) ซึ่งจะเห็นได้ว่าทิศทางของการทำประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

    จะเป็นการทำประชาสัมพันธ์องค์กร (Corporate Public Relations : CPR) ที่เน้นความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานกับกลุ่มเป้าหมายแต่ในปัจจุบันนักกลยุทธ์ไอเอ็มซีหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด (Marketing Public Relations : MPR) ซึ่งเป็นการนำความสัมพันธ์ระหว่างการตลาดกับการประชาสัมพันธ์มาผสมผสานกัน

    ในอดีตมักจะมีคำกล่าวว่า การประชาสัมพันธ์ไม่ใช่การตลาด (PR is Not Marketing) แต่ในปัจจุบันนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าการประชาสัมพันธ์กับการตลาดเป็นสองสิ่งที่มีความสำคัญต่อกันมากจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยมากมีรูปแบบวิธีการบริหารองค์กรโดยใช้การตลาดและประชาสัมพันธ์เป็นหลักในการจัดการถึง 5 รูปแบบดังนี้ในรูปแบบแรกจะสอดคล้องกับคำพูดที่กล่าวข้างต้นที่ว่าการประชาสัมพันธ์ไม่ใช่การตลาด โดยผู้บริหารองค์กรจะมองว่าการตลาดกับการประชาสัมพันธ์ไม่เกี่ยวข้องกันเลย จนกระทั่งในรูปแบบที่ 2 มองว่าทั้งการตลาดและการประชาสัมพันธ์มีส่วนสัมพันธ์กันบ้าง และการประชาสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดในรูปแบบที่ 3 แต่สำหรับในรูปแบบที่ 4 นั้น จะเห็นว่า การตลาดกลับเป็นส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์ ส่วนในรูปสุดท้ายนั้นการตลาดและการประชาสัมพันธ์ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแยกไม่ออก นั่นคือรูปแบบของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงนั่นเองเหตุผลที่ทำให้การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดอยู่ในกระแสนิยมในปัจจุบัน



    ประโยชน์ของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด



    1. ทำให้คนทั้งประเทศพูดถึงสินค้าของคุณ เปลี่ยนร้านเล็กๆ ของครอบครัวไปเป็นแบรนด์ระดับใหญ่ยักษ์


    2. ทำให้คุณมีชื่อเสียงในสิ่งที่คุณทำ


    3. ทำให้ราคาหุ้นทะลุเพดาน


    4. ทำให้เป็นที่สนใจในวงสังคม


    5. สร้างสถิติใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น


    6. ทำให้อัลบั้มเพลงไต่อันดับหรือได้รางวัล


    7. ทำให้คู่แข่งหมดสภาพ



    สาเหตุสำคัญของ MPR


    -การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
    -องค์กรใหม่หรือมีขนาดเล็ก จนการโฆษณาเป็นค่าใช้จ่ายสูงที่เกินไป
    -ไม่สามารถโฆษณาได้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย เช่น บุหรี่ ยา เป็นต้น
    -ภาวะแวดล้อมเป็นไปในทางลบและต้องมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว
    -มีเรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้นในผลิตภัณฑ์เดิม
    -การจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรค่อนข้างยากลำบาก

    -โฆษณาเป็นที่ชื่นชอบ แต่ล้มเหลวในการสร้างการรับรู้ต่อตราสินค้า
    -ผลิตภัณฑ์ต้องใช้เวลาในการอธิบาย
    -ไม่สามารถโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค ไม่ว่าด้วยเหตุผล


    รูปแบบ MPR



    1. การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดแบบรุก (Proactive MPR) เป็นการมุ่งสร้างโอกาสทางการตลาดมากกว่า คอยแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว ในภาวการณ์แข่งขันทางการตลาดอย่างรุนแรง การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดแบบรุกมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะมุ่งวัตถุประสงค์ทางการตลาดเป็นสำคัญ


    2. การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดแบบรับ (Reactive MPR) เป็นการมุ่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสินค้าหรือบริษัท อันเป็นการทำลายชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของสินค้าหรือบริษัท เช่น การให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขและควบคุมการเกิดข่าวลือ (Rumor Control) การจัดการกับภาวะวิกฤต (Crisis Management) เป็นต้น



    ขั้นตอนของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด



    การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ช่วยให้แผนการสื่อสารการตลาดบรรลุเป้าหมายมากขึ้น เช่น Pepsi ใช้ Michael Jackson และ Madonna เพิ่มระดับความสนใจและการรับรู้ในตัวสินค้า สำหรับสินค้าฟุตบอลอย่าง Adidas ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าร้าน ทำการส่งเสริมการขาย และการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด เพื่อหวังผลให้ขายสินค้าได้จำนวนมากก่อนที่จะมีการโฆษณาทางโทรทัศน์


    เอ็มพีอาร์ช่วยเพิ่มการรับรู้ในตัวสินค้า ให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบ ช่วยให้เกิดความสนใจ ความตื่นตัว ความเข้าใจ สร้างความไว้วางใจ กระตุ้นความภักดีในสินค้าและกระตุ้นการซื้อ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับการประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มทัศนวิสัย พัฒนาองค์การและความน่าเชื่อถือในตัวสินค้า ซึ่งเครื่องมือไอเอ็มซีอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ ขอบเขตของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดมีดังนี้


    1.เขียนและบริหารแผนการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด (MPR Planning and Management) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการบริหารจัดการภาพรวมของเอ็มพีอาร์ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการวางแผนและควบคุมการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด โดยทำการกำหนดวัตถุประสงค์ ระบุกลุ่มชุมชน (Publics) และกำหนดกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดให้สอดคล้องกับการสื่อสารการตลาดในรูปแบบอื่นๆ จัดเวลาการบริหารขั้นตอนการปฏิบัติงานตลอดจนการประเมินผลงาน เมื่อสิ้นสุดแผนงานแล้ว




    2. สื่อมวลชนสัมพันธ์ (Media Relations) เป็นส่วนสำคัญของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด โดยสร้างความสัมพันธ์และความคุ้นเคยกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ความมั่นใจเพื่อกระตุ้นให้เกิดความชอบ ลดสิ่งที่เป็นแง่ลบ และยังเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ของบุคคล ระหว่างนักประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดกับบรรณาธิการและนักข่าว ทำให้เกิดทัศนคติที่มีต่อกันในแง่บวก


