Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การขาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การขาย แสดงบทความทั้งหมด

+ เทคนิคการขาย

เทคนิคการขาย

เทคนิค การขาย (Selling Technique) คือ วิธีการขายที่พนักงานขาย ใช้ความสามารถส่วนตัวหรือใช้ศิลปะในการชนะใจลูกค้า โดยให้ความรู้สึกว่าลูกค้านั้นมีความสำคัญต่อผู้ขายมาก ให้ความชื่นชม ให้ความนับถือและให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าให้มากที่สุด พนักงานขายที่ประสบความสำเร็จในอาชีพขายมีวิธีการใช้เทคนิคแตกต่างกันเช่น
- ความสามารถในการจำชื่อลูกค้าได้แม่นยำแสดงให้เห็นว่าลูกค้าเป็นคนสำคัญและถือเป็นการให้เกียรติยกย่องด้วย
- ความสามารถในการเลือกคำพูดที่สั้นกะทัดรัด เหมาสะ เช่น ไม่รวยก็สวยได้จิ๋วแต่แจ๋ว ฯลฯ
- ให้ลูกค้าทดลองฟรี ซื้อไปแล้วไม่ชอบใจเอามาคืนหรือเปลี่ยนเป็นสินค้าชนิดอื่นได้เหมาะกับสินค้าออกใหม่
- ความสามารถในการทำให้ความฝันของลูกค้ากลายเป็นความจริงได้ เช่น อยากมีบ้าน อยากมีรถ ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ทำให้เกิดภาพลบ เช่น
“ผมไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้จะพอใจคุณหรือเปล่า”
“ผมคิดว่าคุณคงไม่ไปให้เจ้าอื่นเขาหลอกนะครับ”
“ถ้าคุณไม่คิดให้ลึกคุณคงไม่ซื้อของยี่ห้อนี้”
ฯลฯ

ขั้นตอนของเทคนิคการขาย
1. การแสวงหารายชื่อลูกค้าอนาคต (Prospecting) เทคนิคขั้นแรกนี้พนักงานขายต้องพยายามหารายชื่อลูกค้าอนาคตให้ได้ใช้วิธีการ ต่าง ๆ ดังนี้
- วิธีโซ่ไม่มีปลายหรือวิธีการ “ปากต่อปาก” เหมาะกับสินค้าสัมผัสไม่ได้ หรือสินค้าพิเศษ เช่น การบริการของหมอ ยาบำรุง
- ใช้ศูนย์อิทธิพลหรือชมรม สมาคมที่เป็นที่ยอมรับของชุมชน ฯลฯ
- วิธีการจัดแสดงสินค้า จะได้รายชื่อจากผู้เข้าชมงาน กรอกประวัติ ฯลฯ
- วิธีการสังเกตส่วนตัว โดยสังเกตจากลุ่มคนที่พนักงานขายร่วมสังสรรค์ หรือจากสื่อมวลชน จากสถานที่สำนักงานที่มีกลุ่มคนมากมาย ฯลฯ

ประโยชน์ของการแสวงหารายชื่อลูกค้าอนาคต
1) เป็นการประหยัดเวลาที่มีอยู่จำกัดในการเลือกลูกค้าอนาคตว่ามีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากน้อยเพียงใด
2) เป็นการหาคำตอบว่าลูกค้าอนาคตต้องการสินค้าและบริการประเภทใด ลักษณะใด ที่จะมีประโยชน์ต่อลูกค้าอนาคตมากที่สุด
3) เป็นการกลั่นกรองลูกค้าอนาคตว่ามีฐานะหรือรายได้พอที่จะซื้อสินค้าและบริการได้มากน้อยเพียงใด

2. การเตรียมตัวก่อนเข้าพบ (Preapproach) หมายถึง การเตรียมความพร้อม
พนักงานขายในด้านจิตใจมุ่งมั่น พร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบอีกทั้งเตรียมตัวด้านร่างกายต้องแต่งตัวสุภาพ เรียบร้อยเหมาะสมกับรูปร่างและบุคลิกของตนเอง ที่สำคัญควรมีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของลูกค้าอนาคตตลอดจนอุปกรณ์ ที่จำเป็นในการสาธิตและต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนออกเดินทางว่าเตรียมพร้อม ทุกอย่างแล้วจริงหรือไม่

