Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง

 ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Theory) เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดยนักเขียนชาวอเมริกัน เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเขียนวรรณกรรมและการสื่อสาร โดยมีแนวคิดหลักว่า ส่วนสำคัญหรือเนื้อหาที่แท้จริงของเรื่องนั้นมักจะซ่อนอยู่ใต้พื้นผิว ซึ่งหมายถึงว่าสิ่งที่เห็นหรือใช้ในการสื่อสารเพียงแค่ส่วนเล็กน้อย เช่น บทสนทนา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะมีความหมายและความลึกซึ้งที่มากกว่าที่ปรากฏ



ส่วนประกอบของทฤษฎี

  1. ส่วนที่มองเห็นได้ (ส่วนเหนือผิวน้ำ): นี้คือส่วนที่เป็นคำพูด บทสนทนา หรือการกระทำที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอให้ผู้อ่านเข้าใจ
  2. ส่วนที่ไม่มองเห็นได้ (ส่วนใต้ผิวน้ำ): นี่คือความรู้สึก ความคิด หรือประสบการณ์ที่อาจไม่ได้ถูกกล่าวถึงโดยตรง แต่มีผลต่อการกระทำและความหมายของตัวละคร ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อ่านต้องใช้วิเคราะห์และตีความ

ความหมายและการใช้งาน

  • การสื่อสารที่มีความหมายลึกซึ้ง: ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งช่วยให้การสื่อสารมีมิติและความลึกกว่าเดิม เมื่อลงไปในรายละเอียด ผู้คนสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดหรือการกระทำที่แอบซ่อนอยู่
  • การเขียนวรรณกรรม: นักเขียนสามารถใช้ทฤษฎีนี้ในการสร้างผลงานวรรณกรรมที่มีการซ่อนความหมายไว้ เพื่อให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในการค้นหาความหมายและตีความเรื่องราว
  • การวิเคราะห์: ผู้ที่ศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรมสามารถใช้ทฤษฎีนี้ในการค้นคว้าความเข้าใจของตัวละครและเหตุการณ์ เพื่อเข้าใจแรงจูงใจและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

สรุป

ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็งทำให้เราเห็นว่าการสื่อสารไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน แต่ยังมีชั้นลึกของความหมายที่รอการค้นพบและตีความ ซึ่งสามารถทำให้การอ่านหรือการสื่อสารเป็นประสบการณ์ที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น.


ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง (iceberg theory) เป็นทฤษฎีที่ Dr. David Mc Clenlland เป็นผู้คิดค้น ซึ่งเป็นการนำเอาแนวคิดเปรียบเทียบบุคลิกของคนในการทำงานกับการเห็นภูเขาน้ำแข็งในทะเล ใช้ในการวิเคราะห์สมรรถนะของบุคคลแต่ละคนในการทำงานในองค์กร โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่เหนือน้ำจะเป็นส่วนที่มองเห็นสังเกตและวัดได้ง่าย และส่วนที่อยู่ใต้น้ำซึ่งเป็นส่วนที่มองไม่เห็น แต่จะมีปริมาณที่มากกว่าส่วนที่เห็นทำการสังเกตและวัดประเมินค่าได้ยากกว่า ซึ่งทั้งสองส่วนถือเป็นสิ่งจำเป็นจะต้องมีแรงผลักดันเบื้องลึก เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงาน สมรรถนะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1. ส่วนที่มองเห็นหรือเทียบภูเขาน้ำแข็งส่วนที่อยู่เหนือน้ำ เป็นส่วนที่มองเห็นและพัฒนาได้ง่าย ประกอบด้วย

1.1 ทักษะ (Skills) คือ ความสามารถในการทำงานทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เช่น ทักษะการพูด ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการวางแผน เป็นต้น

1.2 องค์ความรู้ (Knowledge) คือ ความรู้เฉพาะด้าน เช่น ความรู้คณิตศาสตร์ ความรู้ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

2. ส่วนที่มองไม่เห็น หรือ เทียบกับก้อนภูเขาน้ำแข็งส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ เป็นส่วนที่มองไม่เห็น สังเกตได้ยาก การเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือพัฒนาก็ทำได้ยาก ในส่วนนี้จะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการทำงานของแต่ละคนที่มีการแสดงออกให้เห็น ประกอบด้วย

