กลยุทธ์การขายของเซียน
แล้วจะขายเมื่อไหร่ดี?
เป็นคำถามที่สั้น กระชับ และดูเหมือนง่ายสำหรับนักลงทุนที่ชำนาญแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว ปัญหานี้ทำให้มึนตึ๊บเลยทีเดียวครับ ผมเองเคยประสบปัญหาที่ว่านี้เหมือนกันเมื่อครั้งเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ หรือแม้แต่ทุกวันนี้จะพอมีประสบการณ์บ้างแล้ว แต่บ่อยครั้งที่ผมต้องหยิบตำราของปราชญ์ด้านการลงทุนขึ้นมาอ่านทบทวนอยู่ บ่อยๆเพื่อตอกย้ำความเข้าใจหลักการในเรื่องนี้ โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีความรู้สึกแวบเข้ามาว่าอยากขายหุ้น การซื้อหุ้นลงทุนมาแล้วคำถามที่เกิดก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาขาย แล้วจะขายอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด หากขายไม่ถูกจังหวะเวลาจะมีผลให้ผลตอบแทนต่ำไปด้วย ผมลองเรียบเรียงหลักการของปราชญ์ด้านการลงทุนที่กล่าวถึงหลักการขายหุ้น มาเล่าให้ฟังนะครับ
PHILIP A. FISHER
(COMMON STOCK AND UNCOMMON PROFITS)
วัตถุประสงค์ของการขายหุ้นเพียงประการเดียว ที่มีแรงจูงใจในการขายหุ้นก็คือขายอย่างไรให้ทำกำไรสูงที่สุดจากเม็ดเงินที่ นักลงทุนได้ลงทุนไป
โดยปราชญ์ท่านนี้กล่าวว่ามีเหตุผล3ข้อของการขายหุ้น
1)เมื่อตรวจพบอย่างชัดเจนว่าเกิดการซื้อที่ผิดพลาด และมีหลักฐานชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทนั้นแย่ กว่าที่คิดไว้ในตอนแรก ไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ตามต้องตัดใจขาย กล้าที่จะ cut loss ทันที อย่ารอโดยหวังว่าราคาที่มันลงไปจะกลับคืนมาเท่าทุนที่ซื้อ นักลงทุนต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของการตัดสินใจของตนเอง และรอไปเรื่อยๆไม่กล้าที่จะขาย จนในที่สุด ความเสียหายอย่างหนักก็เกิดขึ้น จงขายแล้ว เก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน
2)ขายเมื่อบริษัทเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เข้ากฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ 15ข้อ คือ
2.1)บริษัทไม่มีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการ เพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายๆปี
2.2)ฝ่ายจัดการหมดความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตอย่างต่อ เนื่อง ที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
2.3)ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทด้อยลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบ กับขนาดของบริษัทและบริษัทของคู่แข่ง หรือบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2.4)บริษัทมีศักยภาพของหน่วยงานขายที่ย่ำแย่ลงกว่าค่าเฉลี่ย และไม่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง 2.5)บริษัทมีกำไรต่อยอดขายไม่คุ้มค่าและด้อยลงกว่าบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทคู่แข่ง
2.6)บริษัทไม่ทำอะไร หรือไม่มีแผนการจะทำอะไรเพื่อรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายสูงขึ้น
2.7)บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่ไม่โดดเด่น หรือสหภาพแรงงานสัมพันธ์แย่ลง ก่อให้เกิดการหยุดงาน หรือประท้วง
2.8)บริษัทที่ความสัมพันธ์ของผู้บริหารในองค์กรดูเสื่อมทรามลง หรือมีความขัดแย้งในบริษัท
2.9)บริษัทมีฝ่ายบริหารไม่เพียงพอ หรือไม่มีการพัฒนาผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง
2.10)ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทไม่ดีและส่อไปในทางแย่ลง
2.11)บริษัทสูญเสียความโดดเด่นในคุณลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม เช่น
- กิจกรรมที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการค้าปลีกคือระดับของทักษะที่บริษัทมีในการ จัดการเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการและควบคุมการหมุนเวียนของสต็อกสินค้า
- การวิเคราะห์กิจการและการติดตามเร่งรัดหนี้สิน เป็นคุณสมบัติเด่นของกลุ่มธนาคาร เป็นต้น