ประโยชน์ของการเตรียมตัวก่อนเข้าพบ
1) ช่วยกำหนดวิธีการเข้าพบลูกค้าอนาคตได้อย่างเหมาะสม
2) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการที่จะเข้าพบลูกค้า
3) ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เช่น จำชื่อเล่นผิด

3. การเข้าพบ (Appoach) เป็นขั้นที่พนักงานขายต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าเป็นขั้นที่มีความสำคัญมากที่ จะกระตุ้นหรือจูงใจ ให้ลูกค้าเกิดความสนใจและประทับใจเป็นครั้งแรก (Firstimpression) วิธีการเข้าพบลูกค้ามีเทคนิคและวิธีการหลายรูปแบบ ดังนี้
1) การเข้าพบด้วยการแนะนำตนเอง
2) การเข้าพบโดยอ้างถึงบุคคล
3) การเข้าพบโดยการยกย่อง
4) การเข้าพบโดยใช้สินค้านำเสนอ
5) การเข้าพบโดยให้ของตอบแทน

ประโยชน์ของการเข้าพบลูกค้าอนาคต
1) เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์และบุคลิกภาพของพนักงานขาย
2) เพื่อให้ลูกค้าประหยัดเวลาอันมีค่าของตนเองแทนการออกไปหาความรู้เอง
3) เพื่อสร้างความสนใจ ให้ข้อมูลสินค้าใหม่ ๆ
4) เพื่อให้พนักงานขายทราบข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า

เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยให้เห็นว่าสินค้าและบริการมีองค์ประกอบ และวิธีการใช้
การนำเสนอขายสินค้าแบ่งออกได้ดังนี้ คือ
1) การนำเสนอเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
2) การนำเสนอเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเข้าใจง่าย
3) การนำเสนอเอให้เกิดความสมบูรณ์
4) การนำเสนอเพื่อขจัดคู่แข่งขัน

5. การปฏิบัติต่อข้อโต้แย้ง (Heandling Objection) หมายถึง การขจัดปัญหาหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างพนักงานขายกับลูกค้าเกี่ยว กับสินค้าที่กำลังเสนอขาย
เทคนิคในการปฏิบัติข้อโต้แย้งมีดังนี้
1) วิธีตอบปฏิเสธโดยตรง
2) วิธีตอบปฏิเสธทางอ้อม
3) วิธีตอบโต้การใช้คำถาม
4) วิธีอธิบายย้อนกลับ

6. การปิดการขาย (Closing the Sales) เป็นเทคนิควิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจ
ซื้อสินค้าหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง
เทคนิควิธีการปิดการขายมีดังนี้
1) การปิดการขายโดยการให้ของแถม
2) การปิดการขายโดยเสนอทางเลือกให้ตัดสินใจ
3) การปิดการขายโดยให้โอกาสสุดท้ายเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า
ฯลฯ
7. การติดตามผลและบริการหลังการขาย (After Sales Activities) คือ การตรวจสอบว่าสินค้าที่ขายไปแล้สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้ามากน้อยเพียงใด

กลยุทธ์การขายของเซียน

กลยุทธ์การขายของเซียน

แล้วจะขายเมื่อไหร่ดี?
เป็นคำถามที่สั้น กระชับ และดูเหมือนง่ายสำหรับนักลงทุนที่ชำนาญแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว ปัญหานี้ทำให้มึนตึ๊บเลยทีเดียวครับ ผมเองเคยประสบปัญหาที่ว่านี้เหมือนกันเมื่อครั้งเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ หรือแม้แต่ทุกวันนี้จะพอมีประสบการณ์บ้างแล้ว แต่บ่อยครั้งที่ผมต้องหยิบตำราของปราชญ์ด้านการลงทุนขึ้นมาอ่านทบทวนอยู่ บ่อยๆเพื่อตอกย้ำความเข้าใจหลักการในเรื่องนี้ โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีความรู้สึกแวบเข้ามาว่าอยากขายหุ้น การซื้อหุ้นลงทุนมาแล้วคำถามที่เกิดก็คือ แล้วเมื่อไหร่จะถึงเวลาขาย แล้วจะขายอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด หากขายไม่ถูกจังหวะเวลาจะมีผลให้ผลตอบแทนต่ำไปด้วย ผมลองเรียบเรียงหลักการของปราชญ์ด้านการลงทุนที่กล่าวถึงหลักการขายหุ้น มาเล่าให้ฟังนะครับ


