Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่นลองนำไปใช้ดีจริง

 การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายและวิถีชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและผิวพรรณต่างเห็นตรงกันว่าการดื่มน้ำนั้นช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงและช่วยให้ผิวนุ่มแลดูอ่อนเยาว์ลง

การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำควรเป็นกิจวัตรสำหรับคนที่ใส่ใจในสุขภาพทุกคนควรควรปฏิบัติตามทุกวัน ดังนั้นการดื่มน้ำหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอนจึงเป็นกิจวัตรที่ดีมาก แต่จำเป็นต้องทราบว่าเราควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นจึงจะดีกว่ากัน?

แพทย์ต่างยืนยันว่าการดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้านั้นดีกว่า แม้ว่ามันจะไม่ค่อยถูกลิ้นสักเท่าไร คุณจะดื่มเปล่าๆ หรือจะหยดน้ำมะนาวลงไปสักนิดเพื่อเพิ่มรสชาติก็ยังได้ และการดื่มน้ำอุ่นไม่จำกัดแค่ในตอนเช้า แต่ยังมีประโยชน์เมื่อดื่มในเวลาอื่นๆ ลองอ่านบทความนี้ดูคุณจะทราบว่า การดื่มน้ำอุ่นมีประโยชน์กับร่างกายและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ อย่างไรได้บ้าง



ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น

1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย

นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง

จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย

2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้

อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้

เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก

3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น

นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย

4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย

5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า

น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย

6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง

การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก

7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี

นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย

8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้

9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้

10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้

นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า

ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว

 

กระหึ่มวงการเหรียญ “SCBX” เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51%

 


SCBX” เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92%

.
กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ-ไอที พลันที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หรือ “SCBX” ประกาศลงทุน 1.78 หมื่นล้านบาทในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” ธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในเครือของบริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดย “SCBX” ถือหุ้น 51% ทำให้ “BITKUB” กลายเป็นส่วนหนึ่งในเครือ “ไทยพาณิชย์” ทันที
.
สำหรับธุรกิจ “BITKUB” ถูกก่อตั้งขึ้นโดย “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” นักธุรกิจวัยรุ่นชื่อดัง โดยธุรกิจ “BITKUB” แห่งนี้ มีการเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้ก้าวกระโดดราว 1,000% ต่อปีเลยทีเดียว
.