    3. การเผยแพร่ข่าวสาร (Producing Publicity) การส่งและเผยแพร่ข่าวสาร คือ หลักการสำคัญของการประชาสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ ข่าวสาร และการส่งข่าวแจกเพื่อช่วยกระจายข้อมูลขององค์กรและสินค้าในด้านดี และยังช่วยจำกัดผลกระทบที่เกิดขึ้นในกรณีที่ให้ข้อมูลข่าวสารผิดพลาด การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารถือเป็นส่วนดีของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดที่สามารถใช้ให้เกิดประสิทธิผลและคุ้มทุน มีศักยภาพที่จะเป็นรูปแบบการสื่อสารที่มีอำนาจ ซึ่งเป็นผลจากความน่าเชื่อถือและสามารถสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นได้


    ปัจจุบันการทำให้สินค้าและองค์การปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ หรือให้ผลิตภัณฑ์ของเราผ่านสื่อโดยเสียเงินนั้นมีหลายวิธี แต่ทำไมนักประชาสัมพันธ์จึงต้องเลือกการกระพือข่าวทำให้สินค้าของคุณอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ โดยไม่ต้องเสียเงินลงโฆษณา “เพราะกลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคนั้น เชื่อสิ่งที่นักข่าวเขียนขึ้น มากกว่าโฆษณา”


    คุณจะต้องรู้จักพูดคุยกับนักข่าว เพื่อให้คุณ(หรือผู้บริหารระดับแถวหน้า) สามารถตอบคำถามได้ทุกรูปแบบ คุณอาจทำให้ตัวเองน่าสนใจได้จากการปรากฏตัวบนเว็บไซต์ เพราะเว็บไซต์ทั้งหลายเต็มไปด้วยข่าวฉาวโฉ่ และผู้คนก็นิยมบริโภคข่าวประเภทนี้มากมาย

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านั้น องค์กรใหญ่ๆ ประสบกับหัญหาและสาเหตุหนึ่งก็มาจาก เขาไม่เปิดเผยตัวเองกับสาธารณชน และสื่อมวลชนเท่าที่ควร ทำให้เราพอสรุปได้ว่า ความเป็นธรรมชาติคือกุญแจสู่การประชาสัมพันธ์ที่ดี แทนที่จะซ่อนเร้นเอาไว้ เราควรเปิดเผยข้อมูลต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะทำให้นักข่าวอยากรู้จักคุณ และคุณควรสามารถพูดคุยกับสื่อถึงเรื่องนั้นๆ ได้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นข่าว ไม่ใช่การซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังคำว่า “ไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้” แล้วรอดูผลที่จะเกิดขึ้น ลิชาร์ด แลเมอร์ ซีอีโอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวว่า “ห้วงเวลาแห่งหายนะ มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่คุณหนีการไล่ล่าของนักข่าว ที่กำลังหิวกระหายข่าว และจำเอาไว้ว่า ในโลกธุรกิจสื่อ ความซื่อสัตย์คือเพื่อนของเรา” คุณต้องทำให้ชื่อของคุณอยู่ในทำเนียบข่าวของนักข่าวให้ได้ เพื่อที่จะให้นักข่าวมาสัมภาษณ์คุณ หรือผู้บริหารองค์กรในอนาคต เพราะนักข่าวนั้นย่อมต้องการข่าวเพื่อไปเผยแพร่

    4. การผลิตสิ่งพิมพ์ (Producing Publications) เป็นส่วนสนับสนุนสำคัญของการเผยแพร่ข่าวสาร ความหลากหลายของสิ่งพิมพ์ อาจทำโดยการใช้พนักงาน ส่งจดหมายแจ้งข่าว รายงานการเงินไปยังลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินค้าและตราสินค้า


    5. การสื่อสารองค์กร (Corporate Communications) ประกอบไปด้วยการวางแผนองค์กร การจัดการภาพลักษณ์ การประชาสัมพันธ์องค์กร ชุมชนสัมพันธ์ สร้างและคงสภาพความสัมพันธ์ทั้งในระดับท้องถิ่น ชาติ และระหว่างชาติที่เกี่ยวพันกันเพื่อประโยชน์ของการดำเนินธุรกิจ การติดต่อกับรัฐบาลและตัวแทนของรัฐบาลคราวหน้าผู้เขียนจะกล่าวถึงขอบเขตของการทำประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดต่อให้จบ และจะเขียนถึงรายละเอียดของเกณฑ์ในการวางแผนว่ามีอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา ตลอดจนข้อดีข้อจำกัดและการวัดผลของเครื่องมือนี้ว่ามีอะไรบ้าง


    6. การล็อบบี้ (Lobbying) เกี่ยวข้องกับชุมชนและการสร้างความสัมพันธ์กับสื่อ เพื่อที่จะสร้างและคงสภาพความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำกลุ่ม ผู้ออกกฎหมายและข้าราชการ เพื่อชักจูงโน้มน้าวและง่ายต่อการเจรจาต่อรองในอนาคต


    7. การบริหารภาวะวิกฤต (Crisis Management) เป็นกระบวนการบริหารกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ไม่เคยประสบมา ก่อนที่จะเกิดผลกระทบกับองค์กรตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงขั้นรุนแรง ดังนั้นควรมีการเตรียมแผนการ (Contingency Plan) ไว้ล่วงหน้าเพื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต


    8. การวิจัยและวิเคราะห์ (Research and Analysis) เป็นการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยในการบริหาร วางแผนการปฏิบัติ ประเมินค่าและควบคุมขั้นตอนต่างๆ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วถูกต้องและง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ


    9. กลุ่มชนเป้าหมายของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด (Marketing Public Relations Audience) การรู้และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้แผนเอ็มพีอาร์เกิดผลสำเร็จทางการตลาด โดยผู้บริโภคอีกส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องทำความรู้จักก็คือ ผู้มีอิทธิพล (influences) กับกลุ่มเป้าหมาย


    10. การลงมือปฏิบัติตามแผนการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด (Implementing Marketing Public Relations) การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดมีขอบเขตที่กว้าง จึงมีกิจกรรมมากมาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ควรใช้หลายกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้กิจกรรมเหล่านั้น ทำหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมกัน อันเป็นผลให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้

    เกณฑ์ที่ต้องพิจารณาในการทำ MPR

    การวางแผนจะใช้การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด นอกจากขอบเขตต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว ควรต้องคำนึงถึงเกณฑ์สำคัญ เพื่อให้กิจกรรมต่างๆ สนับสนุนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน อันเป็นผลให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งเกณฑ์ที่ต้องพิจารณามีดังนี้


    1. เกณฑ์ด้านความเหมาะสม (Suitability Criteria) เป็นเกณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงกิจกรรมของเอ็มพีอาร์นั้นๆ ว่ามีความเหมาะสมในประเด็นย่อยๆอย่างไร ดังนี้


    1.1 ลักษณะของกิจกรรม เนื้อหา ลีลา และแนวคิดสร้างสรรค์นั้นมีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด


    1.2 กิจกรรมเอ็มพีอาร์เหมาะสมและเข้ากันได้ (Compatibility) กับเครื่องมือไอเอ็มซีอื่นๆหรือไม่ และที่สำคัญต้องเหมาะสมกับภาพลักษณ์ขององค์กรด้วย


    1.3 กิจกรรมนั้นต้องช่วยสร้างจุดแข็งและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้


    1.4 ต้องเป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ศรัทธา และมีอิทธิพลต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย


    1.5 ต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแผนงานและกลยุทธ์ไอเอ็มซี


    2 เกณฑ์ด้านความเป็นไปได้ (Feasibility Criteria) จะพิจารณาในด้านกิจกรรมเหล่านั้นว่าสามารถนำไปปฏิบัติได้ ภายใต้ข้อจำกัดด้านต่างๆ ขององค์กร ซึ่งประกอบไปด้วย


    2.1 ความเป็นไปได้กับงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด


    2.2 สามารถใช้กับเทคโนโลยีขององค์กรที่มีอยู่ได้เป็นอย่างดี


    2.3 มีผู้เชี่ยวชาญเพียงพอในการใช้กิจกรรมดังกล่าวมากน้อยเพียงใด


    2.4 สามารถจัดสรรเวลาให้เหมาะสมกับการใช้เครื่องมือหรือไม่


    2.5 กิจกรรมนั้นทำได้จริงและช่วยให้แผนงานบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่


    3 เกณฑ์ด้านการยอมรับ (Acceptable Criteria) เป็นการประเมินว่ากิจกรรมและผลลัพธ์ที่ได้ เป็นที่ต้องการและยอมรับขององค์กรหรือไม่ โดยมีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้


    3.1 กิจกรรมดังกล่าวเป็นที่ยอมรับของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละระดับหรือไม่


    3.2 มีวิธีการควบคุมการใช้กิจกรรมต่างๆ อย่างไร และเป็นที่ยอมรับหรือไม่


    3.3 มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวหรือไม่


    3.4 ช่วยสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับแผนงานและกลยุทธ์มากน้อยเพียงใด

    ข้อดีและข้อจำกัดของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด


    โดยปกติการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด มีศักยภาพในการสร้างทั้งภาพลักษณ์ ความเชื่อถือศรัทธาและยอดขายในเวลาเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม การทำเอ็มพีอาร์เองก็มีข้อจำกัดที่นักกลยุทธ์ไอเอ็มซีต้องทราบ และเข้าใจเพื่อจะทำให้แผนงานและกลยุทธ์ไอเอ็มซีให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เขียนจะขอสรุปทั้งข้อดีและข้อจำกัดของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดเป็น 4 ด้าน ด้วยกัน ดังนี้


    1 ด้านความน่าเชื่อถือ (Credibility) เป็นด้านที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเครื่องมือไอเอ็มซีอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการทำประชา-สัมพันธ์ เชิงการตลาดในด้านความน่าเชื่อถือมีรายละเอียด คือ


    1.1 ทำให้เกิดความไว้วางใจ เชื่อถือ และศรัทธาในตราสินค้าและองค์กรมากขึ้น
    1.2 สามารถเน้นทั้งสินค้าและองค์กรได้ในเวลาเดียวกัน
    1.3 ช่วยสร้างทัศนคติในเชิงบวกอันเป็นผลประโยชน์ต่อการขายสินค้า
    1.4 ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในตัวสินค้าและองค์กร จนทำให้เกิดเป็นความผูกพันในที่สุด
    1.5 ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และขจัดความรู้สึกเชิงลบให้กับสินค้าและองค์กร


    2 ด้านการรับรู้และเข้าถึง (Visibility and Reach) ด้านนี้เน้นการรับรู้และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เป้าหมาย โดยการใช้กิจกรรมของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
    2.1 ช่วยให้การโฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ลดการสูญเปล่าและความสับสน(Waste and Clutter)จากการโฆษณา
    2.2 สามารถสร้างการรับรู้ และมีอิทธิพลเหนือความคิดของกลุ่มเป้าหมาย และผู้นำทางความคิดโดยอาศัยจุดยืนและบุคลิกภาพของตรา สินค้าเป็นหลักในการสื่อสารเนื้อหาไปยังกลุ่มเป้าหมาย
    2.3 สินค้าบางประเภทไม่สามารถทำโฆษณาได้ ก็สามารถใช้การประชาสัมพันธ์เชิงการตลาดแทน ซึ่งให้ผลต่อสินค้าและองค์กรได้ไม่แตกต่างกัน

    3. ด้านค่าใช้จ่าย (Cost) ดูเหมือนว่าจะเป็นข้อดีของการทำประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด เนื่องจากเหตุผล ดังนี้
    3.1 ค่าใช้จ่ายในการทำเอ็มพีอาร์ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือไอเอ็มซีอื่น
    3.2 สามารถปรับใช้ได้กับองค์กรขนาดเล็ก องค์กรการกุศล หรือแม้องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ที่มีงบประมาณน้อยก็สามารถใช้เอ็มพีอาร์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารการตลาดได้เป็นอย่างดี
    3.3 กิจกรรมของเอ็มพีอาร์มีทั้งเสีย และไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงสามารถเพิ่มความถี่ ขยายเวลา และการเข้าถึงได้ตามความต้องการภายใต้งบประมาณที่จำกัด