PHILIP A. FISHER
(COMMON STOCK AND UNCOMMON PROFITS)
วัตถุประสงค์ของการขายหุ้นเพียงประการเดียว ที่มีแรงจูงใจในการขายหุ้นก็คือขายอย่างไรให้ทำกำไรสูงที่สุดจากเม็ดเงินที่ นักลงทุนได้ลงทุนไป

โดยปราชญ์ท่านนี้กล่าวว่ามีเหตุผล3ข้อของการขายหุ้น
1)เมื่อตรวจพบอย่างชัดเจนว่าเกิดการซื้อที่ผิดพลาด และมีหลักฐานชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทนั้นแย่ กว่าที่คิดไว้ในตอนแรก ไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ตามต้องตัดใจขาย กล้าที่จะ cut loss ทันที อย่ารอโดยหวังว่าราคาที่มันลงไปจะกลับคืนมาเท่าทุนที่ซื้อ นักลงทุนต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของการตัดสินใจของตนเอง และรอไปเรื่อยๆไม่กล้าที่จะขาย จนในที่สุด ความเสียหายอย่างหนักก็เกิดขึ้น จงขายแล้ว เก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน

2)ขายเมื่อบริษัทเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เข้ากฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ 15ข้อ คือ
2.1)บริษัทไม่มีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการ เพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายๆปี
2.2)ฝ่ายจัดการหมดความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตอย่างต่อ เนื่อง ที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
2.3)ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทด้อยลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบ กับขนาดของบริษัทและบริษัทของคู่แข่ง หรือบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2.4)บริษัทมีศักยภาพของหน่วยงานขายที่ย่ำแย่ลงกว่าค่าเฉลี่ย และไม่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง 2.5)บริษัทมีกำไรต่อยอดขายไม่คุ้มค่าและด้อยลงกว่าบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทคู่แข่ง
2.6)บริษัทไม่ทำอะไร หรือไม่มีแผนการจะทำอะไรเพื่อรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายสูงขึ้น
2.7)บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่ไม่โดดเด่น หรือสหภาพแรงงานสัมพันธ์แย่ลง ก่อให้เกิดการหยุดงาน หรือประท้วง
2.8)บริษัทที่ความสัมพันธ์ของผู้บริหารในองค์กรดูเสื่อมทรามลง หรือมีความขัดแย้งในบริษัท
2.9)บริษัทมีฝ่ายบริหารไม่เพียงพอ หรือไม่มีการพัฒนาผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง
2.10)ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทไม่ดีและส่อไปในทางแย่ลง
2.11)บริษัทสูญเสียความโดดเด่นในคุณลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม เช่น
- กิจกรรมที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการค้าปลีกคือระดับของทักษะที่บริษัทมีในการ จัดการเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการและควบคุมการหมุนเวียนของสต็อกสินค้า
- การวิเคราะห์กิจการและการติดตามเร่งรัดหนี้สิน เป็นคุณสมบัติเด่นของกลุ่มธนาคาร เป็นต้น
2.12)บริษัทมีภาพระยะสั้นและระยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทที่ไม่ชัดเจน
2.13)การเจริญเติบโตของบริษัทต้องการเงินจากผู้ถือหุ้นหรือไม่ หากต้องเพิ่มทุนจะไปมีผล dilution effect มากน้อยอย่างไร
2.14)เมื่อพบว่าผู้บริหารเปิดเผยเมื่อกิจการดีแต่หมกเม็ดเมื่อกิจการมีปัญหา
2.15)บริษัทมีฝ่ายจัดการที่ไม่โปร่งใส

3)ขายเมื่อพบการลงทุนในบริษัทอื่นน่าสนใจกว่า,มีอนาคตกว่าและมั่นใจว่าให้ผลตอบแทนดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ประโยคสำคัญ FISHER กล่าวว่า "ถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณอย่างดีตอนที่คุณซื้อหุ้น เวลาที่จะขายก็คือ เกือบจะไม่มีวันขาย"

วอร์เรน บัฟเฟตต์
- ปรัชญาการลงทุนของปราชญ์ท่านนี้คือลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ได้เปรียบเชิง แข่งขันอย่างยั่งยืน(durable competitive advantage)แล้วถือไว้เป็นระยะเวลานานๆ
- ขายที่จุดสูงสุดของตลาดและตลาดให้ราคาที่สูงมากพอ เช่น