2.1 บทบาททางสังคม (Social Role) คือ บทบาท หน้าที่ หรือความรับผิดชอบ ที่ได้รับอิทธิพลค่านิยมที่แต่ละคนต้องการให้สังคมรับรู้ตัวตนของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร เช่น อยากให้คนอื่นมองว่าตนเองเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ บางคนชอบที่จะได้รับบทบาทหัวหน้า เป็นต้น

2.2 ภาพลักษณ์ภายใน (Self-image) คือ ทัศนคติ ค่านิยม และความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง หรือสิ่งที่แต่ละคนเชื่อว่าตนเองเป็น เช่น การเป็นคนมีทัศนคติที่ดีหรือร้าย การเป็นคนที่มีความเชื่อในตนเอง การเป็นคนมีความมั่นใจสูง เป็นต้น

2.3 อุปนิสัย (Trait) คือ บุคลิกลักษณะประจำตัวที่อธิบายถึงแต่ละคน เป็นสิ่งที่ใช้ตอบสนองต่อสถานการณ์ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดจนเกิดความเคยชิน เช่น ลักษณะที่เป็นคนง่าย ๆ มีความยืดหยุ่น การเป็นคนเจ้าระเบียบ เป็นต้น

2.4 แรงจูงใจ (Motive) คือ แรงจูงใจหรือแรงขับภายในที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่มุ่งไปสู่สิ่งที่เป็นเป้าหมายของแต่ละคน เช่น การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย การกำหนดรางวัลโบนัส หรือการพยายามทำให้สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นต้น  

ประโยชน์ของทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง สามารถนำมาใช้ในการวางแผนการพัฒนาบุคคลากรในองค์กร โดย

1. ช่วยให้เข้าใจในพฤติกรรมของมนูษย์ที่มีให้ทราบและนำมาจัดกลุ่มในการวางแผนพัฒนาในแต่ละด้าน

2. ช่วยให้สามารถวางแผนเพื่อคัดเลือกบุคคลที่มี ลักษณะดี มีความรู้ ทักษะ ความสามารถ และตลอดจนพฤติกรรมที่เหมาะสมกับงานได้เป็ยระบบและทำได้ง่ายขึ้น

3. ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงระดับความสามารถของตัวเอง ว่าอยู่ในระดับใดและจะต้องพัฒนาในเรื่องใดบ้าง

4. ช่วยสนับสนุนให้ตัวชี้วัดหลักของผลงานให้สามารถบรรลุเป้าหมาย

5. ป้องกันไม่ให้ผลงานเกิดจากโชคชะตาเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าหากมีการวัดสมรรถนะแล้ว จะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดจะสามารถประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วยหรือด้วยความสามารถของเขาเอง

6. ช่วยให้เกิดการหล่อหลอมไปสู่สมรรถนะขององค์กรที่ดีขึ้น  

7. ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาฝึกอบรมแก่พนักงานในองค์กร

หลักการพาเรโต (Pareto)กฎ 80/20 ทำน้อยแต่ได้มาก

   เพราะเราไม่สามารถทำทุกเรื่องได้พร้อมกัน นั่นคือที่มาของความไม่สมดุล ซึ่งกฎ 80/20 หรือกฎ Pareto principle คือ ผลลัพธ์ 80% มาจากตัวแปร 20% หรือทำเพียงแค่น้อยนิดเพียง 20% แต่ได้ผลลัพธ์มากถึง 80% กฎพาเรโต เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี ที่ชื่อว่า Vilfredo Pareto ในปี ค.ศ. 1895 เขาได้สังเกตเห็นว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ทั้งจากธรรมชาติ และทางสังคมจะมีส่วนที่สำคัญ คิดเป็น 20% ซึ่งมีอยู่น้อยกว่าส่วนที่ไม่สำคัญ คิดเป็น 80% เช่น 80% ของเศรษฐกิจอิตาลีในเวลานั้น มีการถือครองความมั่งคั่งอยู่ในกลุ่มคนเพียง 20% ของประชากรทั้งประเทศ



การนำกฎ 80/20 ของ Pareto มาประยุกต์ใช้ได้กับแทบจะทุกสถานการณ์ สามารถช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องงาน และจัดการเวลาที่ใช้ในแต่ละวัน ได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ

 

จัดลำดับความสำคัญของงาน

           เลือกทำงานที่มีความสำคัญก่อน งานในแต่ละวัน คนส่วนใหญ่มักเลือกทำงานชิ้นเล็ก ๆ หรืองานที่ง่ายที่สุดก่อน แต่กฎของ 80/20 ให้เราเลือกทำงานชิ้นใหญ่ หรืองานชิ้นที่มีความสำคัญก่อน โดยกฎ 80/20 ก่อนลงมือทำงานในแต่ละวัน ให้ถามตัวเองก่อนว่า งานที่กำลังจะเริ่มทำเป็นชิ้นแรก ๆ นั้น อยู่ในกลุ่ม 20% ของงานทั้งหมด หรืออยู่กลุ่ม 80% ซึ่งถึงแม้งานยาก และงานเยอะมักจะอยู่ในกลุ่ม 20% ก็ตาม คุณก็ควรเลือกทำงานนั้น ๆ ซึ่งมีความสำคัญให้เสร็จก่อน

 

จัดการสิ่งเร้ารอบตัวออกไป

           เคยสังเกตสาเหตุที่งานไม่ก้าวไปข้างหน้า หรือทำงานหนึ่งชิ้น ทำไมใช้เวลานานผิดปกติ ทั้งที่งานก็ไม่ได้ยากกว่าชิ้นอื่น นั่นเพราะว่าคุณกำลังถูกสิ่งเร้ารอบตัวเล่นงานอยู่หรือไม่ ทั้งเสียงโทรศัพท์มือถือ การตอบแชทไลน์ ก็มัวแต่ท่องเว็บไซต์ หรือแม้แต่การเปิดเพลงระหว่างทำงาน ก็อาจกลายเป็นสิ่งรบกวนสมาธิของคุณก็เป็นได้ พอเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงกำหนดส่งงาน จึงมักมีการเผางานส่ง งานไม่มีคุณภาพ ฉะนั้นหากเป็นไปได้ ควรกำจัดสิ่งเร้ารอบตัวนี้ออกไป

 

มองไปที่เป้าหมาย

           ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใด เรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ต้องมีการกำหนดเป้าหมายเอาไว้ให้ชัดเจน ก็จะมีโอกาสที่งานนั้น หรือสิ่งที่คุณตั้งเป้าหมายเอาไว้สำเร็จได้ไม่ยาก พร้อมกับมีทัศนคติในเชิงบวกจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ทำให้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น มุ่งไปที่เป้าหมายโดยใช้กฎ 80/20 มาเป็นตัวช่วยกำหนดขอบเขตของงานนั่นเอง

 

กำหนดเวลา

           หากมีเป้าหมาย แต่ไม่มีกำหนดระยะเวลาคงจะแปลกสักหน่อย ควรจัดลำดับความสำคัญงาน ชิ้นไหนควรทำก่อนหรือหลัง งานแต่ละชิ้นใช้เวลาเท่าไหร่ สร้างกรอบเวลางานแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นงานขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าเราจะตอบกลับอีเมลทั้งหมดโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง แล้วก็ทำให้ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างเคร่งครัด

 

ถ้าไม่ไหวต้องยกมือ

           ไม่ไหวอย่าฝืน อย่าดึงดัน นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว อาจจะพังครืนลงมาได้ หากเริ่มจะเห็นแล้วว่า เราทำคนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ ให้ยกมือขอความช่วยเหลือ จะทั้งจากหัวหน้างาน จากเพื่อนร่วมงาน หรือจากลูกทีมก็ตาม ให้เลือกขอความช่วยเหลือตามความเหมาะสมของงานนั้น

 

น้อยแต่มาก ทำงานน้อยแต่ให้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม ด้วยกฎ 80/20

สรุปแบบง่าย กฎ 80/20 ของพาเรโต

ใจความสำคัญหรือ Main idea ของหลักการพาเรโตที่แท้จริงแล้วคือ การหาว่าในชีวิตของเรานั้นอะไรบ้างคือเรื่องสำคัญ และอะไรที่ไม่สำคัญ

เมื่อเรารู้ว่าเรื่องไหนสำคัญกับชีวิตของเราก็ให้โฟกัสไปที่เรื่องสำคัญไม่กี่อย่างนั้นที่คิดเป็นสัดส่วน 20% หรือให้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ความพยายามของเราไปให้ถูกที่นั่นเอง

เนื่องจากการมุ่งเน้นความสนใจไปที่กิจกรรมหรืองาน 20% นั้นอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตของเรา หรือให้ผลลัพธ์ในเชิงบวกได้มากถึง 80% เลยทีเดียว

ตอนนี้คำถามสำคัญที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก็คือ แล้วเรื่องอะไรล่ะที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา?

ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่นลองนำไปใช้ดีจริง

 การดื่มน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายและวิถีชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและผิวพรรณต่างเห็นตรงกันว่าการดื่มน้ำนั้นช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงและช่วยให้ผิวนุ่มแลดูอ่อนเยาว์ลง

การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำควรเป็นกิจวัตรสำหรับคนที่ใส่ใจในสุขภาพทุกคนควรควรปฏิบัติตามทุกวัน ดังนั้นการดื่มน้ำหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอนจึงเป็นกิจวัตรที่ดีมาก แต่จำเป็นต้องทราบว่าเราควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นจึงจะดีกว่ากัน?

แพทย์ต่างยืนยันว่าการดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้านั้นดีกว่า แม้ว่ามันจะไม่ค่อยถูกลิ้นสักเท่าไร คุณจะดื่มเปล่าๆ หรือจะหยดน้ำมะนาวลงไปสักนิดเพื่อเพิ่มรสชาติก็ยังได้ และการดื่มน้ำอุ่นไม่จำกัดแค่ในตอนเช้า แต่ยังมีประโยชน์เมื่อดื่มในเวลาอื่นๆ ลองอ่านบทความนี้ดูคุณจะทราบว่า การดื่มน้ำอุ่นมีประโยชน์กับร่างกายและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ อย่างไรได้บ้าง



ต่อไปนี้คือประโยชน์ 10 ประการที่ร่างกายจะได้รับจากการดื่มน้ำอุ่น

1. ช่วยย่อยอาหาร
เพื่อปรับปรุงการย่อยให้ดีขึ้น ลองดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ น้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมย่อมอาหารทำงานได้อย่างถูกต้อง ช่วยจัดการกับอาหารในกระเพาะ ดังนั้นระบบย่อยก็จะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ทั้งยังใช้พลังงานในกระบวนการย่อยน้อยลงด้วย

นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกำจัดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาความเป็นกลางของน้ำย่อยไว้นั่นเอง

จากการศึกษาในปี 2012 ที่ตีพิมพ์ในวารสารระบบประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว ได้รายงานว่าการดื่มน้ำอุ่นสามารถบรรเทาอาการให้กับผู้ที่มีภาวะหลอดอาหารเคลื่อนไหวผิดปกติได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกลืนยาก สำลักอาหารและเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อกระตุก ผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากระบบย่อยอ่อนแอก็ควรดื่มน้ำอุ่นเป็นแก้วแรกเมื่อตื่นนอนด้วย

2. บรรเทาอาการท้องผูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำในขณะที่ท้องว่างยังช่วยควบคุมการเคลื่อนตัวของลำไส้ และช่วยต่อสู้กับอาการท้องผูกได้

อาการท้องผูกเกิดขึ้นเนื่องจากมีน้ำในลำไส้น้อยเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงถ่ายออกมาได้ยาก การดื่มน้ำอุ่นจึงช่วยบรรเทาอาการท้องผูกอย่างได้ผล

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างเป็นปกติ ช่วยย่อยสลายอาหารที่เหลืออยู่ให้หมดไป ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยลดอาการท้องอืด อาการปวดท้องอันเนื่องมากจากอาการท้องผูกได้

เพื่อต่อสู้กับอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน 1 แก้วทุกเช้าในเวลาท้องว่าง ลองหยดน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อลำไส้ได้มากขึ้นไปอีก

3. บรรเทาอาการเจ็บคอ
อาการเจ็บคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเวลาลำคอเกิดการระคายเคืองหรือติดเชื้อ อันเกิดจากโรคหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ การดื่มน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยให้รู้สึกสบายคอมากขึ้น อีกทั้งน้ำอุ่นยังช่วยละลายเสมหะที่ข้นเหนียว และขจัดออกมาจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น

