ตลาดหุ้นปีเสือทำท่าจะ กลายเป็น "เสือดุ" เล่นยากกว่าปี 2552 เยอะ หลังปีนี้ดัชนีราคาหุ้นทะยานขึ้นไปแล้วเกือบ "เท่าตัว" เข้าตำรา "ของถูกไม่ดี-ของดีไม่ถูก" ของดีและถูกวันนี้ "หายาก" มากขึ้นเรื่อยๆ
เซียนหุ้นคุณค่าระดับปรมาจารย์ของไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ถึงกับเอ่ยปากยอมรับตลาดหุ้นตอนนี้ “เต็มมูลค่า” ไปเกือบหมดแล้ว การเลือกหุ้นที่จะลงทุนระยะยาวทำได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือธนาคารพาณิชย์ก็ทำ "นิวไฮ" ไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
“จะซื้อหุ้นตอนนี้แล้วถือยาว 3 ปีมันก็ยังไม่ชัดเลย ยอมรับว่าหุ้นที่ตรงกับสเปคของแวลูอินเวสเตอร์มีน้อยลงไม่ครบทุกข้อ”
ที่สำคัญตลาดหุ้นปี 2553 "คงไม่มีแจ๊คพอต" เหมือนปีนี้ที่ขึ้นมาขาเดียวอีกแล้ว การปรับตัวก็จะไม่หวือหวา ถึงตรงนี้เศรษฐกิจโลกคงจะฟื้นตัวแน่ แต่ยังไม่รู้ว่าฐานจะแข็งแกร่งพอจะพยุงตลาดหุ้นได้แค่ไหน ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือเรื่องของ "อัตราดอกเบี้ย" แม้แนวโน้มจะขึ้นไม่เร็ว แต่ก็อาจทำให้ฟันด์โฟลว์ต่างชาติถอนหุ้นออกไปได้
กรณีของดูไบ เวิลด์ที่ผิดนัดชำระหนี้ ดร.นิเวศน์ เชื่อว่าผลกระทบไม่น่าลามจนเกิดเป็นวิกฤติอีกรอบเพราะดูไบมีสัดส่วนต่อ เศรษฐกิจโลกไม่สูงมาก แต่อาจจะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่าอาจจะเกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศจีน ความฮึกเหิมของนักลงทุนจะลดลง
กูรูหุ้นคุณค่ารายนี้ แนะนำว่า การเลือกหุ้นอย่ามองที่ค่าพี/อี เรโช เพียงอย่างเดียว เท่าที่สังเกตการณ์เห็นว่าหุ้นหลายตัวพี/อีถูกจริง แต่ค่า P/BV (ราคาต่อมูลค่าตามบัญชี) กลับไม่ต่ำ จุดนี้อันตรายเพราะไม่ได้ถูกจริง ถ้าจะซื้อหุ้นต้องเฟ้นมากๆ ให้ทั้งสองข้อนี้ (P/E, P/BV) สมดุลกัน อาจจะพอมีเหลือบ้างแต่เป็นหุ้นขนาดเล็กที่สภาพคล่องต่ำ
สำหรับหุ้นที่มีโอกาส "เทิร์นอะราวด์" ถึงตอนนี้แทบไม่เหลือแล้วยกเว้นหุ้น "กลุ่มท่องเที่ยว" ที่ราคายังพอ “สู้ได้” แต่ต้องเลือกกับความเสี่ยงว่าการท่องเที่ยวฟื้นกลับมาได้จริงหรือไม่
ถ้าคิดไม่ออกว่าจะเลือกซื้อหุ้นอะไร ลองจับตาที่ "กลุ่มสินค้าเกษตร" ตอนนี้ราคาน่าสนใจ รวมถึงกองทุน ETF ที่ไปลงทุนในหุ้น SET50 แต่ถ้าคิดจะเลือกหุ้นเป็นรายตัว ขอให้มั่นใจว่าพื้นฐานต้องดี อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้น และจ่ายเงินปันผลต้องน่าสนใจ
“กลยุทธ์ในปีหน้าคงต้องมองแบบพอเพียงอย่าหวังผลตอบแทนสูงๆ ถึงยังไงถ้าเลือกหุ้นดีๆ ผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ 10-15% ก็ยังสูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ”
มาถึงเซียนหุ้นร้อยล้าน "ก๋อย" ยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ เจ้าตัวออกปากว่าตลาดหุ้นปีหน้าต้องระวังเรื่อง “การเมือง” ให้มากๆ เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นแล้ว แต่ถ้าสีเหลืองสีแดงยังตีกันอยู่แบบนี้ต่างชาติไม่ชอบ