อย่างไรก็ดีสำหรับ “ท๊อป-จิรายุส” ปัจจุบันแม้จะเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด แต่มิได้มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแห่งใดในเครือ “BITKUB” แต่มีบุคคลระดับ “คีย์แมน” คือ “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” CEO ของ “BITKUB” กุมบังเหียน
.
โดย “ต้น-สกลกรย์” มีชื่อเสียงจากการเป็นนัดเทรด “คริปโต” (Crypto) อันดับต้น ๆ ของไทย เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม “Bitcoin Thai Club” และเป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand บริษัทเกมชื่อดังอีกด้วย
.
สำหรับอาณาจักรธุรกิจของ “BITKUB” มีอย่างน้อย 5 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบพบ) ได้แก่
.
1. บริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็น “บริษัทแม่” จดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 74,154,380 บาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมทางวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งมิได้ จัดประเภทไว้ในที่อื่น
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ นายอธิชนัน พูลเกษ นายต่อภพ คงตาดำ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 340,825,708 บาท มีหนี้สินรวม 21,005,296 บาท มีรายได้รวม 22,305,019 บาท รายจ่ายรวม 25,886,552 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 121,370 บาท เสียภาษีเงินได้ 683,460 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,019,443 บาท
.
2. บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 8 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
.
ปรากฏชื่อ นายภาสกร ปานนอก นายธนเสฏฐ์ เสนีวงศ์ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 12,600,396 บาท หนี้สินรวม 4,384,063 บาท รายได้รวม 14,699,243 บาท รายจ่ายรวม 12,298,762 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 10,362 บาท เสียภาษีเงินได้ 124,151 บาท กำไรสุทธิ 2,265,968 บาท
.
3. บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การจัดการประชุม
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 2,019,903 บาท หนี้สินรวม 858,644 บาท มีรายได้รวม 1,470,122 บาท รายจ่ายรวม 1,308,863 บาท กำไรสุทธิ 161,259 บาท
.
4. บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 1 ล้านบาท หนี้สินรวม 87,170 บาท ยังไม่มีรายได้ รายจ่ายรวม 87,170 บาท ขาดทุนสุทธิ 87,170 บาท
.
5. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” เจ้าของธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และถูก “SCBX” ซื้อหุ้นไป 51% พบว่า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2559 ทุนปัจจุบัน 450 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การบริหารงานตลาดเงินและตลาดทุน
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 422,299,164 บาท หนี้สินรวม 59,522,220 บาท รายได้รวม 330,592,803 บาท รายจ่ายรวม 226,900,025 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 13,797 บาท เสียภาษีเงินได้ 23,759,024 บาท กำไรสุทธิ 79,919,957 บาท
.
ทั้งนี้ “SCBX” ยังระบุถึงข้อมูลที่เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92% อีกด้วย
.
ส่วน “คีย์แมน” อย่าง “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2564 พบว่า เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 12 แห่ง ยังดำเนินกิจการอยู่ 8 แห่ง ได้แก่ บริษัท ซิลิก้าแคปปิตอลเทรดดิ้ง จำกัด บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัดบริษัท วัคคีรี วัลเลย์ จำกัด (ทำธุรกิจกิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ) บริษัท เพลย์พอยท์ ออนไลน์ จำกัด (ทำธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม) และบริษัท เพลย์อัลติเมท จำกัด (ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต)
.
ทั้งหมดคือข้อมูลเท่าที่ตรวจสอบพบเกี่ยวกับ อาณาจักร “BITKUB” ก่อนที่จะพุ่งขึ้น ยานแม่ “SCBX” ด้วยมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท จนกลายเป็นที่ฮือฮาในแวดวง ตลาดเงินดิจิทัล อยู่ตอนนี้!
.
.


เศรษฐีใหม่มาแรง “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ปั้น "บิทคับ" ยูนิคอร์น ตัวใหม่ของไทย

 


“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ประกาศเข้าลงทุนใน บิทคับ ออนไลน์” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด  (SCBSที่สำคัญ ดีลนี้ยังส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” เบอร์สองของไทยอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565

สำหรับดีลนี้ ในวงการลงทุนได้ประเมินมูลค่าทั้ง “Bitkub” ที่เขาถือหุ้น 23.87% ใน“บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์”  หมายความว่า “จิรายุส” จะมีมูลค่าหุ้นที่ถือในบริษัทราว 8,354 ล้านบาท จากบริษัทที่สูงถึง 35,000 ล้านบาท และเมื่อ SCBS ประกาศซื้อหุ้น 51% ของบริษัท นั่นหมายความว่า เขาจะได้เงินสดจาก SCBS ทันที 4,260 ล้านบาท  ซึ่งแน่นอนว่าสัดส่วนหุ้นที่เหลือที่ยังไม่ได้ขายก็น่าจะทำให้เขายังมีบทบาทในบริษัทต่อไป และเป็น “คนสำคัญ” ที่ยังคงพัฒนาสิ่งใหม่ในโลกคริปโตเคอเรนซี่ ที่จะเป็น “สะพานเชื่อมโยงโลกเก่าสู่โลกอนาคต” ให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ให้คนไทยภาคภูมิใจ

ขณะที่  “อรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์”  ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO แห่ง "Bitkub Online” กล่าวว่า โครงสร้างการถือหุ้นใน “บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” โดยส่วนตัวถือไว้สัดส่วนราว 5% แต่หลังจากการเข้ามาซื้อหุ้นของSCBS ครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเหลือราว 2.5% ซึ่งในส่วนของ “จิรายุส”ที่ถือในสัดส่วนราว 20% กว่าลดลงเหลือ 10% กว่า ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นสัดส่วนลงตามการเข้ามาถือหุ้นของ SCBS