กรณีตัวอย่างที่1ช่วง ตลาดฟองสบู่สุดๆในปี1969 หุ้นท่าถือ p/e ขึ้นไป 50เท่า ขายล้างพอร์ต แล้วออกจากตลาดและบอกหุ้นส่วนของเขาว่าไม่สามารถจะหาซื้อหุ้นที่มีคุณค่าน่า ซื้อได้อีกต่อไป

กรณีตัวอย่างที่2 เกิดขึ้นในปี1998 ช่วงนั้นหุ้นหลายๆตัวในพอร์ตเบิร์กไซร์ มีค่า p/e ขึ้นไป50เท่า หรือมากกว่า ท่านเลยขายหุ้นโดยวิธีการพิเศษคือเอาไปแลกกับบริษัทประกันภัยซึ่งขนาดใหญ่ ที่มีเงินสดจำนวนมาก โดยการขายครั้งนี้ทำให้ขายหุ้นได้ราคาเพิ่มขึ้นจากพอร์ตธรรมดาและไม่ต้อง เสียภาษีอีกต่างหาก
-เอา คาดการณ์ผลตอบแทนผลกำไรใน10ปีข้างหน้าของบริษัทรวมกันมาเปรียบเทียบกับผลตอบ แทนของหุ้นกู้หรือผลตอบแทนของพันธบัตร หากสูงกว่าถือต่อ หากต่ำกว่าขายซะ
- มีโอกาสซื้อที่น่าสนใจกว่า แต่จงจำไว้ว่า อย่าขายดอกไม้แล้วไปซื้อวัชพืช
- ขายเมื่อธุรกิจหรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
- ขายเมื่อราคาหุ้นปรับสูงขึ้นจนถึงราคาเป้าหมาย

การ ลงทุนก็คงเหมือนกับการค้าขายกระมังครับ หากซื้อแล้วขายไม่เป็นหรือขายไม่ถูกจังหวะตอบแทนที่ได้ก็คงไม่ดีเท่าที่ควร กลยุทธ์เหล่านี้เป็นหลักแนวความคิดและการปฏิบัติที่ปราชญ์ท่านว่าไว้ ส่วนเทคติกที่เป็นรายละเอียดและความชำนาญและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติก็คง ต้องฝึกปรือกันไปให้ชำนาญ


ขายง่าย ข่ายคล่อง ต้องขายผ่าน ONLINE !!
การขาย เทคนิคการขาย

เบื่อไหมกับการขายที่ต้องคอยง้อลูกค้า คอยเอาอกเอาใจ ต้องเตรียมการขาย เข้าพบลูกค้า ติดตามอย่างยาวนานกว่าจะปิดการขายได้แต่ละรายแสนยากเย็น

จะดีไหมหากต่อไปนี้มีลูกค้าเดินเข้ามาหาคุณเอง เพิ่มความสะดวกและราบรื่นให้กับการขายของคุณมากยิ่งขึ้น ปิดการขายได้ง่ายขึ้น และเพิ่มยอดขายคุณให้กระฉูดเหนือใคร ๆ

การตลาดอะไรในยุคปัจจุบันที่ช่วยให้คุณขายของได้อย่างง่ายดาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งประเทศ ... Google คือคำตอบของคุณ !! นั่งเฉย ๆ ลูกค้าก็มาหา ด้วยบริการ Search Engine Optimization (SEO) และบริการลงโฆษณาผ่านเว็บ Google … คุณจะได้รับลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุดเพราะเขาค้นหาสินค้าเหล่านั้น ด้วยมือเขาเอง ทำให้คุณปิดการขายได้ง่ายที่สุด เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทยกว่า 10 ล้านคน

เว็บไซต์ของคุณคือพนักงานขายชั้นเลิศ !!! ยิ่งดึงลูกค้าเข้าเว็บคุณมากเท่าไร คุณก็จะได้รับยอดขายมากเท่านั้น !

สรุปจุดแข็งของการขายผ่านระบบออนไลน์ คือ

1. รองรับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2. ลูกค้าเดินเข้ามาหาคุณเอง คุณจึงเหนื่อยน้อยลง และปิดการขายได้ง่ายขึ้น
3. จับจอง Google เหมือนจับจองทำเลทอง รอให้คนไทยกว่า 90% คนหาสินค้าของคุณ
4. ใช้งบประมาณการขายน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ มาก
5. วัดผลได้ชัดเจน ประเมินผลง่าย ทุกอย่างออกมาด้วยระบบสถิติที่แม่นยำ

หยุดแนวคิดแบบเดิม ๆ ด้วยแนวทางใหม่ ๆ ที่ท้าทายให้คุณพิสูจน์ !!