"ปีหน้าผมจะเปลี่ยนสไตล์มาเล่นหุ้นแบบอนุรักษนิยมมากขึ้น คงไม่บู๊ล้างผลาญ และคงถอนตัวจากหุ้นตัวใหญ่ เพราะฝรั่งซื้อๆ ขายๆ แบบนี้เวียนหัว (ทำกำไรยาก)"
แผนการลงทุนปีหน้า ก๋อยจะเลือกลงทุนหุ้นที่ "ภาครัฐ" เป็นฝ่ายออกมา "ให้ข่าว" อย่างเช่นหุ้นธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ที่จะเปิดประมูลขาย รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก "โครงการไทยเข้มแข็ง" หุ้นพวกนี้ต้อง "เล่นสั้น" และถือคติว่า "อย่าโลภ"
ยุทธพงษ์ ไม่ปิดบังว่าตอนนี้เริ่มทยอยเข้าเก็บหุ้น "กลุ่มสื่อสาร" ADVANC และ DTAC ไปแล้ว ไม่ว่าจะดึงเรื่องยังไงปีหน้า 3G ก็ต้องเกิดชัวร์! รีบเข้าเก็บหุ้นตอนนี้ยังพอมีช่องว่างให้ทำกำไร
อีกกลุ่มที่เริ่มสะสมแล้วคือ "กลุ่มอาหารส่งออก" TUF และ CPF ที่ผลการดำเนินงานดีมาก ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ แถมจ่ายปันผลสูงด้วย นอกจากนี้ "กลุ่มค้าปลีก" และ "โรงพยาบาล" ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน ส่วนหุ้นที่ยังมองว่าจะ "เทิร์นอะราวด์" ยังชอบหุ้น "กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์" ภาพรวมน่าจะขึ้นได้ยกแผงเพราะตอนลงก็ลงมาด้วยกัน แถมปีหน้ายังมีสตอรี่เรื่อง "อีโคคาร์" ให้เล่นอีก
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน ก๋อยส่ายหน้าโดยเฉพาะ BANPU ที่เล่นประจำ ปีหน้าอาจจะพักไว้ก่อนหุ้นขึ้นมามากเกินไป แล้วฝรั่งถือเยอะขายเมื่อไรจะ "ลงแรง" แต่อาจจะสลับมาเล่นรอบตัว LANNA แทน
ถามมุมมองต่อ SET Index ก๋อยยังเชื่อว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะ 800 จุด ส่วนปีหน้าช่วงกลางปีอาจขึ้นไปแตะ 900 จุดได้ แต่หลังจากนั้นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ถ้าคิดจะเล่นหุ้นตัวใหญ่ต้องคิดให้ละเอียดขึ้น ก่อนเปิดตลาดขอให้ดูสัญญา Long และ Short ประกอบถึงจะคาดเดาทิศทางได้ ยังย้ำคำเดิมได้กำไรแล้ว "ขอให้พอ" อย่าหวังทำกำไรเยอะๆ สุดท้ายจะ "เจ็บตัว"
ด้านกูรูฟันด์โฟลว์ วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ บอกว่า ปีหน้าต้องจับตา "สี่ปัจจัย" ที่จะมีผลต่อการลงทุน หนึ่ง.สภาพคล่อง สอง.มูลค่าหุ้น (ถูก-แพง) สาม.กำไรบริษัทจดทะเบียน (ฟื้นได้แค่ไหน) และ สี่.เม็ดเงินต่างชาติที่จะไหลเข้า ข้อนี้ "สำคัญที่สุด"
กูรูฟันด์โฟลว์ เชื่อว่า ไตรมาสแรกปี 2553 น่าจะเป็นช่วง "ดีที่สุด" สำหรับการลงทุน หลังจากนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะหยุดใส่เม็ดเงินเข้าระบบในเดือนมีนาคมปีหน้า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐและยุโรปจะขึ้นมาอยู่ที่ 3-4% ในเดือนธันวาคมปีนี้ ทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาสู่หุ้นและทองคำ และศูนย์วิจัยทิสโก้คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยไตรมาส 1 ปี 2553 จะโตที่สุดในรอบปีที่ประมาณ 5%
"คาดการณ์ว่าปีนี้ น่าจะเกิด January Effect หรืออาจจะเลื่อนออกไปเกิดในเดือนกุมภาพันธ์เป็นอย่างช้า แต่พอถึงไตรมาสสอง จะเกิดปรากฏการณ์เงินสกุลดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรและเยนจะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากตอนนี้เงินเยนแข็งค่าเกินความจริง น่าจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าหุ้นไทยน้อยลง"
ประกอบกับคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 2553 ส่วนของไทยคาดว่าจะขึ้นใน "ต้นไตรมาสสอง" ตลาดหุ้นก็จะตอบสนองด้วยการ “แตะเบรก” ทันที แต่ถ้าเกิดอีกกรณีถ้าเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเลยตลอดทั้งปีก็แปลว่า "เศรษฐกิจแย่กว่าที่คิด" ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนรุนแรงจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าออก มีโอกาสจะได้เห็นจุดสูงสุดและต่ำสุดบวกลบ 400 จุด ซึ่งกว้างกว่าปีนี้ที่บวกลบ 350 จุด
“ปีหน้า SET Index จะมีอัพไซด์ที่จำกัด เพราะปีนี้ขึ้นมาเยอะแล้ว จุดสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 815 จุด”
คำแนะนำในการลงทุน วิศิษฐ์ บอกขอให้เลือกหุ้นที่คาดว่าจะมี Earning Growth สูงๆ จะ Out Perform ตลาดมากกว่าหุ้นที่ราคายังต่ำอยู่ พอไตรมาสสองเปลี่ยนมาลงทุนหุ้น Defensive ไตรมาสสามมาลงตราสารหนี้
"ธีมการลงทุนปีหน้า ให้ลงหุ้นกลุ่มแบงก์ในไตรมาสแรกถึงสอง กลุ่มพลังงานยกเว้นปิโตรเคมีและพวก Soft Commodity อย่างสินค้าเกษตร แต่ต้องดูบริษัทที่ไม่ไปทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าราคาถูกๆ จะเสียโอกาสได้" กูรูฟันด์โฟลว์ แนะนำ
ทางฝั่งโบรกเกอร์อีกค่าย กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มอง SET Index ปีหน้าในลักษณะ "ไซด์เวย์อัพ" เป็นขาขึ้นแต่มีความ “ผันผวน” มากกว่าปีนี้ เพราะปีหน้าคนจะกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐว่าอาจไม่ฟื้นจริงรวมถึงการเมือง ไทยยังไม่สงบ
“ปีนี้ตลาดหุ้นขึ้นมาข้างเดียวแต่ปีหน้าจะมีทั้งขึ้น-ทั้งลงเพราะนักลง ทุนจะเฉยๆ กับข่าวดีแล้ว เราประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะสวิงตัวแรงในกรอบบวกลบ 200 จุด หรืออยู่ระหว่าง 600-800 จุด”
กวีเชื่อว่า SET Index จะถึงยอดเขาที่ 840 จุด ตัวขับเคลื่อนจะมาจากผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น ในแง่ราคาค่าพี/อี เรโชตลาดหุ้นไทยตอนนี้อยู่ที่ 11-12 เท่า ถ้ามองไปข้างหน้าพี/อี น่าจะไปถึง 14 เท่า เท่ากับก่อนเกิดวิกฤติยังมี "อัพไซด์" ให้เล่น
“แต่ถ้าพี/อี ขึ้นไปอยู่ที่ 14 เท่าเมื่อไรต้องระวังตัวอย่างยิ่ง สถิติเก่าบอกว่าเป็นจุดที่ถูกเทขายแน่”
ถามว่าเล่นหุ้นกลุ่มไหนดี กวีแนะนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพราะสินเชื่อฟื้นตัวแน่ และหุ้นกลุ่มพลังงานภายใต้ราคาน้ำมันที่จะอยู่ในระดับ 85 เหรียญต่อบาร์เรล รวมถึงกลุ่มค้าปลีก โรงแรม และโรงพยาบาล ส่วนที่ควรหลีกเลี่ยงคือพวกที่อยู่ในช่วงขาลงอย่าง "เดินเรือ" และ "ปิโตรเคมี" ที่จะ Under Perform ตลาดแน่นอน
ปิดท้ายที่มุมมองผู้จัดการกองทุน มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ มองภาพรวม SET Index ปีหน้า เส้นกราฟน่าจะเป็นรูป “ตัวเอ็มขาขวาขาด” มีความผันผวนในช่วงกลางปีแต่พอถึงไตรมาสสี่จะทะยานขึ้นอีกครั้ง