นอกเหนือจากการดื่มน้ำอุ่นเปล่าๆ คุณยังเปลี่ยนไปดื่มชาสมุนไพรแทนได้ อีกทั้งยังควรกลั้วปากด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา เพื่อช่วยให้อาการเจ็บคอดีขึ้นและลดการติดเชื้อในลำคอได้ด้วย

4. ช่วยรักษาอาการคัดจมูก
การดื่มน้ำอุ่นเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาอาการคัดจมูก น้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดโพรงจมูกทำให้รู้สึกโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกไม่อึดอัด

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่นๆ เข้าไป มันจะช่วยให้เสมะหรือน้ำมูกที่ข้นเหนียวอยู่ละลายแล้วขับออกทั้งจากในโพรงจมูกและทางเดินหายใจ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้หายป่วยได้เร็วขึ้นไปด้วย

5. ช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกิน
ผู้ที่กำลังควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำอุ่นมากกว่าน้ำเย็น การลดน้ำหนักจึงจะได้ผลดีกว่า

น้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกลางลำตัวให้สูงขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นไปอีก

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยลดไขมันในร่างกายลงได้ และเพื่อเพิ่มประโยชน์มากขึ้น ให้ลองดื่มน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวสักเล็กน้อยทุกวันในตอนเช้า มันจะช่วยลดเนื้อเยื่อไขมันหรือไขมันในร่างกาย นอกจากนี้เส้นใยเพคตินในมะนาวยังช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้คุณกินอาหารมันๆ หรือไม่ดีต่อสุขภาพได้น้อยลงไปด้วย

6. ช่วยล้างพิษในร่างกาย
การดื่มน้ำอุ่นสามารถชำระชะล้างสารพิษในร่างกายออกไปได้ เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น 2-3 ถ้วย มันจะช่วยให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยให้เหงื่อออกจึงรู้สึกเย็นลง ซึ่งเหงื่อที่ไหลออกมานี่ช่วยชะล้างสารพิษออกมาจากร่างกายนั่นเอง

การดื่มน้ำอุ่นทุกวันยังช่วยล้างพิษออกจากผิวพรรณได้ ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สิวผื่น สิวเสี้ยน การดื่มน้ำโดยทั่วไปแล้วยังเหมาะสำหรับการล้างพิษและชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปจากร่างกาย ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อนดื่ม จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้นไปอีก

7. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลก แต่การดื่มน้ำอุ่นช่วยป้องกันและลดอาการปวดประจำเดือนได้ เพราะน้ำอุ่นช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่กำลังหดตัว บรรเทาอาการเกร็งและกระตุกตัวของมดลูกได้ดี

นอกจากนี้ยังหยุดการเก็บกักน้ำ ป้องกันอาการเจ็บปวดในช่วงกำลังมีรอบเดือน ในครั้งต่อไปที่คุณเริ่มมีอาการปวดประจำเดือน ดื่มน้ำอุ่นสักแก้วช่วยบรรเทาอาการแล้วนำเอากระเป๋าน้ำร้อนวางประคบบริเวณท้องน้อย ก็จะยิ่งช่วยให้อาการปวดดีขึ้นด้วย

8. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต
การดื่มน้ำอุ่นช่วยปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญเพราะช่วยให้เลือดนำส่งออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไหลผ่านไปสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะทั่วร่างกาย การไหลเวียนโลหิตที่เหมาะสมสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท

เมื่อคุณดื่มน้ำอุ่น ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเผาผลาญ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและยังล้างพิษที่เป็นอันตรายออกไปได้ โปรดหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นมากเกินไป เพราะอาจทำให้หลอดเลือดดำอุดตันได้

9. ช่วยให้แก่ช้าลง
การดื่มน้ำอุ่นดีต่อผิวพรรณอีกด้วยนะ เพราะมันช่วยกำจัดสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้เป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัยและปัญหาสุขภาพต่างๆ

การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ทั้งยังช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณของคุณ ลองดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมน้ำมะนาวลงไปสักครึ่งลูก จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการล้างพิษได้

10. ช่วยกระตุ้นการนอนหลับ
หากคุณมีปัญหาการนอนหลับ ลองจิบน้ำอุ่นสักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น น้ำอุ่นๆ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายขึ้น ช่วยระงับประสาท ทำให้ง่วงและสงบลงได้

นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหารกลางดึกและทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นตอนเช้า

ข้อแนะนำในการดื่มน้ำอุ่น
ควรดื่มน้ำอุ่นเสมอ ไม่ควรร้อนจนเกินไป เพราะการดื่มน้ำร้อนอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อในปากและหลอดอาหารได้
หลังจากน้ำเดือดแล้ว ปล่อยให้เย็นลงสักครู่จึงค่อยดื่ม
ดื่มน้ำอุ่นเสมอหลังจากทานอาหาร หากคุณดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอุ่นหลังการออกกำลังกาย เพราะในขณะนั้นร่างกายมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว

 

กระหึ่มวงการเหรียญ “SCBX” เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51%

 


SCBX” เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92%

.
กลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจ-ไอที พลันที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) หรือ “SCBX” ประกาศลงทุน 1.78 หมื่นล้านบาทในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” ธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ในเครือของบริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด โดย “SCBX” ถือหุ้น 51% ทำให้ “BITKUB” กลายเป็นส่วนหนึ่งในเครือ “ไทยพาณิชย์” ทันที
.
สำหรับธุรกิจ “BITKUB” ถูกก่อตั้งขึ้นโดย “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” นักธุรกิจวัยรุ่นชื่อดัง โดยธุรกิจ “BITKUB” แห่งนี้ มีการเติบโตในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รายได้ก้าวกระโดดราว 1,000% ต่อปีเลยทีเดียว
.



อย่างไรก็ดีสำหรับ “ท๊อป-จิรายุส” ปัจจุบันแม้จะเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด แต่มิได้มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแห่งใดในเครือ “BITKUB” แต่มีบุคคลระดับ “คีย์แมน” คือ “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” CEO ของ “BITKUB” กุมบังเหียน
.
โดย “ต้น-สกลกรย์” มีชื่อเสียงจากการเป็นนัดเทรด “คริปโต” (Crypto) อันดับต้น ๆ ของไทย เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม “Bitcoin Thai Club” และเป็นอดีต CEO ของ Garena Thailand บริษัทเกมชื่อดังอีกด้วย
.
สำหรับอาณาจักรธุรกิจของ “BITKUB” มีอย่างน้อย 5 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบพบ) ได้แก่
.
1. บริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็น “บริษัทแม่” จดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 74,154,380 บาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมทางวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งมิได้ จัดประเภทไว้ในที่อื่น
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายอรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ นายสุกฤษฏิ์ พุทธวิริยะ นายอธิชนัน พูลเกษ นายต่อภพ คงตาดำ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 340,825,708 บาท มีหนี้สินรวม 21,005,296 บาท มีรายได้รวม 22,305,019 บาท รายจ่ายรวม 25,886,552 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 121,370 บาท เสียภาษีเงินได้ 683,460 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,019,443 บาท
.
2. บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2561 ทุนปัจจุบัน 8 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
.
ปรากฏชื่อ นายภาสกร ปานนอก นายธนเสฏฐ์ เสนีวงศ์ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 12,600,396 บาท หนี้สินรวม 4,384,063 บาท รายได้รวม 14,699,243 บาท รายจ่ายรวม 12,298,762 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 10,362 บาท เสียภาษีเงินได้ 124,151 บาท กำไรสุทธิ 2,265,968 บาท
.
3. บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การจัดการประชุม
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 2,019,903 บาท หนี้สินรวม 858,644 บาท มีรายได้รวม 1,470,122 บาท รายจ่ายรวม 1,308,863 บาท กำไรสุทธิ 161,259 บาท
.
4. บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2563 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี เป็นกรรมการรายเดียว
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 1 ล้านบาท หนี้สินรวม 87,170 บาท ยังไม่มีรายได้ รายจ่ายรวม 87,170 บาท ขาดทุนสุทธิ 87,170 บาท
.
5. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด หรือ “BITKUB” เจ้าของธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และถูก “SCBX” ซื้อหุ้นไป 51% พบว่า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2559 ทุนปัจจุบัน 450 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 2525 อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ ตึก 2 ชั้นที่ 11 ยูนิต 2/1101-2/1107 ถนนพระรามที่ 4 คลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การบริหารงานตลาดเงินและตลาดทุน
.
ปรากฏชื่อ นายสกลกรย์ สระกวี นายทวีทรัพย์ ราวรรณ์ นายนิธิวัฒน์ มณีสินธุ์ เป็นกรรมการ
.
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2563 มีสินทรัพย์รวม 422,299,164 บาท หนี้สินรวม 59,522,220 บาท รายได้รวม 330,592,803 บาท รายจ่ายรวม 226,900,025 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 13,797 บาท เสียภาษีเงินได้ 23,759,024 บาท กำไรสุทธิ 79,919,957 บาท
.
ทั้งนี้ “SCBX” ยังระบุถึงข้อมูลที่เข้าไปซื้อหุ้น “BITKUB” จำนวน 51% ดังกล่าวด้วยว่า “BITKUB” เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 92% อีกด้วย
.
ส่วน “คีย์แมน” อย่าง “ต้น-สกลกรย์ สระกวี” ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2564 พบว่า เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 12 แห่ง ยังดำเนินกิจการอยู่ 8 แห่ง ได้แก่ บริษัท ซิลิก้าแคปปิตอลเทรดดิ้ง จำกัด บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัดบริษัท วัคคีรี วัลเลย์ จำกัด (ทำธุรกิจกิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ) บริษัท เพลย์พอยท์ ออนไลน์ จำกัด (ทำธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม) และบริษัท เพลย์อัลติเมท จำกัด (ทำธุรกิจการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต)
.
ทั้งหมดคือข้อมูลเท่าที่ตรวจสอบพบเกี่ยวกับ อาณาจักร “BITKUB” ก่อนที่จะพุ่งขึ้น ยานแม่ “SCBX” ด้วยมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท จนกลายเป็นที่ฮือฮาในแวดวง ตลาดเงินดิจิทัล อยู่ตอนนี้!
.
.