ส่วนทางด้าน "โครงสร้างผู้บริหารของ Bitkub Online" ยังไม่มีการเปลี่ยน รวมถึงโร้ดแมพของบริษัทยังดำเนินงานตามแผนและเป้าหมายเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านี้  แต่แน่นอนว่า เรายังมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่างๆผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับทาง SCBS  ซึ่งหลังจากนี้บริษัทยังต้องหารือกับทาง SCBS ก่อน และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำดีลดิจิเจนท์ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ 

“ดีลนี้เราได้มีการพูดคุยกันมาในปีนี้มาระยะหนึ่งในแล้ว การที่เราตัดสินใจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจาก SCBX เป็นเพียงรายเดียวที่โดดลงมาทำเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลอย่งจริงจังในปีนี้ อีกทั้งยังเป็นบริษัทคนไทยและมีเป้าหมาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวและวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป”

เส้นทางของ "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา”  Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด  มาถึงวันนี้ได้ผลักดัน “Bitkub" มาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก

 “พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS” 

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา  "จิรายุส"  มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มองเห็นโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปทางด้านไหน ในขณะที่  “Bitkub”   มีความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มีหลายปัจจัยที่พร้อมกว่าคนอื่น 

"จิรายุส" มองว่า ในช่วงลมเปลี่ยนทิศเร็วมากในเวลานี้นับว่า เป็นจังหวะเวลาที่ดีอย่างมากของ “Bitkub” ซึ่งเป็นธุรกิจยุคใหม่  ขอเป็นตัวแทนเชื่อมโยงโลกเก่าไปสู่โลกใหม่  และยังคงยืนหยัดเป็นบริษัทคนไทย100% ในระยะ 10ปีข้างหน้าปกป้องวงการนี้ไม่ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ ภายใต้ดีลความร่วมมือกับ SCBS  นั่นเอง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (เกิด 8 ก.พ. 2533)  อายุ 31 ปี เกิดที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ชื่อเล่นชื่อ "ท็อป" เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทบิทคับ ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี 

จิรายุสก่อตั้ง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ในปี  2561 เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำธุรกิจที่ได้รับรองโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และและเป็นอนุกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า

ในปี  2562 เขาได้ร่วมเป็นกรรมการสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย ได้มีบทบาทในการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเงินสกุลดิจิทัลในประเทศไทย รวมถึงการจัดงานประชุมในด้านสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน ทั้งกับทางภาคเอกชน และภาครัฐร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เครือข่ายยูโรเปียนบล็อกเชนฮับ และองค์กรนานาชาติที่ไม่แสวงผลกำไรโดยเขาได้รับรางวัล 1 ใน 100 คนของโลกที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ร่วมกับ ปรมินทร์ อินโสม ผู้พัฒนา ZCoin

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ "Bitkub"  บริษัทมีรายได้โตเกิน 1,000 % ต่อปี คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 มีรายได้แตะ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2561มีรายได้เพียง 3 ล้านบาทและจะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดภายในสิ้นปีนี้คาดกำไรจะอยู่ที่2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมี กำไร 100 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ของลูกค้าดูแลทั้งสิ้น 50,000ล้านบาท

ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) "Bitkub"  มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. รวมประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 92% โดย Bitkub มีรายได้รวม 3,279 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,533 ล้านบาท (อ้างอิงจากงบการเงินยังไม่สอบทาน)

ทั้งนี้ "จิรายุส " มองเห็นอนาคต ในระยะ 3 -5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโลกของ “ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม” บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน10 ของธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในแง่มูลค่าธุรกิจและมูลค่าที่สร้างต่อเศรษฐกิจของประเทศ  

บทเรียนจากเอเวอร์แกรนด์



 ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา คงไม่มีข่าวในแวดวงธุรกิจข่าวไหนจะดังยิ่งกว่าข่าวการผิดนัดชำระดอกเบี้ยของ ไชน่าเอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อันดับสามของจีน

