Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

เลซิติน (Lecithin)



เลซิติน (Lecithin)



เลซิติน (Lecithin)  เลซิตินเป็นสารธรรมชาติที่ประกอบด้วยฟอสฟอรัสกับไขมันบางชนิด และวิตามินในกลุ่มวิตามินบี ไม่สำคัญว่าเลซิตินประกอบด้วยสารใดบ้างแต่สิ่งสำคัญคือเลซิตินเป็นหน่วยพื้นฐานในทุกๆเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ที่สำคัญไปกว่านี้ก็คือเลซิตินนั้นช่วยจับไขมันและคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ด้วยคุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์ของเลซิติน คือ การที่เลซิตินสามารถละลายในได้ทั้งน้ำและไขมัน เลซิตินจึงละลายอยู่ในกระแสเลือดแล้วคอยจับเอาไขมัน หรือคอเลสเตอรอลที่ล่องลอยอิสระในกระแสเลือดและไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดไว้ ด้วยวิธีนี้ของเลซิตินจึงทำความสะอาดระบบหมุนเวียนโลหิตได้ ส่วนประกอบที่พบมากที่สุดในเลซิตินคือ สารฟอสฟาติดิลโคลีน (phosphatidylcholine)  ซึ่งเป็นแหล่งอาหารอันอุดมไปด้วยสารโคลีน โคลีนจัดเป็นสารประกอบในกลุ่มของวิตามินบี ที่มีความสำคัญคือเป็นวัตถุดิบในการผลิตสารสื่อประสาทในสมองของเราสารดังกล่าวคือ อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine)


แหล่งอาหาร


เลซิตินสามารถพบได้ในอาหารหลากชนิดจากผลิตภัณฑ์ทั้งพืชและสัตว์ เช่น ซอสถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดฝ้าย เรพสีด กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา บริวเวอร์ยีสต์ รวมทั้งไข่แดง นม สมอง ตับ ไตและกล้ามเนื้อ  เลซิตินยังพบขายอยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกด้วย เลซิตินที่ทำจากถั่วเหลืองนั้นนับเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกด้วย เลซิตินที่ทำจากถั่วเหลืองนั้นนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้ทั่วไปในท้องตลาดมากที่สุด


ส่วนประกอบ


ฟอสฟาติดิลโคลีน (Phosphatidylcholine) เป็นสารสำคัญที่พบในเลซิติน ซึ่งสารนี้จะให้วิตามินบีชนิดหนึ่ง เรียกว่า โคลีน สารโคลีนเป็นสารต้นตอในการสังเคราะห์สารสื่อรประสาท อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ส่วนประกอบอื่น ๆ ของเลซิติน ได้แก่ ฟอสฟาติดิลอิโนซิทอล ฟอสฟาติดิลเอททาโนลามีน กรดไลโนเลอิก ฯลฯ


อาการเมื่อขาด


เมื่อกล่าวถึงเลซิตินนั่นหมายถึงสารฟอสฟาติดิลโคลีนซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเลซิติน แม้จะยังไม่เคยมีรายงานถึงการขาดเลซิติน แต่งานศึกษาบางชิ้นพบว่า ถ้าร่างกายมีระดับของโคลีนที่ต่ำจะก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงชนิดถาวรและมีปัญหาเกี่ยวกับไตด้วย

ประโยชน์


          1. ช่วยป้องกันและสลายโคเลสเตอรอล หรือไขมันที่อุดตันในหลอดเลือด จึงนิยมกันมากในผู้ที่มีปัญหาไขมันอุดตันในหลอดเลือด
          2. Phosphaticylcholine ซึ่งให้สารโคลีน เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประเภท อะเซททิลโคลีน จะช่วยให้ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น
          3. ช่วยให้การทำงานของตับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
          4. ลดการอุดตันของถุงน้ำดี (Gall Stones)
          5. ให้สารอิโนซิทอล (Inositol) ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
          6. การใช้เพื่อป้องกัน และรักษาโรคความจำเสื่อม (Alzheimer's disease) ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา

ขนาดที่ควรรับประทาน


ขนาดรับประทานที่แนะนำเพื่อบำรุงสมองคือ 1,200 -2,400 มิลลิกรัม ถ้ารับประทานเพื่อลดระดับคอเลสเตอรอสในกระแสเลือดต้องได้รับวันละ 2,400 -3,600 มิลลิกรัม และตามรายงานนั้นจะต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็นวันละ 10 กรัมทีเดียวเพื่อเพิ่มปริมาณของเลซิตินในน้ำดีและรักษาอาการนิ่ว