    4 ด้านการควบคุม (Control) ทั้งในแง่การเผยแพร่ข่าวสาร และควบคุมการดำเนินกิจกรรมของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ซึ่งมีข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้
    4.1 ควบคุมการเผยแพร่เนื้อหาข่าวสาร ได้ต่ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือและความพอใจของสื่อมวลชนในแขนงต่างๆ
    4.2 ไม่สามารถควบคุมการนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและองค์กรตามที่ต้องการได้
    4.3 ควบคุมเวลาและพื้นที่ได้ยาก อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากผู้มีอำนาจที่ควบคุมสื่อต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกับการทำโฆษณาที่ควบคุมได้มากกว่า
    4.4 กิจกรรมของการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ไม่สามารถรับรองผลได้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เนื่องจากขาดความสามารถในการควบคุมนั่นเอง

    ความเหมาะสมในการทำ MPR


    มีคำถามว่า MPR สามารถนำมาใช้สร้างอุปสงค์ในตลาดได้หรือไม่ตอบว่า ได้ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง หรือทั้งหมด MPR อาจช่วยสร้างอุปสงค์สำหรับผลิตภัณฑ์เจริญเติบโตเต็มที่ด้วยการสร้างสรรค์ข่าวใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาจช่วยขยายตลาด อาจช่วยแข่งขันกับยี่ห้ออื่นเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและอาจช่วยให้ธุรกิจได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมีผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อำนวยโอกาสต่อการทำ MPR อาทิ

    หนังสือ
    “ Harry Potter” เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ที่มีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่น ในเมืองไทยได้รับความสนใจเฉพาะเด็กต่างชาติซึ่งหาซื้อฉบับภาษาอังกฤษจากร้านหนังสือต่างประเทศ เมื่อสำนักพิมพ์ในไทยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งได้ลิขสิทธิ์นำมาแปลและจำหน่ายแล้วทำการเผยแพร่ข่าวสาร (publicity) ต่อสื่อมวลชน จึงได้รับความสนใจอย่างรวดเร็วจากเด็กและเยาวชนไทย ผู้บริหารสำนักพิมพ์ยังได้จัดสรรเวลาของตนเองในการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ (media interview) ทั้งรายการวิทยุและหนังสือพิมพ์ชั่วระยะเวลาไม่นาน “แฮรีพอตเตอร์” ก็ขึ้นสู่อันดับ 1 ใน 10 หนังสือขายดีจนสำนักพิมพ์ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์ตอนอื่นๆ มาแปลจำหน่ายถึง 4 ตอน โดยเฉพาะเมื่อบริษัทสร้างภาพยนตร์ในสหรัฐฯ นำนวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายไปทั่วโลก
    รถยนต์
    กล่าวกันว่า พาหนะเป็นปัจจัยที่ห้าของมนุษย์เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทางไปมาหาสู่กันทั้งทางธุรกิจและการพักผ่อน คนไทยส่วนหนึ่งยังให้การยอมรับว่า การใช้รถยนต์บางยี่ห้อโดยเฉพาะที่มีราคาแพง อาทิ Mercedes-Benz เป็นเครื่องแสดงถึงสถานภาพทางสังคมอีกด้วย
    ในเมืองไทย มีงานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ 2 รายการ คือ Bangkok International Motor Show จัดโดยนายปราจีน เอี่ยมลำเนา ผู้บริหารนิตยสารกรังด์ปรีซ์ ประมาณต้นเดือนเมษายน และMotor Expo จัดโดยนายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ผู้บริหารนิตยสารฟอร์มูลา ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนทั้งสองงานไปลงข่าวสารเกี่ยวกับรถใหม่ในงานและจากผู้ใช้รถยนต์ รวมทั้งผู้กำลังจะใช้รถยนต์อย่างคับคั่ง เห็นได้จากยอดจองซื้อรถยนต์ในงานมูลค่านับพันล้านบาท
    แม้การแสดงรถยนต์จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เมื่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายรถยนต์นำรถใหม่มาเปิดตัวอีกครั้งเพื่อเป้าหมายทางการตลาดก็ยังได้รับความสนใจ ดังกรณีบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ได้เปิดตัวรถ Toyota Camry รุ่นใหม่ใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม 2,200 เป็น 2,400 ซีซี. มีรูปร่างภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการตกแต่งภาพในให้หรูหราขึ้นปรากฏยอดจองในงานเปิดตัวที่สูงถึง 1,000 คัน เป็นต้น
    ฯลฯ
    กล่าวโดยสรุป เมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์ด้วยการจัดแบ่งกลุ่มความสนใจจากสื่อมวลชนและจากผู้บริโภค อาจแบ่งได้ ดังนี้


    1.ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจสูงจากสื่อมวลชนและผู้บริโภค อาทิ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ บันเทิง และกีฬา


    2.ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจสูงจากสื่อมวลชน แต่ได้รับความสนใจต่ำจากผู้บริโภค อาทิ อาหาร และยา


    3.ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจสูงจากผู้บริโภค แต่ได้รับความสนใจต่ำจากสื่อมวลชน อาทิ สุรา เบียร์ เครื่องดื่ม และรองเท้ากีฬา


    4.ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจต่ำจากสื่อมวลชนและจากผู้บริโภค อาทิ บุหรี่ ขนมขบเคี้ยว