.
บริษัทไชน่าเอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป เดิมชื่อ เฮงดากรุ๊ป (Hengda Group) ก่อตั้งในปี 1996 โดย สวี่ เจียยิ่น (Xu Jiayin) หรือหากอ่านเป็นภาษาจีนกวางตุ้งจะเป็น ฮุยกาหยาน (Hui Ka Yan) ปัจจุบันอายุ 63 ปี หากท่านอ่านข่าวแล้วงงว่าประธานบริษัทชื่ออะไรกันแน่ ทั้งสองชื่อเป็นคนเดียวกันค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าจะอ่านเป็นภาษาจีนกลาง หรือจีนกวางตุ้ง
.
บริษัทเอเวอร์แกรนด์ ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และเติบใหญ่จนเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในปี พ.ศ. 2552 ใช้รหัส 3333:HK ในขณะนั้นมียอดขายปีละ 30,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 140,000 ล้านบาท และได้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนขยายอาณาจักรไป ลงทุนในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในเมืองกวางโจว และถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์
.
บริษัทสร้างที่อยู่อาศัยไปมากกว่า 1,300 โครงการ ใน มากกว่า 280 เมืองทั่วประเทศจีน และมีรายได้ในปี 2563 เท่ากับ 507,248 ล้านหยวน หรือประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิในปี 2563 เท่ากับ 8,076 ล้านหยวน หรือประมาณ 41,590 ล้านบาท แต่อัตรากำไรสุทธิต่ำมากคือ 1.59% (ข้อมูลจากบลูมเบิร์ก)
.
บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยอาศัยเงินทุนหมุนเวียนจากการกู้ยืม มียอดหนี้มากกว่า 1.95 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท โดยหนึ่งในสามของเงินกู้ยืม เป็นการกู้จากนอกตลาด หรือเรียกว่า shadow loan ซึ่งทางการจีนเข้าควบคุมเข้มงวดตั้งแต่ปี 2019 จึงทำให้แหล่งเงินกู้ยืมนี้เหือดหายไป
.
ข้อมูลจากบีบีซีแสดงว่า บริษัทเป็นหนี้ธนาคารจีน 171 แห่ง และเป็นหนี้บริษัทเงินทุนอีก 121 แห่ง
.
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการออกหุ้นกู้ขายจำนวนมาก โดยบริษัทเป็นผู้ออก Junk Bond รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย
.
อาการของ เอเวอร์แกรนด์เริ่มปรากฏมาตั้งแต่ปี 2020 ที่บริษัทจะนำบริษัทลูกเข้าตลาดแบบแบคดอร์ (backdoor) แต่เข้าไม่ได้ จึงต้องจ่ายเงินคืนผู้ลงทุน ประกอบกับหนี้ของบริษัทถึงกำหนดชำระในปี 2020 จำนวนมาก บริษัทขาดสภาพคล่องและเริ่มเกิดการค้างจ่ายเงินให้กับเจ้าหนี้การค้า บางโครงการถูกระงับไม่ให้ขายต่อ เนื่องจากทางการท้องถิ่นต้องการปกป้องผู้ซื้อที่วางเงินดาวน์ไว้แล้ว ทำให้บริษัทต้องหาเงินไปเติมในบัญชีพักเพื่อประกันว่าบริษัทจะสร้างบ้านได้เสร็จ (บัญชีเอสโครว์)
.
ทางออกของบริษัทคือต้องขายทรัพย์สินเพื่อนำมาใช้เป็นสภาพคล่อง จ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ย และนำมาหมุนเวียนดำเนินงานต่อไป เนื่องจากทรัพย์สินของบริษัท 2.3 ล้านล้านหยวน ยังมีสินทรัพย์ที่สามารถขายได้ ทั้งที่ดินเปล่าที่ซื้อไว้ ทั้งเงินลงทุนในบริษัทต่างๆ แต่การขายทรัพย์สินในยามนี้มิใช่ทำกันได้ง่ายๆ หรือได้ราคา เพราะวิกฤติโควิด ก็ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา มีสินทรัพย์รอขายมากมาย การจะขายสินทรัพย์ให้ได้ราคาที่เหมาะสมเพื่อมาคืนหนี้จึงทำได้ยากค่ะ