เศรษฐีใหม่มาแรง “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ปั้น "บิทคับ" ยูนิคอร์น ตัวใหม่ของไทย

 


“กลุ่มเอสซีบี เอกซ์” ประกาศเข้าลงทุนใน บิทคับ ออนไลน์” ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด  (SCBSที่สำคัญ ดีลนี้ยังส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นสู่สถานะ “ยูนิคอร์น” เบอร์สองของไทยอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ การเข้าทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นจะอยู่ภายใต้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่าผลการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) ของ Bitkub ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญต้องเป็นที่น่าพอใจ และคู่สัญญาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้นครบถ้วน โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2565

สำหรับดีลนี้ ในวงการลงทุนได้ประเมินมูลค่าทั้ง “Bitkub” ที่เขาถือหุ้น 23.87% ใน“บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์”  หมายความว่า “จิรายุส” จะมีมูลค่าหุ้นที่ถือในบริษัทราว 8,354 ล้านบาท จากบริษัทที่สูงถึง 35,000 ล้านบาท และเมื่อ SCBS ประกาศซื้อหุ้น 51% ของบริษัท นั่นหมายความว่า เขาจะได้เงินสดจาก SCBS ทันที 4,260 ล้านบาท  ซึ่งแน่นอนว่าสัดส่วนหุ้นที่เหลือที่ยังไม่ได้ขายก็น่าจะทำให้เขายังมีบทบาทในบริษัทต่อไป และเป็น “คนสำคัญ” ที่ยังคงพัฒนาสิ่งใหม่ในโลกคริปโตเคอเรนซี่ ที่จะเป็น “สะพานเชื่อมโยงโลกเก่าสู่โลกอนาคต” ให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ให้คนไทยภาคภูมิใจ

ขณะที่  “อรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์”  ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO แห่ง "Bitkub Online” กล่าวว่า โครงสร้างการถือหุ้นใน “บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” โดยส่วนตัวถือไว้สัดส่วนราว 5% แต่หลังจากการเข้ามาซื้อหุ้นของSCBS ครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเหลือราว 2.5% ซึ่งในส่วนของ “จิรายุส”ที่ถือในสัดส่วนราว 20% กว่าลดลงเหลือ 10% กว่า ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นสัดส่วนลงตามการเข้ามาถือหุ้นของ SCBS