    กลยุทธ์หยิบจุดเด่นมาเป็นข่าว

    ทั้งสี่กลุ่มมีความเหมือนและแตกต่างกัน โดยสองกลุ่มแรกอาจใช้กลยุทธ์หยิบจุดเด่นมาเป็นข่าว (Lend themselves) ดังนี้
    -ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการผลิตและจำหน่าย หรือที่ผู้บริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์รับผิดชอบ อยู่ในกลุ่มที่ 1 การทำ MPR จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปนัก เพราะอาจใช้โอกาส“สินค้าเป็นข่าว” จัดแถลงข่าว (announcement) แนะนำ (Introduction) หรือทำข่าวแจก (release) ก็ได้รับความสนใจทั้งจากสื่อมวลชนและผู้บริโภค
    -ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เนื่องจากมีคุณค่าความเป็นข่าว (Newsworthiness) สูง แต่ผู้บริโภคให้ความสนใจต่ำกลยุทธ์ที่ใช้ทำ MPR คือ การค้นหาสิ่งที่มีประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และเป็นเรื่องใกล้ตัวผู้บริโภคมาจับเป็นประเด็นนำเสนอ อาทิ อาหาร ธัญพืช (cereal) ซึ่งผลิตจากข้าวโพด (corn flakes) ของ Nestle ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบในการแต่งรสร้อยละ 3 โดยมีข้าวโพดเป็นส่วนประกอบหลักร้อยละ 64 และน้ำตาลเป็นส่วนประกอบรองร้อยละ 27 พร้อมกับทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ เป็นอีกตัวหนึ่งในชื่อ “แผ่นข้าวโพดอบกรอบเคลือบน้ำผึ้ง” (Honey Sweetened Corn Flakes) แล้วใช้ตราสินค้าว่า “ฮันนี่โกลด์” (Honey Gold) การทำ MPR อาหารตัวนี้หนีไม่พ้นการหยิบเอาคุณค่าขึ้นมาเผยแพร่ นอกจากแคลเซียม วิตามินและแร่ธาตุครบ 10 ชนิดแล้ว ประเด็นใหม่คือ “น้ำผึ้ง” ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่คนทั่วไปรู้จักและยอมรับในคุณค่า เนื้อหาของ MPR ที่เผยแพร่จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้บริโภคต้องซื้อ แต่เป็นเหตุผลที่ตอบผู้บริโภคว่า ทำไมจึงควรซื้อ เป็นต้น

    กลยุทธ์ยืมความดังมาเป็นข่าว

    สองกลุ่มหลังจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เป็นการยืมความดังมาเป็นข่าว (Borrowed interest)
    -ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ 3 ซึ่งผู้บริโภคให้ความสนใจสูง แต่มีคุณค่าข่าวต่ำสำหรับสื่อมวลชน กรณีนี้ อาจต้องอาศัยความมีชื่อเสียงหรือเด่นดัง ซึ่งได้รับความสนใจจากด้านอื่นเข้ามาเชื่อมโยง (Product-linkage) อาทิ การที่บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์สิงห์เป็นผู้อุปถัมภ์การแข่งขันกีฬาสำคัญระดับชาติ
    -ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ 4 ซึ่งมีคุณค่าข่าวต่ำสำหรับสื่อมวลชน (lownews) และยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคต่ำ (low interest) อีกด้วย กลยุทธ์ MPR ยังคงใช้แบบเดียวกันเพียงแต่จะเลือกใช้ความเด่นดัง หรือคนมีชื่อเสียงได้อย่างไรให้เหมาะสม โดยเน้นไปที่ภาพพจน์ขององค์กรและชื่อของผลิตภัณฑ์เป็นด้านหลัก


    ของขบเคี้ยว ที่เป็นกรณีศึกษาในข้อนี้ได้ คือมันฝรั่งอบกรอบ “ฟริสโต-เรย์” (Fristo-Ray) ซึ่งมีตลาดเป้าหมายเป็นวัยรุ่น ได้จับมือกับสมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ จัดอบรมนิสิตนักศึกษานิเทศศาสตร์ ที่ได้รับคัดเลือกจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ ก่อนจะแยกสาขาวิชาขึ้นไปเรียนในปีที่ 3 โดย เชิญบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในวงการทุกด้านจากทุกสาขาซึ่งเป็นนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มาเป็นวิทยากร งานนี้ ฟริสโต-เรย์ ได้ทั้งภาพพจน์องค์กรและภาพพจน์ผลิตภัณฑ์

    กิจกรรมในการทำ MPR

    1. การมอบรางวัล [Special Awards] คือการที่องค์การธุรกิจจัดมอบรางวัลพิเศษให้แก่บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกในประเด็นต่าง ๆ ที่บริษัทเป็นผู้กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้มีคามเกี่ยวข้องกับตัวสินค้า เช่น บริษัทผู้ผลิตลิปสติกจัดมอบรางวัลแก่ผู้ทีมีเรียวปากสวยที่สุด โดยคัดเลือกจากภาพถ่ายของบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก เช่น นกแสดง นักร้อง นักธุรกิจ นักการเมือง ฯลฯ ทั้งนี้ภาพถ่ายของผู้ทีได้รับการคัดเลือก นักประชาสัมพันธ์จะนำไปเผยแพร่ในหนังสือหรือนิตยสาร และการมอบรางวัลก็นำไปเผยแพร่ทางสื่อวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์อีกด้วย


    2. การจัดการประกวด [Contests] ได้แก่ การประกวด คำขวัญ บทความ เรียงความ ตราสินค้า [Loco] การประดวด presenter สินค้า หรือจัดประกวดโยคิดเหตุการณ์หรือกิจการรมขึ้นมา เช่น การจัดการประกวดออกแบบเสื้อผ้า Young Designer Challenge โดยผลิตภัณฑ์บรีสคัลเลอร์ และการประกวดช่างแต่หน้าของเครื่องสำอางกิฟฟารีน เป็นต้น


    3. การจัดการแข่งขันต่าง ๆ [Competitions] สามารถจัดการแข่งขันได้หลายรูปแบบ แต่ควรจะสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่นการแข่งขันกีฬาประเภทต่าง ๆ ได้แก่ การเดินหรือวิ่งมาราธอนการแข่งขันการขี่จักรยาน การแข่งแรลลี่ การแข่งขันเรือใบ การแข่งขันต่อจิ๊กซอว์ ฯลฯ เช่น บริษัท เลโก้ จัดการแข่งขันต่อเลโก้ที่ห้างสรรพสินค้า บริษัท ยางสยาม จำกัด จัดการแข่งขันแรลลี่เที่ยวทั่วไทยกับ ยางสยามเป็นต้น