ผลข้างเคียง


จากประสบการณ์ของหลายๆท่านที่รับประทานเลซิตินปริมาณหลายกรัมต่อวันพบว่า มีปัญหาบ้างเกี่ยวกับความอึดอัดในช่องท้อง หรือคลื่นไส้ และปัญหาที่พบในกรณีบริโภคโคลีนมากจนเกินไปคือ การมีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นคาวปลาได้

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"
เราได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์มาหลายสัปดาห์แล้วนะคะ พักเรื่องอาหารกันสักนิด วันนี้มีวิธีที่จะคลายความเครียดมาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมคะ

1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ

2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ ี

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่
1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์
2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก
3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์
3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน

5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ


6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ
9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย

ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายค่ะ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะคะ

จัดระเบียบชีวิตตัวเองเริ่มต้นได้ง่าย ๆ


ชีวิตที่มีระบบระเบียบนั้นส่งเสริมให้คนเรามีโอกาสก้าวหน้าได้เช่นกัน เนื่องจากคนที่รู้จักบริหารจัดการชีวิตตัวเองได้นั้น จะรู้ว่าควรทำอะไร ทำเมื่อไร และทำอย่างไร ชีวิตของเราก็จะดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีความก้าวหน้าไปทีละขั้น ๆ ตรงข้ามกับชีวิตที่ยุ่งเหยิง ไม่มีการจัดระเบียบตัวเอง ทำอะไรก็ติดขัดมีอุปสรรคเสมอ ในการทำงานนั้นคนทำงานสามารถจัดระเบียบชีวิตตัวเองได้โดยเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ตัวก่อน เพื่อเสริมสร้างนิสัยที่ดีให้การทำงานเป็นไปด้วยความราบรื่น ดังนี้
จัดเก็บโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย อย่าปล่อยให้รกรุงรัง คนทำงานบางคนไม่เคยจัดโต๊ะทำงานเลย เวลานั่งทำงานก็อาศัยแหวกหาที่ว่างที่พอจะทำงานได้เท่านั้น แถมถ้าใครมาจัดให้เป็นต้องหาข้าวของไม่เจอ เพราะมันเรียบร้อยเกินไป ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ผิดที่ผิดทาง เมื่อโต๊ะทำงานของขาดระเบียบ ชีวิตของคุณก็จะขาดระเบียบ ไม่มีระบบ
  1. ลองหันมาจัดโต๊ะทำงานให้สะอาดสะอ้านน่ามอง อะไรที่ไม่จำเป็นก็โละทิ้ง ขาย หรือบริจาคไปเสียบ้าง จัดข้าวของให้เป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการค้นหา ชีวิตของคุณก็จะง่ายขึ้นเยอะ เมื่อมีที่ว่างบนโต๊ะทำงาน คุณก็จะมีที่ว่างสำหรับใช้จินตนาการด้วย และนั่นจะทำให้งานคุณออกมามีคุณภาพดีกว่าที่คิดอีกด้วย เชื่อไหมล่ะ 
  2. เก็บของที่ต้องใช้ตามเทศกาล ตามฤดูกาล หรือตามโอกาสต่าง ๆ ใส่กล่องแยกไว้ให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นอุปกรณ์สำหรับงานปีใหม่ หรืองานเลี้ยงบริษัท ที่ใช้ปีนี้แล้วก็สามารถเก็บไว้ใช้ปีหน้าได้อีก  แฟ้มเอกสาร ไฟล์เอกสารเก็บไว้ให้สามารถค้นหาได้ง่ายเมื่อต้องการใช้งานอีกครั้ง รวมถึงควรตั้งชื่อให้จดจำง่าย ๆ ด้วย เพราะคนเรามักจะคุ้น ๆ ว่าเคยทำไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน ตั้งชื่อว่าอะไรก็จำไม่ได้อีก อย่างนี้ทำให้ต้องเสียเวลาค้นหานานโดยไม่จำเป็น
  3. เอกสารสำคัญจัดเก็บไว้ในลิ้นชักและล็อกคกุญแจให้เรียบร้อย ขึ้นชื่อว่าเอกสารสำคัญแล้วล่ะก็ ควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัย ไม่ควรวางระเกะระกะ ที่ใครต่อใครก็เปิดอ่านได้ หรืออาจหายได้ หากคุณมีเอกสารส่วนตัว หรือต้องรับผิดชอบในการ เก็บเอกสารสัญญา เอกสารทางการเงินต่าง ๆ ของบริษัท ควรเก็บให้มิดชิดในที่ที่คุณเท่านั้นสามารถเข้าถึงได้
  4. สร้างปฏิทินเตือนความจำถึงสิ่งที่คุณจะต้องทำ ซึ่งอาจจดไว้บนปฏิทินตั้งโต๊ะที่โต๊ะทำงาน หรือในคอมพิวเตอร์ หรือในโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่คุณจะไม่พลาดการนัดหมายต่าง ๆ เช่น กำหนดส่งงาน นัดประชุม นัดหาหมอ วันสำคัญ วันครบกำหนดจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต และอื่น ๆ
  5. จัดเวลาสำหรับวันพักผ่อนของตัวเองด้วย เมื่อทำงานเต็มที่ทั้งสัปดาห์แล้ว คุณก็ควรวางแผนให้รางวัลตัวเองในวันหยุดด้วยงานอดิเรกที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง จัดสวน นัดเจอเพื่อนเก่า หาร้านอาหารอร่อย ๆ รับประทานนอกบ้านกับครอบครัว ผ่อนคลายให้เต็มที่จะได้มีพลังกลับมาทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง
หวังว่าพื้นฐานในการเริ่มต้นจัดระเบียบชีวิตตัวเองที่แนะนำมานี้จะเป็นแรงจูงใจให้คนทำงานเริ่มต้นปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
http://th.jobsdb.com