+ เทคนิคการปิดการขาย

การขายในยุคการแข่งขันสูงที่ควบคู่กับเศรษฐกิจฝืดๆ แบบนี้ คงยากหรือไม่ก็ตัดสินใจนาน กว่าที่ลูกค้าจะยอมควักเงินออกจากกระเป๋ามาซื้อสินค้าของคุณ เราเลยมีสูตรการปิดการขายที่ควรลองนำไปใช้ดู ไม่แน่ยอดขายของคุณอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้

เทคนิคการปิดการขายยุคนี้ อาจต้องอาศัยเรื่องของโปรโมชั่นหนักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นลด แลก แจก หรือแถม ล้วนสร้างแรงกระตุ้นและจูงใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี แต่ทีนี้ คุณอาจต้องมีลูกเล่นในการเสนอโปรโมชั่นต่อลูกค้าที่แยบยลสักนิด

สำหรับเทคนิคแรกที่แนะนำก็คือ กลยุทธ์ “ของแถม” นั่นเอง ถือเป็นกลยุทธ์ที่ถูกใช้ในการปิดการขายที่อมตะนิรันดร์กาลมาก เพราะถูกใช้มาทุกยุคทุกสมัย เพราะใครๆ ก็ชอบของแถม ไม่ว่าจะเป็นของแถมที่มีมูลค่าสูงหรือของแถมเล็กๆ น้อยๆ เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองได้รับอะไรที่คุ้มค่ามากกว่าปกติ แต่รูปแบบของแถมอาจเปลี่ยนไปตามกาลเทศะและความเหมาะสม ซึ่งคุณ

1. Give people deadline to order.
ต้องมีการกำหนด วันสิ้นสุดโปรโมชั่น เช่น บอกลูกค้าว่า ถ้าซื้อก่อนสิ้นเดือนนี้ จะได้ราคาพิเศษ หรือได้ของแถม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ซื้อทำการตัดสินใจซื้อโดยเร็ว ภายในเงื่อนกำหนดเวลานั้น

2. Offer people a money back guarantee.
“รับประกัน ไม่พอใจยินดีคืนเงิน” เป็นข้อเสนอที่ควรจะมีไว้ให้ลูกค้า หากคุณมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นในตัวสินค้าของลูกค้า และหากคุณมีสินค้าที่มีคุณภาพดีจริงๆ การรับประกันจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น แต่ควรกำหนดช่วงเวลาไว้ด้วย เช่น 30 วัน , 60 วัน , 1 ปี หรือ ตลอดอายุการใช้งาน

3. Offer a free on-site repair service for products you sell.
เมื่อ ลูกค้าคิดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเมื่อสินค้าไม่สามารถใช้งานได้ อาจจะต้องนำสินค้าส่งซ่อมที่ศูนย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่อยากเจอจริงๆ ดังนั้น การเสนอเงื่อนไขนี้ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และช่วยเพิ่มความมั่นใจ และแก้ปัญหาให้ลูกค้าในอนาคตได้ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้เร็วยิ่ง ขึ้น

4. Publish testimonials on your ad copy.
ใส่คำชมของลูกค้าที่เคย ใช้งานสินค้ามาแล้ว ไว้ในโฆษณาด้วย ข้อมูลเหล่านี้จะให้ความน่าเชื่อถือได้ดี หากมีจำนวนยิ่งมากเท่าใด ยิ่งดี ข้อสำคัญคือ ต้องใช้ ข้อมูลจริง ชื่อนามสกุลจริง ที่อยู่ หรือ บริษัทจริงๆ และหากเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น

5. Give people free bonuses.
ของแถมใครๆ ก็ชอบ ควรจะมีของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า ได้มากกว่า ที่เสียไป เช่น หนังสือที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ซื้อโน้ตบุ๊ค แถมหนังสือ ดูแลโน้ตบุ๊ค อย่างถูกวิธี , ซื้อบ้านมือสอง จัดแต่งสวนตามความชอบ เป็นต้น

6. Allow people to make money reselling the product or service.
ควร เปิดโอกาสให้ลูกค้า สามารถได้รับเปอร์เซ็นต์ จากการแนะนำให้เพื่อนๆ ให้ซื้อสินค้าหรือบริการ ในภายหลังได้อีก หรือ เรียกว่า Affiliate Program ซึ่งหากจะให้ได้ผล Affiliate Program จะต้องไปรับผลประโยชน์ที่ดึงดูดมากพอ