    4. การเปิดงาน [Grand Openting] เป็นการจัดกิจกรรมในวันเปิดกิจการหรือวันเริ่มต้นธุรกิจใหม่ เช่น โรงแรมเปิดใหม่ ร้านอาหารเปิดใหม่ เคาน์เตอร์เครื่องสำอางเปิดใหม่ สำนักงานเปิดใหม่ของธนาคาร การเปิดเที่ยวบินใหม่ของสายการบิน ซึ่งลักษณะของการจัดมีพิธีทางศาสนามีการตัดริบบิ้น เปิดผ้าแพรคลุมป้ายและการให้เข้าชามสินค้าหรือบริการ โดยเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นผู้ทำพิธีเปิดและร่วมงาน ตลอดจนเชิญสื่อมวลชนให้มาร่วมด้วย เพื่อจะได้ทำข่าวเผยแพร่ออกไป โดยทั่วไปการเปิดงานมักจะมีเรื่องการส่งเสริมการขายประกอบด้วยเสมอ เช่น ธนาคารเปิดสาขาใหม่ จะมีการแจกของที่ระลึกกับคนที่มาเปิดบัญชีในวันนั้น


    5. การเปิดตัวสินค้า [Launching Presentation] เป็นการจัดกิจกรรมพิเศษเฟื่อนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ส่วนใหญ่มักจะจัดตามโรงแรมใหญ่หรือศูนย์การประชุม เช่น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในการเปิดตัวสินค้าจะนำเสนอภาพเรื่องราวของสินค้าทั้งหมด โดยใช้โสตทัศนูปกรณ์ [Audio Visual] ประกอบด้วยสไลด์ วิดิทัศน์ การแสดงละคร แสงสีเสียงประกอบ ฯลฯ ในการจัดเปิดตัวสินค้าจะมีการแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนเกี่ยวกับสินค้าด้วย หลังจากการจัดงานเปิดสินค้าเสร็จสิ้นแล้วนักประชาสัมพันธ์ก็จะทำข่าวสังคมธุรกิจเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ต่อไป ซึ่งในปัจจุบันได้มีบริษัทรับจ้างจัดทำข่าวสังคมธุรกิจเผยแพร่ทางวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ให้แก่องค์การธุรกิจต่าง ๆ


    6. การสาธิตสินค้า [Demonstrations] เป็นการสาธิตการใช้สินค้าในลักษณะต่าง ๆ มักจะจัดกันในบริเวณห้างสรรพสินค้าหรือในงานแสดงสินค้า สินค้าที่นิยมจัดการสาธิต เช่น เครื่องสำอาง เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ฯลฯ


    7. การจัดนิทรรศการ [Exhibition] เป็นการแสดงสินค้าที่รวบรวมเอาสินค้าชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดมาแสดงไว้ ณ.ที่แห่งเดียวกัน เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้มาชมนิทรรศการนั้น การจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสินค้าจะสามารถสร้างข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ให้คนได้รับรู้ในรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า คือมีการสาธิตการใช้สินค้าให้ชมผ่าเครื่องยนต์ให้เห็นข้างในและจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์ เกี่ยวกับข้อมูลของสินค้า แจกด้วยเช่น แผ่นพับ หนังสือหรือแผ่นปลิวงานการจัดแสดงสินค้า [Trade Show] ซึ่งหมายถึงงานแสดงสินค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อใช้เป็นวิธีการดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าชมสินค้าก็ถึงว่าเข้าข่ายการจัดนิทรรศการ เช่นเดียวกัน


    8. การแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดโดยมุ่งให้กลุ่มเป้าหมายได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นการทดสอบความสนใจของตลาดล่วงหน้าก่อนที่สินค้าจะวางจำหน่าย โดยมุ่งให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากของกลุ่มผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง ที่แจกนั้นจะต้องจัดทำรูปแบบให้น่าสนใจและแจกในแหล่งที่เหมาะสมจึงจะทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค การแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างควรดำเนินการไปในช่วยเวลาเดียวกันกับที่นักประชาสัมพันธ์ได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ด้วย


    9. การแจกของที่ระลึก มักจะนิยมทำเพื่อให้ประชาชนได้รู้จักและจดจำชื่อและตราสินค้าได้ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดกิจการส่งเสริมการขายการแจกของที่ระลึกให้แก่สื่อ มวลชนตัวแทนจำหน่ายและประชาชนทั่วไป เช่น เสื้อยึด หมวก ร่ม กระเป๋า


    10. การจัดงานฉลอง ( Celebration ) เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะฉลองเนื่องในโอกาสต่าง ๆ เช่น การฉลองยอดขาย 5,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายของบริษัท การฉลองรางวัลการประกวดสินค้าของบริษัทที่ได้รับการตัดสินให้ชนะ ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวสินค้าว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งได้รับรางวัลหรือเป็นบริษัที่ดี ยอดขายถึงบรรลุตามเป้าหมาย

    11. การจัดวัน สัปดาห์ หรือเดือนพิเศษ โดยกำหนดวัน สัปดาห์หรือเดือนใดเดือนหนึ่งโดยบริษัทเป็นผู้กำหนด เพื่อสร้างจุดสนใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกามีการจัด Nationol Soup Month โดยบริษัท Campbell Soup Company (Harris.1991:91)

    12. การจัดพิพิธภัณฑ์ ( Museum ) บริษัทเจ้าของพิพิธภัณฑ์จะจัดในลักษณะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนผู้เข้ามาชมพิพิธภัณฑ์ได้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของผลิตภัณฑ์การเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของการผลิตสินค้าดังกล่าว เช่น พิพิธภัณฑ์ของบริษัท โคคา-โคล่า ในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้ขอเข้าชมเป็นจำนวนมาก พิพิธภัณฑ์รถยนต์เมอซิเดสเบนซ์ ประเทศเยอรมนี พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)

    13. การจัดประชุม อบรม สัมมนา ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุม อบรมหรือสัมมนา ได้รับความรู้เกี่ยวกับสินค้าทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย เช่น การจัดสัมมนาของบริษัทโอสถสภา เรื่องความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มให้กำลังงาน หรือการจัดประชุมตัวแทนจำหน่าย การอบรมของพนักงานขายของบริษัท เป็นต้น

    14. การอุปถัมภ์ ( Sponsorship ) โดยบริษัทเป็นผู้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่างๆ อาจจะเป็นด้านเงินทุน สถานที่ สื่อประชาสัมพันธ์ หรือของที่ระลึก ทั้งของหน่วยงานราชการ ชุมชน สถาบันการศึกษา ซึ่งจะทำให้บริษัทและผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักได้รับการยอมรับจากหน่วยงานราชการและประชาชนทั่วไป เช่น บริษัท คอลเกต ปาล์มโอลีฟ จำกัด ให้การสนัสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพฟัน ของกระทรวงสาธารณสุข