ส่วนทางด้าน "โครงสร้างผู้บริหารของ Bitkub Online" ยังไม่มีการเปลี่ยน รวมถึงโร้ดแมพของบริษัทยังดำเนินงานตามแผนและเป้าหมายเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านี้  แต่แน่นอนว่า เรายังมีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้านต่างๆผ่านโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ร่วมกับทาง SCBS  ซึ่งหลังจากนี้บริษัทยังต้องหารือกับทาง SCBS ก่อน และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำดีลดิจิเจนท์ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ 

“ดีลนี้เราได้มีการพูดคุยกันมาในปีนี้มาระยะหนึ่งในแล้ว การที่เราตัดสินใจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจาก SCBX เป็นเพียงรายเดียวที่โดดลงมาทำเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลอย่งจริงจังในปีนี้ อีกทั้งยังเป็นบริษัทคนไทยและมีเป้าหมาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวและวางรากฐานในการเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตต่อไป”

เส้นทางของ "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา”  Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด  มาถึงวันนี้ได้ผลักดัน “Bitkub" มาถึงจุดที่เราได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า Digital Economy และเพื่อที่จะนำ Bitkub ให้ก้าวไปสู่ระดับโลก

 “พวกเราต้องการพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งมาเป็นกำลังเสริมให้ไปถึงได้เร็วขึ้นอย่างยั่งยืน นั่นเป็นเหตุผลที่เราจับมือร่วมกับ SCBS” 

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา  "จิรายุส"  มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มองเห็นโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปทางด้านไหน ในขณะที่  “Bitkub”   มีความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มีหลายปัจจัยที่พร้อมกว่าคนอื่น 

"จิรายุส" มองว่า ในช่วงลมเปลี่ยนทิศเร็วมากในเวลานี้นับว่า เป็นจังหวะเวลาที่ดีอย่างมากของ “Bitkub” ซึ่งเป็นธุรกิจยุคใหม่  ขอเป็นตัวแทนเชื่อมโยงโลกเก่าไปสู่โลกใหม่  และยังคงยืนหยัดเป็นบริษัทคนไทย100% ในระยะ 10ปีข้างหน้าปกป้องวงการนี้ไม่ทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ ภายใต้ดีลความร่วมมือกับ SCBS  นั่นเอง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (เกิด 8 ก.พ. 2533)  อายุ 31 ปี เกิดที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ชื่อเล่นชื่อ "ท็อป" เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัทบิทคับ ศูนย์แลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี 

จิรายุสก่อตั้ง บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ในปี  2561 เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำธุรกิจที่ได้รับรองโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และและเป็นอนุกรรมการของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า

ในปี  2562 เขาได้ร่วมเป็นกรรมการสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย ได้มีบทบาทในการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเงินสกุลดิจิทัลในประเทศไทย รวมถึงการจัดงานประชุมในด้านสกุลเงินดิจิทัลและบล็อกเชน ทั้งกับทางภาคเอกชน และภาครัฐร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เครือข่ายยูโรเปียนบล็อกเชนฮับ และองค์กรนานาชาติที่ไม่แสวงผลกำไรโดยเขาได้รับรางวัล 1 ใน 100 คนของโลกที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ร่วมกับ ปรมินทร์ อินโสม ผู้พัฒนา ZCoin

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมานี้ "Bitkub"  บริษัทมีรายได้โตเกิน 1,000 % ต่อปี คาดว่าภายในสิ้นปี 2564 มีรายได้แตะ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2561มีรายได้เพียง 3 ล้านบาทและจะมีกำไรเติบโตก้าวกระโดดภายในสิ้นปีนี้คาดกำไรจะอยู่ที่2,000 ล้านบาท จากปีก่อนมี กำไร 100 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ของลูกค้าดูแลทั้งสิ้น 50,000ล้านบาท

ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) "Bitkub"  มีมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่รายงานต่อ ก.ล.ต. รวมประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 92% โดย Bitkub มีรายได้รวม 3,279 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,533 ล้านบาท (อ้างอิงจากงบการเงินยังไม่สอบทาน)

ทั้งนี้ "จิรายุส " มองเห็นอนาคต ในระยะ 3 -5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโลกของ “ไฟแนนซ์เชียลแฟลตฟอร์ม” บริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน10 ของธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในแง่มูลค่าธุรกิจและมูลค่าที่สร้างต่อเศรษฐกิจของประเทศ