7. Offer free 24 hour help with all products you sell.
หากลูกค้ามี ความจำเป็นที่จะต้องใช้สินค้า หรือบริการของท่าน อย่างรอไม่ได้ ควรจะมีบริการ Call Center หรือ 7/24 Support ( 7 วันต่อสัปดาห์ 24 ชั่วโมงต่อวัน ) ให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ให้ข้อมูล การแก้ปัญหาในเบื้องต้นก่อน ง่ายๆ อาจจะใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือของท่านเอง เป็นหมายเลข 7/24 Support ก็ได้ และหรืออาจจะเป็นทางอีเมล์ หรือ Fax ควรมีการแจ้งไว้ด้วยว่า จะตอบกลับภายในกี่ชั่วโมง หรือกี่วัน

8. Provide free shipping with all orders.
ให้บริการ สินค้าทุกชิ้นส่งถึงบ้านฟรี หรือ หากไม่สามารถทำได้ ก็ควรกำหนดวงเงินสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำที่จะได้รับบริการนี้ เช่น สั่งซื้อครบ 500 บาท ค่าส่งฟรี เป็นต้น

9. Give away a free sample of your product.
แจกสินค้าทดลองให้ใช้ ฟรี (ถ้าทำได้) เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหมือนกับการให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ก่อน หากสินค้าดี ลูกค้าพอใจ เค้าก็ยินดีที่จะสั่งซื้อ โดยไม่ต้องรีรอเลย เพราะใช้งานได้ดีจริงๆ อยู่แล้ว

10. Offer a buy one get one free deal.

ถ้าคุณมีสินค้ามากกว่า 1 รายการ การเสนอเงื่อนไข ซื้อ 1 แถม 1 หรือ ซื้อ 1 แล้ว ลดทันที 50% เมื่อซื้อสินค้าชิ้นต่อไป จะเป็นการส่งเสริมให้ลูกค้า อยากจะซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก จะช่วยเร่งยอดขายได้อีกมากเลยทีเดียว

ความจริง เราก็เคยเห็นเทคนิคในการขายในรูปแบบที่กล่าวมาแล้วกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพียงแต่ หากเรานำเทคนิคเหล่านี้ มาประยุกต์ใช้กับการขายของเราเอง ก็จะช่วยกระตุ้นความสนใจให้กับตัวสินค้าได้ดี และช่วยเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เป็นอย่างดี

นัก บริหารการตลาด ที่ขึ้นชื่อว่า เก่ง เจ๋ง โคตรเซียน ของเมืองไทย วันนี้ เขาและเธอเหล่านี้ ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เราลองมาดูแนวคิดแนวทางการทำงานของเค้ากันดีกว่า

“ซิคเว่ เบรคเก้” ซีอีโอสัญชาติเทเลนอร์ กับภาพลักษณ์ ดีแทค ที่ดีวัน ดีคืน หลัง เอไอเอส คู่ปรับสำคัญ โดนกระแสการเมืองกระแทกจนเสียขบวน คุณซิคเว่ ผู้สนับสนุนให้คนคิดนอกกรอบครับ และการจะคิดอะไรที่ออกนอกกรอบก็จำเป็นที่คนๆ นั้น ต้องมีความเป็นตัวเองสูง กล้าที่จะเสี่ยง ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิมที่ใครๆ เคยวางไว้

“ชำนาญ เมธปรีชากุล" นักการตลาดมืออาชีพ กับภารกิจกู้ชื่อ เอไอเอส คุณชำนาญกล่าวว่า การตลาดเหมือนชีวิต เพราะต้องมีสติ มีความคิด มีการวางแผน มีการนำเสนอ เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข เพราะชีวิตหยุดนิ่งไม่ได้ การตลาดเองก็เช่นเดียวกัน ที่จะหยุดนิ่งไม่ได้ ในการที่จะทำให้คนหรือลูกค้ามารัก มาชอบ มาใช้สินค้าของเรา หรือหากเราจะมองว่าชีวิตมีหลายรูปแบบ การตลาดก็เช่นเดียวกันที่จะต้องมีหลายรูปแบบ เพียงแต่ประเด็นสำคัญก็คือ การหาจุดสมดุลให้ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การทำตลาดแบบ Multi Brand ของ เอไอเอส ที่มี GSM ที่จับกลุ่มคนทำงาน Successor , วัน-ทู-คอล! จับกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ๆ มีความคิด มีไฟ มีฝัน อยากลองทำโน่น ทำนี่เยอะแยะไปหมด ซึ่งเราก็มีหน้าที่กระตุ้นให้เขากล้าลงมือทำ และ สวัสดี ที่ชัดเจนว่า ง่ายๆ ตรงๆ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการความซับซ้อน นี่แหละ คือ ตัวอย่างชีวิตการตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง

“ทัศพล แบเลเว็ลด์” แม้จะโดนหางเลขในฐานะธุรกิจกลุ่มชินคอร์ป แต่สีสันของ ไทยแอร์เอเชีย ในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ก็ไม่เป็นรองใคร ด้วยวิธีคิดที่แปลกใหม่ มองทุกอย่างที่ทำได้จริง มีความคิดที่จะสร้างสรรค์แคมเปญใหม่ๆ เสมอ

“ตัน ภาสกรนที” เจ้าพ่อชาเขียว....ซีอีโอขาลุย สไตล์ "ถึงลูกถึงคน" คุณตันจัดว่าเป็นนักการตลาดที่มองการณ์ไกล พอตัวทีเดียว ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ปี เค้าสามารถพาแบรนด์โออิชิ ขึ้นสู่จ้าวตลาดชาเขียวได้ ด้วยแคมเปญที่ว่าแจกเงินกันแบบบ้าเลือด คนทุนหนักจะทำแผนแบบนี้ ก็เชิญรับรองได้ผลทันตา

“ชาลอต โทณวณิก” นางสิงห์ที่พลิกภาพธนาคารกรุงศรีฯ จนวันนี้ใครๆ ก็ 'ตู้เหลือง' จากคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากสายการตลาด แต่ทุกงานของเธอสามารถประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี เพราะเธอตั้งใจจริง ในการเรียนรู้งาน สำหรับคุณชาลอต การทำแผนการตลาดแบบใช้เม็ดเงินเหวี่ยง ไม่ใช่เธอแน่ แต่หลัก ๆ ของเธอคือ ใช้เงินให้พอเพียงแต่ได้รับผลงานมากโขดีกว่า

"สาระ ล่ำซำ" ไม่ใช่เนี้ยบแค่การแต่งตัวแน่นอน แต่การันตีความสามารถกับตำแหน่ง "นายกสมาคมประกันชีวิต" ด้วยอายุน้อยที่สุด เขาคนนี้เน้นความเร็วในการทำงาน คือ "ต้องตอบโจทย์ได้รวดเร็ว ตรงประเด็น และทันต่อสถานการณ์" เพราะสไตล์การตลาดของเค้าคือ เร็ว และเข้าถึงจุด

"ดลชัย บุณยะรัตเวช" อดีตคนโฆษณาที่ผันตัวเองมาสู่งานสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะแบรนด์ไทยหรือแบรนด์เทศ

"วิชา พูลวรลักษณ์" จากเจ้าพ่อธุรกิจโรงภาพยนตร์ หันสยายปีกสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ปัจจุบันมีทั้งฟิตเนส โบว์ลิ่ง คาราโฮเกะ และล่าสุดกับฟาสต์ฟู้ดแบรนด์ดัง แมคโดนัลด์ แนวทางทำธุรกิจของเค้า คือ ธุรกิจต้องมีอินโนเวชั่น ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เกิด หรือมีโอกาสเติบโตหนีคนอื่น และตัวผมเองก็ไม่ใช่นักการตลาด แต่เป็นนักสร้าง คือ มีไอเดีย แล้วส่งต่อความคิดให้กับคนอื่นลงมือ หรือสานต่อให้เกิดเป็นรูปร่าง อย่างเช่น การทำธุรกิจโรงหนังทุกที่ต้องมีความแปลกใหม่ ไม่ซ้ำแบบใคร เพราะผู้บริโภคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเสพหนังเพียงอย่างเดียว ยังต้องการความบันเทิงอื่นๆ ทำให้เกิดแนวคิดสร้างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ให้เป็น Total Entertainment Lifestyle มีองค์ประกอบต่างๆ มาตอบโจทย์ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ ฟิตเนส ที่สำคัญเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสี่ยง กล้าลงทุน และกล้าทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า