    15. การเผยแพร่ข่าวสาร (Publicity) ตามหลักการประชาสัมพันธ์ทั่วไป การเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับองค์การผ่านสี่อมวลชนโดยไม่ต้องเสียค่าจ่าย แต่ในการดำเนินการประชาสัมพันธ์ขององค์การธุรกิจ ซึ่งมีการแข่งขันสูง อาจจะใช้สื่อที่ไม่ต้องซื้อ (Free media ) และสื่อที่ต้องซื้อ (Paid media) เพื่อทำให้การเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับองค์การและผลิตภัณฑ์สามารถควบคุมวันเวลา เนื้อหาและควบคุมหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพทางการประชาสัมพันธ์สำหรับวิธีการเผยแพร่ข่าวสารในการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด มีหลายวิธีดังต่อไปนี้

    - การซื้อพื้นที่เขียนบทความ ( Advertorial ) เป็นการซื้อพื้นที่สื่อสิ่งพิมพ์ (หนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร) หรือซื้อเวลาของสือกระจายเสียงเพื่อเสนอบทความแฝงโฆษณษเอาไว้ เพื่อนำเสนอประเด็นหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ หรือบุคคลที่ต้องการจะประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายได้รู้จัก ซึ่งการเขียนบทความดังกล่าวจะนำเสนอข้อมูลที่เป็นความรู้แก่ผู้อ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่แฝงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ลงไปในบทความด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง นำเสนอความรู้ในการดูแลรักษาผิวหน้าพร้อมทั้งเสนอผลิตภัณฑ์ชุดบำรุงผิวใหม่แฝงไปด้วยการเผยแพร่ข่าวสาร ด้วยวิธีนี้จะได้ความน่าเชื่อถือจากกลุ่มเป้าหมายมากกว่าการโฆษณา แต่ไม่ควรใช้บ่อยเพราะจะทำให้ความรู้สึกว่าเป็นการโฆษณาทำให้ไม่น่าเชื่อถือ รวมทั้งต้องทำให้ดูกลมกลืนกับสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทนั้นๆ เช่น รูปคอลัมน์ รูปแบบตัวอักษร ฯลฯ


    - การให้ข่าวแฝงโฆษณา(Informatial ) หรือข่าวสังคมธุรกิจ (Business news) เป้นการให้ข่าวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบรษัทผ่านสื่อมวลชน เช่น ข่าวเปิดตัวสินค้าใหม่ ข่าวการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของบริษัทโดยการซื้อช่วงเวลาทางโทรทัศน์หรือซื้อพื้นที่ในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเพื่อลงข่าว


    - การนำเสนอภูมิหลังของสินค้า ( Backgrounders )โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของผลิตภัรฑ์และคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ ซึ่งการขยายภูมิหลังของสินค้าให้ผู้บริโภคได้ทราบจะทำให้เกิดความพอใจต่อผลิตภัณฑ์นั้น เช่น การกล่าวถึงเบื้องหลังของการค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้เวลนานถึง 10 ปีกว่าจะได้สินค้าที่ดีที่สุดออกมา รวมทั้งงบประมาณที่ใช้ในการค้นคว้าวิจัยการเผยแพร่ด้วยหรือการกล่าวถึงแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการผลิตสินค้าเป้นมาอย่างไร ทำให้สินค้ามีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นได้วิธีนี้สามารถกระทำผ่านสื่อมวลชนประเภทต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุและโทรทัศน์


    - การเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร ( Feature Article )เป็นการนำเสนอบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้ที่มีชื่อเสียงเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งไม่ได้เป็นการซื้อเนื้อที่เพื่อลงบทความ ( Advertorial ) แต่เป็นการที่บริษัทขอร้องให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้มีชื่อเสียงเขียนบทความเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ แล้วนำบทความนี้ไปลงในหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ เช่น ให้แพทย์ผู้รับวิตามินเป็นประจำเขียนบทความเกี่ยวกับประโยชน์จากการรับประทานวิตามิน เพื่อให้คนได้รู้จักและยอมรับผลิตภัณฑ์วิตามินที่บริษัทผลิตขึ้น


    - การให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ( Factshet )ด้วยการให้ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ เช่น รถยนต์ จะมีข้อมูลให้โดยบอกว่ากี่รงม้า กี่ซีซี น้ำหนัก ความสูง ความกว้าง ความยาว จุดเด่นทางสถิติ เช่น สถิติการขายสินค้า สถิติการซื้อวัตถุดิบภายในประเทศ ข้อมูลหล่านี้สามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวสินค้าได้


    - การสัมภาษณ์ ( Interviewing )เป็นการสัมภาษณ์บุคลกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แล้วนำคำสัมภาษณ์ไปเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่

    · การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งการสัมภาณ์นี้ต้องการให้ผู้ทรงคุณวุฒิช่วยอธิบายหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ขององค์การ เช่น สัมภาษณ์คณบดีคณะทันตแพทย์ศาสตร์เกี่ยวกับการใช้ยาสีฟัน ซึ่งคณบดีดังกล่าวเป็นผู้ที่ชื่นชอบและใช้ยาสีฟันที่บริษัทของเราผลิต


    · การสัมภาษณ์ผู้ทดลองใช้สินค้าแล้ว เป็นการสัมภาษณ์ลูกค้าที่ได้ทดลองใช้สินค้ามาแล้ว ซึ่งถือว่ามีประสบการณ์โดยตรงเป็นการสร้างความเชื่อถือต่อตัวสินค้าได้ เช่น สัมภาษณ์ผู้ซื้อรถยนต์ของบริษัท ฮอนด้าคาร์ ( ประเทศไทย ) จำกัด ถึงความคิดเห็นในการขับขี่รถยนต์ต่างๆ ของบริษัท