เทคนิคทำงานดี...ไม่มีงานค้าง


  • จัดลำดับความสำคัญของงาน
    เคยสงสัยไหมว่า ทำไมทำงานไม่เคยทัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็เป็นคนทำงานเก่ง นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของงานให้เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แม้ว่าจะทำงานได้ดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่จัดสรรเวลาให้ดี คุณอาจต้องเผชิญกับงานค้างระหว่างวันหยุดยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นควรจัดลำดับความสำคัญของงานทุกครั้งที่มีงานใหม่เข้ามา ให้ความสำคัญกับงานที่เร่งด่วนก่อน แล้วค่อย ๆ ทำงานไปทีละอย่าง รับรองว่าปัญหางานค้างจะไม่มีอย่างแน่นอน
  • สะสางทันที ไม่มีงานค้าง
    นิสัยผัดวันประกันพรุ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้คุณต้องประสบกับปัญหางานค้าง ดังนั้น เมื่อมีงานเข้ามาใหม่ และมีเวลาในการทำงาน คุณควรรีบสะสางงานนั้น ให้เสร็จก่อนทันที อย่าคิดว่าเดี๋ยวก็ทำเสร็จ เพราะคุณไม่รู้ว่าในระหว่างนั้นอาจมีงานอื่นแทรกเข้ามา ทำให้คุณไม่มีเวลาสะสางงานชิ้นแรกก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อมีเวลา คุ็ณควรทำให้เสร็จทันที อย่าปล่อยให้คั่งค้าง จนหาเวลาสะสางไม่ได้
  • อย่านำงานกลับไปทำที่บ้าน
    การเอางานกลับไปทำที่บ้าน ไม่เพียงแต่จะทำให้เสียเวลาในการพักผ่อน แต่ยังทำให้คุณติดนิสัยเอางานมาทำนอกเวลาจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานของคุณขาดประสิทธิภาพ และยิ่งทำให้มีงานค้างมากขึ้น หากคุณยังทำงานที่เอากลับไปไม่เสร็จ
  • อย่าทำงานคนเดียว
    คนเก่งหลายคนมักจะหวงงาน และคิดว่าคนอื่นทำได้ไม่ดีพอ บางคนไม่ยอมแม้จะมอบหมายงานของตัวเองให้ลูกน้องช่วยทำ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องทำงานคนเดียว และไม่สามารถทำงานนั้นเสร็จ หากคุณอยากทำงานให้ลุล่วงทันเวลาและไม่มีงานค้าง คุณอาจจะต้องแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง ดีกว่าต้องแบกภาระไว้คนเดียว แล้วงานไม่เสร็จ