“กราฟน่าจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงต้นปี 2553 และจะเริ่มถอยหลังลงมาขึ้นอีกทีตอนเดือนกันยายนและจะไม่ลงมาอีกแล้ว”
เขาให้เหตุผลว่า หลังจากไปพูดคุยกับผู้บริหารเริ่มเห็นสัญญาออเดอร์จากต่างประเทศที่ชะลอตัว ลง ประกอบกับยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวจริง อาจทำให้เกิด Negative Surprise และเทขายหุ้นออกมา
“ช่วงไตรมาสสองอาจไม่มีข่าวดีเท่าไรพอถึงไตรมาสสามจะเริ่มมีออเดอร์ใหม่ กลับเข้ามาทำให้ไตรมาสสี่น่าจะได้เห็นตัวเลขผลประกอบการที่ดีขึ้นและหุ้นจะ ขึ้นไปได้อีก”
มนรัฐ บอกว่า จุดคุ้มทุนของต่างชาติรอบนี้อยู่ที่ 650 จุด ถ้า SET Index สูงกว่านี้ก็ยังมีโอกาสถูกทิ้งได้ ส่วนกรณีมาบตาพุดน่าจะเป็นความกังวลแค่เฉพาะหุ้นบางกลุ่ม เท่าที่สำรวจสถิติย้อนหลังแล้วมั่นใจว่า P/B ของหุ้นเครือ ปตท.ตอนนี้ "ยังไม่แพง" ถ้าดู P/E ตัว Earning ในปัจจุบันน่าจะถูกแล้ว แม้แต่เคสของ ปตท.สผ. แม้จะมีไฟไหม้ที่มอนทาราแต่เชื่อว่าไตรมาส 2-3 ปีหน้า จะเป็นช่วงพีคของการใช้น้ำมัน หุ้นกลุ่มนี้น่าจะขึ้นได้ “ยกแผง” และ Out Perform ตลาด
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุน ผู้จัดการกองทุนรายนี้ชี้ไปที่ "หุ้นที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ" เป็นหลัก เพราะเม็ดเงินจากโครงการไทยเข้มแข็ง 4 แสนล้านบาทมีความคาดหวังว่าจะสร้างเม็ดเงินในระบบได้เป็นสองเท่าหรือ 8 แสนล้านบาท
“หุ้นกลุ่มธนาคารน่าจะเริ่มเข้าได้ตั้งแต่ตอนนี้แล้วตามสถิติเก่าน่าจะ Out Perform ตลาด ส่วนหุ้นกลุ่มก่อสร้างและค้าปลีกก็น่าสนใจ”
ถ้าเฉพาะเจาะจงลงไปที่หุ้น SCC น่าจะได้รับอิทธิพลจากโครงการไทยเข้มแข็ง "ครึ่งหนึ่ง" และขาลงของปิโตรเคมี "ครึ่งหนึ่ง" ปัจจัยเสี่ยงปีหน้าต้องจับตาซัพพลายใหม่จากอินเดียและตะวันออกกลางที่จะ เพิ่มเข้ามา แต่เชื่อว่าการบริโภคในประเทศน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่มีน้ำหนักมากกว่า
แล้วหุ้นที่ไม่น่าลงทุน มนรัฐ บอกว่า ปีหน้าตลาดหุ้นไทยจะมี “สตอรี่” ให้เล่นเยอะ ดังนั้นหุ้นที่ไม่มีข่าวดีสนับสนุนก็ไม่ควรไปเล่น เช่นหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ที่น่าจะเทิร์นอะราวด์ได้ แต่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ออเดอร์อาจจะจบแค่ช่วงคริสต์มาสนี้ก็ได้
มนรัฐ ยกสถิติย้อนหลังมาทำนายอนาคต SET Index มีโอกาสขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 750-800 จุด ถ้าคำนวณค่าพี/อีเรโชในอนาคตนับจากไตรมาสแรก 2553 จะอยู่ที่ P/E 13-14 เท่า แต่ถ้าคิดแบบย้อนหลัง 4 ไตรมาสจะอยู่ที่ 15-16 เท่า ถ้าขึ้นไปมากกว่านี้ต้องใช้วิจารณญาณอย่างยิ่งยวด เพราะมีโอกาสจะถูกเทขายอย่างมาก
"ถ้ามองข้ามช็อตไปถึงปี 2554 ต้องจับตาที่ตัวอัตราเงินเฟ้อรวมถึงเรื่องเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ถ้าเกิดสองสิ่งนี้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะหุ้นจะกลัวเป็นพิเศษ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น