    - การส่งข่าวหรือแจกข่าวประชาสัมพันธ์ ( News release ) โดยส่งข่าวและภาพข่าวไปยังสื่อมวลชนให้เผยแพร่ให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ในปัจจุบันวิธีการนี้มักไม่ได้ผล องค์การธุรกิจจึงใช้วิธีการซื้อพื้นที่เพื่อเผยแพร่ข่าวหรือจัดแถลงข่าว (Press Conference) หรือจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ แล้วให้สื่อมวลชนมาหาข่าวเพื่อไปลงเผยแพร่เอง


    - การจัดทำจดหมายข่าว ( Newsletters ) บริษัทต่างๆ มักจะจัดทำจดหมายข่าวประเภทภายในเพื่อเผยแพร่กับกลุ่มพนักงาน หรือจดหมายข่าวภายนอกเพื่อส่งให้ลูกค้า จดหมายข่าวประเภทหลังจะใช้ในการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด โดยเนื้อหาของจดหมายข่าวจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น จดหมายข่าวของบริษัทที่ขายบ้านและที่ดิน ก็จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน การดูแลบ้าน จดหมายข่าวของบริษัทเตรื่องสำอาง จะประกอบด้วยบทความเกี่ยวกับการดูแลรักษาผิวหน้า รักษาสิว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ทำให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดีในการเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ เอาใจใส่ห่วงใยให้ความแนะนำที่ดีแก่ลูกค้า ทำให้มีการบอกต่อไปยังผู้อื่นซึ่งอาจจะกลายเป็นลูกค้าของเราในอนาคต


    - การจัดพาสื่อมวลชนชมกิจกรรม ( Press Tours ) การจัดกิจกรรมลักษณะนี้ถือเป็นการสร้างเหตุการณและให้ข่าวแก่สื่อมวลชน โดยการจัดพาสื่อมวลชนชมกิจกรรมของบริษัทพร้อมทั้งจัดทัศนศึกษาสถานที่ต่างๆ เป็นการให้สื่อมวลชนได้รับข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง เช่น เห็นแหล่งผลิต เห็นโรงงาน เห็นการผลิตสินค้าต่างๆของบริษัท แล้วนำข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวต่างๆที่พบเห็นนำเสนอสู่ประชาชน เช่น บริษัทไบเออร์ ( ประเทศไทย ) จำกัด นำผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อมไปทัศนศึกษายังประเทศเยอรมนีเพื่อเยี่ยมชมโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งเป็นโรงงานที่มีระบบรักษาสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนการผลิตและนำสื่อมวลชนทัศนศึกษายังสานที่สำคัญของประเทศเยอรมนี เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทและผลิตภัณฑ์ของบรษัท


    - การจัดแถลงข่าว ( Press Conference )เป็นการเชิญสื่อมวลชนมาร่วมรับฟังการแถลงข่าวเกี่ยวกับสินค้าใหม่ การบริการใหม่ การผลิตใหม่ๆ หรือต้องการชี้แจงการทำงาน การบริหารแบบใหม่ของบริษัทและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ซักถาม รวมทั้งจะต้องมีการแจกแฟ้มข้อมูล( Press Kits )ให้กับสื่อมวลชนเพื่อนำเอาไปประกอบเขียนข่าวด้วย

    16. การสอดแทรกผลิตภัณฑ์ในภาพยนต์หรือรายการทางโทรทัศน์ โดยให้ผู้แสดงใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทในการแสดงผ่านสื่อต่างๆ จะทำให้ชื้อและตราสินค้าปรากฏในการแสดง ซี่งแสดงโดยดารายอดนิยม และมีผลให้สินค้าได้รับความนิยมไปด้วย เช่น บริษัท Reese’s Pieces ผู้ผลิตขนมของสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการขาย เมี่อขนมที่บริษัทผลิตได้ไปปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง E.T. โดยตัวอีทีหยิบขนมขึ้นมารับประทานในภาพยนตร์ดังกล่าว


    17. การใช้สื่ออื่นๆ เช่น การจัดทำ Web Site ของบริษัท บอลลูน การพ่นสี และรูปภาพบนรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟ โดยใช้ภาพเกี่ยวกับสินค้าหรือตราสินค้า หรือสัญลักษณ์ของงานที่จัดขึ้น เช่น สายการบินแควนตัสพ่นสีเครื่องบินเป็นสัญลักษณ์กีฬาโอลิมปิกเพื่อการประชาสัมพันธ์ การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของประเทศออสเตรเลียหรือสวนสัตว์เปิดซาฟารีเวิลด์พ่นสีรถบัสรับ-ส่ง ผู้โดยสารที่จะเข้าชมสวนสัตว์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ พร้อมกับมีตัวเขียนว่าซาฟารีเวิลด์ด้วย


    18. การสำรวจความคิดเห็น ( Survey )เป็นการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคและข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถนำมาเป็นประเด็นในการกำหนดหรือสร้างสรรค์วิธีการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่นในยุคปัจจุบัน อาหารยอดนิยมของผู้คนหรือกลุ่มเป้าหมาย ลักษณะการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน สื่อใหม่ๆ ที่นำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารของบุคคล เป็นต้น


    การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ 
    (Integrated Marketing Communica-tion : IMC)



    ในนิยามของ IMC จะหมายถึง กระบวนการพัฒนาแผนงานการส่อสารการตลาดที่ต้องใช้การสื่อสารหลายรูปแบบกับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
    เป้าหมายของ IMC คือ การที่จะมุ่งเน้นสร้างพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยการพิจารณาวิธีการสื่อสารตราสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้รู้จักสินค้า ซึ่งจะนำไปสู่ความรู้ ความคุ้นเคยและมีความเชื่อมั่นในสินค้าแบรนด์เนมใดแบรนด์หนึ่ง เช่น การที่ TRUE แจกซิม True Move เพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายใช้Vote ผู้แข่งขันที่ชื่นชอบใน AF3

    หัวใจหลักของ IMC คือ การกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ใช่สร้างแค่การรับรู้ การจดจำหรือการยอมรับเท่านั้น

    ดังนั้น IMC จึงเป็นกระบวนการสื่อสารเพื่อจูงใจในระยะยาวและต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือหมายรูปแบบ เช่น โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ตลาดตรง การส่งเสริมการขาย การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า การตลาดเน้นกิจกรรม คอลเซ็นเตอร์ และอีเมล์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ต้อง