.
ณ ปัจจุบัน หุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐของบริษัทมีราคาลดลงเหลือประมาณ 20% ของเงินต้น และราคาหุ้นลดจาก 17.76 เหรียญฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว เหลือล่าสุด 2.95 เหรียญฮ่องกง ก่อนถูกสั่งให้หยุดการซื้อขาย ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม
.
มีการคาดหวังให้ทางการจีนเข้าไปอุ้ม แต่นักวิเคราะห์ต่างคาดเดาว่า คงเป็นไปได้ยาก อาจมีการดูแลบางส่วน เช่น ผู้ซื้อบ้าน หรือผู้ถือหุ้นกู้รายย่อย แต่คงไม่ใช่ผู้ลงทุนสถาบันที่ถือหุ้นกู้เพราะชอบใจในผลตอบแทนที่ให้ไว้ค่อนข้างสูง (10-12% ต่อปี) หรือเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงิน
.
นอกจากนี้ เมื่อทางการจีนประกาศนโยบาย สร้างความอยู่ดีกินดี แบ่งปันความมั่งคั่งให้ถ้วนหน้าออกมาเมื่อเร็วๆนี้ ยิ่งทำให้การเข้าไปอุ้มบริษัทเอกชน เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น เพราะจะขัดกับหลักการที่ประกาศไว้
.
บริษัทคงต้องซื้อเวลาด้วยการขยายกำหนดเวลาจ่ายคืนหนี้สินต่างๆ รอขายทรัพย์สินที่มี เพื่อนำสภาพคล่องมาใช้ดำเนินการ เพื่อให้บริษัทเก็บเงินค่าขายบ้าน และนำไปใช้คืนเจ้าหนี้ต่อไป
.
คาดว่าเจ้าหนี้จะได้เงินคืน แต่จะได้คืนครบหรือไม่ ได้ดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด ต้องขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์ที่จะขายได้ค่ะ
.
เบื้องต้น กรณีนี้มีสองบทเรียน
.
บทเรียนแรก “การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง” ผู้ลงทุนจึงต้องประเมินความเสี่ยงในการลงทุน จะลงทุนเพราะเห็นว่าจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงอย่างเดียวไม่ได้
.
บทเรียนที่สอง กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “ใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม” หรือ Too big to fail ที่เคยใช้กันมาตลอดว่า หากนิติบุคคลใดนิติบุคคลหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก มีการทำธุรกรรมเกี่ยวข้อกับระบบสถาบันการเงินและผู้ลงทุนจำนวนมาก หากปล่อยให้ล้มหายตายจาก หรือเป็นอะไร ไป จะส่งผลกระทบต่อระบบ ดังนั้น จำเป็นต้องพยุงรักษาไม่ให้ล้ม ที่เคยใช้กันมาในอดีตนั้น อาจจะใช้ไม่ได้ในยุคหลังโควิดนี้ค่ะ เพราะหากอุ้ม คงต้องอุ้มกันมากมาย
.
ผู้แข็งแกร่ง ปรับตัวได้ ผู้ที่สะสมทุนไว้มาก มีความมั่นคง เหมือนต้นไม้ที่มีรากแก้วหยั่งลึก เมื่อมีพายุ ก็จะฝ่าฟันไปได้ ต้นไม้เล็กๆ ยังมีรากที่ไม่มั่นคง อาจต้องล้มหายตายจากไปบางส่วน หากฝ่าฟันพายุไปได้ในคราวนี้ ในอนาคต ก็น่าจะมีโอกาสเติบใหญ่ แข็งแรงต่อไป
.
“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นั้นจริงนักแล
.
คงต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
.
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นกรณีศึกษา มิได้มีความประสงค์จะเชิญชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทดังกล่าว
.
บทความโดย วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ | MoneyPro
.
.