2.12)บริษัทมีภาพระยะสั้นและระยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทที่ไม่ชัดเจน
2.13)การเจริญเติบโตของบริษัทต้องการเงินจากผู้ถือหุ้นหรือไม่ หากต้องเพิ่มทุนจะไปมีผล dilution effect มากน้อยอย่างไร
2.14)เมื่อพบว่าผู้บริหารเปิดเผยเมื่อกิจการดีแต่หมกเม็ดเมื่อกิจการมีปัญหา
2.15)บริษัทมีฝ่ายจัดการที่ไม่โปร่งใส
3)ขายเมื่อพบการลงทุนในบริษัทอื่นน่าสนใจกว่า,มีอนาคตกว่าและมั่นใจว่าให้ผลตอบแทนดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ประโยคสำคัญ FISHER กล่าวว่า "ถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณอย่างดีตอนที่คุณซื้อหุ้น เวลาที่จะขายก็คือ เกือบจะไม่มีวันขาย"
วอร์เรน บัฟเฟตต์
- ปรัชญาการลงทุนของปราชญ์ท่านนี้คือลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ได้เปรียบเชิง แข่งขันอย่างยั่งยืน(durable competitive advantage)แล้วถือไว้เป็นระยะเวลานานๆ
- ขายที่จุดสูงสุดของตลาดและตลาดให้ราคาที่สูงมากพอ เช่น
กรณีตัวอย่างที่1ช่วง ตลาดฟองสบู่สุดๆในปี1969 หุ้นท่าถือ p/e ขึ้นไป 50เท่า ขายล้างพอร์ต แล้วออกจากตลาดและบอกหุ้นส่วนของเขาว่าไม่สามารถจะหาซื้อหุ้นที่มีคุณค่าน่า ซื้อได้อีกต่อไป
กรณีตัวอย่างที่2 เกิดขึ้นในปี1998 ช่วงนั้นหุ้นหลายๆตัวในพอร์ตเบิร์กไซร์ มีค่า p/e ขึ้นไป50เท่า หรือมากกว่า ท่านเลยขายหุ้นโดยวิธีการพิเศษคือเอาไปแลกกับบริษัทประกันภัยซึ่งขนาดใหญ่ ที่มีเงินสดจำนวนมาก โดยการขายครั้งนี้ทำให้ขายหุ้นได้ราคาเพิ่มขึ้นจากพอร์ตธรรมดาและไม่ต้อง เสียภาษีอีกต่างหาก
-เอา คาดการณ์ผลตอบแทนผลกำไรใน10ปีข้างหน้าของบริษัทรวมกันมาเปรียบเทียบกับผลตอบ แทนของหุ้นกู้หรือผลตอบแทนของพันธบัตร หากสูงกว่าถือต่อ หากต่ำกว่าขายซะ
- มีโอกาสซื้อที่น่าสนใจกว่า แต่จงจำไว้ว่า อย่าขายดอกไม้แล้วไปซื้อวัชพืช
- ขายเมื่อธุรกิจหรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
- ขายเมื่อราคาหุ้นปรับสูงขึ้นจนถึงราคาเป้าหมาย
การ ลงทุนก็คงเหมือนกับการค้าขายกระมังครับ หากซื้อแล้วขายไม่เป็นหรือขายไม่ถูกจังหวะตอบแทนที่ได้ก็คงไม่ดีเท่าที่ควร กลยุทธ์เหล่านี้เป็นหลักแนวความคิดและการปฏิบัติที่ปราชญ์ท่านว่าไว้ ส่วนเทคติกที่เป็นรายละเอียดและความชำนาญและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติก็คง ต้องฝึกปรือกันไปให้ชำนาญ
ขายง่าย ข่ายคล่อง ต้องขายผ่าน ONLINE !!
การขาย เทคนิคการขาย
เบื่อไหมกับการขายที่ต้องคอยง้อลูกค้า คอยเอาอกเอาใจ ต้องเตรียมการขาย เข้าพบลูกค้า ติดตามอย่างยาวนานกว่าจะปิดการขายได้แต่ละรายแสนยากเย็น
จะดีไหมหากต่อไปนี้มีลูกค้าเดินเข้ามาหาคุณเอง เพิ่มความสะดวกและราบรื่นให้กับการขายของคุณมากยิ่งขึ้น ปิดการขายได้ง่ายขึ้น และเพิ่มยอดขายคุณให้กระฉูดเหนือใคร ๆ
การตลาดอะไรในยุคปัจจุบันที่ช่วยให้คุณขายของได้อย่างง่ายดาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งประเทศ ... Google คือคำตอบของคุณ !! นั่งเฉย ๆ ลูกค้าก็มาหา ด้วยบริการ Search Engine Optimization (SEO) และบริการลงโฆษณาผ่านเว็บ Google … คุณจะได้รับลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุดเพราะเขาค้นหาสินค้าเหล่านั้น ด้วยมือเขาเอง ทำให้คุณปิดการขายได้ง่ายที่สุด เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทยกว่า 10 ล้านคน
เว็บไซต์ของคุณคือพนักงานขายชั้นเลิศ !!! ยิ่งดึงลูกค้าเข้าเว็บคุณมากเท่าไร คุณก็จะได้รับยอดขายมากเท่านั้น !
สรุปจุดแข็งของการขายผ่านระบบออนไลน์ คือ
1. รองรับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2. ลูกค้าเดินเข้ามาหาคุณเอง คุณจึงเหนื่อยน้อยลง และปิดการขายได้ง่ายขึ้น
3. จับจอง Google เหมือนจับจองทำเลทอง รอให้คนไทยกว่า 90% คนหาสินค้าของคุณ
4. ใช้งบประมาณการขายน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ มาก
5. วัดผลได้ชัดเจน ประเมินผลง่าย ทุกอย่างออกมาด้วยระบบสถิติที่แม่นยำ
หยุดแนวคิดแบบเดิม ๆ ด้วยแนวทางใหม่ ๆ ที่ท้าทายให้คุณพิสูจน์ !!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น