ผู้นำ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้


วันนี้จะคุยกันเรื่องภาวะผู้นำกันอีกสักวันนะครับ เนื่องจากได้มีโอกาสไปคุยกับผู้ใหญ่ขององค์กรต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ก็เห็นสไตล์ของการเป็นผู้นำที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางคนก็สุดโต่งมากมาย บางคนก็ยอมไปทุกเรื่อง เรียกได้ว่า มากไปก็ไม่ดี ลูกน้องก็หาว่าโหด น้อยไปก็คุมคนอื่นไม่ได้อีก ถูกหาว่าอ่อนแอ ก็เลยมานั่งสรุปว่ามีประเด็นใดบ้างที่ผู้นำจะต้องระมัดระวัง และสร้างพฤติกรรมที่พอดีๆ ไม่มากไป หรือน้อยไป
  • ผู้นำจะต้องเข้มแข็ง แต่ถ้ามากเกินไปก็จะกลายเป็นก้าวร้าวได้เลยนะครับ ผู้นำในองค์กรบางคนคิดว่าการที่ตนเป็นผู้นำจะต้องแสดงออกถึงความเข้มแข็งของตนเองให้ลูกน้องเห็น ก็เลยมักจะใช้วาจาหยาบคาย เสียงดัง พูดคุยกันทีไร ก็เป็นการขึ้นเสียง และเอะอะโวยวายมากกว่า แต่เขากลับคิดว่านี่แหละคือความเข็มแข็งของผู้นำ ซึ่งจุดนี้มันก็เลยความเข้มแข็งไปแล้ว ความเข้มแข็งในที่นี้ก็คือ มีจุดยืนของตนเอง ไม่เอียงไปเอียงมาแบบคนที่ไม่มีหลักการ ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นผู้นำที่ดีจะต้องเข้มแข็งแต่ไม่ก้าวร้าว
  • ผู้นำจะต้องมีจิตใจที่ดี ประเด็นนี้ก็เช่นกันครับ ถ้ามากเกินไปก็มีปัญหาตามมาได้ครับ เช่น ผู้นำบางคนถูกสอนว่าการเป็นผู้นำที่ดีนั้นจะต้องมีจิตใจที่ดี พอดีมากๆ เข้า ก็เข้าข่ายอ่อนแอกันเลยเหมือนกัน จนพนักงานต่างก็นินทาผู้นำว่า เป็นคนที่ยอมไปหมด ใครจะว่าอะไร ใครจะขออะไร ก็ให้หมด โดยไม่มีจุดยืนของตนเองเลย ดังนั้นผู้นำที่ดีจะต้องใจดี แต่ไม่ถึงกับอ่อนแอครับ
  • ผู้นำที่ดีต้องกล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย และกล้าตัดสินใจในสิ่งที่ตนจะต้องตัดสินใจ ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง หรือไม่กล้าเสี่ยง แต่ก็อีกเช่นกันที่บางคนก็กล้ามากไปหน่อย จนกลายเป็นคนที่มุทะลุก็มี แทนที่จะพิจารณาให้รอบคอบก่อนค่อยตัดสินใจ กลับลุยแหลก คิดเร็วทำเร็วด้วยความไม่รอบคอบ กล้ามากไปหน่อยก็เลยทำให้คนอื่นมองว่าเป็นผู้นำที่มุทะลุไม่รอบคอบซะงั้น
  • ผู้นำที่ดีต้องคิดอ่านอย่างรอบคอบ ต้องมีการเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่ถ้ามากเกินไป ก็จะกลายเป็นถูกมองว่า คิดช้า ทำช้า หนักเข้าหน่อย ก็จะถูกมองว่า ไม่เคยคิดอะไรเลย ดังนั้นการรอบคอบมากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นพวกไม่คิดอีกก็เป็นได้ครับ
  • ผู้นำที่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเข้าใจผู้อื่น และไม่อวดเบ่ง คิดว่าตนเองเก่งแล้ว หรืออยู่เหนือกว่าคนอื่นแล้วก็เลยทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าอ่อนน้อมถ่อมตนจนมากเกินไป ก็ทำให้เกิดปัญหาได้อีกเช่นกัน คนอื่นก็จะมองว่า ไม่มีความเข้มแข็งไปได้อีกเหมือนกัน แต่ถ้าไม่อ่อนน้อมเลย คนอื่นก็มองอีกว่า ผู้นำคนนี้เป็นพวกอวดดี เย่อหยิ่งทะนงตน ก็ทำให้คนอื่นไม่ชอบอีกเช่นกัน
  • ผู้นำที่ดีต้องมีอารมณ์ขัน แต่ถ้ามีมากเกินไป ก็จะถูกมองว่า ไร้สาระอีก หรือถ้าเอาทุกอย่างมาทำตลกไปหมด ผู้นำคนนั้นก็จะกลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่นได้ อาจจะทำให้ลูกน้องขาดความเชื่อถือไปโดยปริยาย แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ขันเลย ลูกน้องก็จะมองว่าเครียดเกินไปหรือเปล่า
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ยากมั้ยครับในการที่จะเป็นผู้นำที่ดีสักคน มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้ ก็คงต้องหาจุดกลางๆ ที่เหมาะสม ซึ่งความเหมาะสมนี้ก็คงกำหนดยากนะครับ อยู่ที่แต่ละคน และอยู่ที่สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน
คนที่สามารถบอกเราได้ว่า เรามากไป หรือน้อยไป ก็คือ พนักงานในองค์กรครับ ดังนั้นผู้นำที่ดีควรจะใช้พนักงานในองค์กรเป็นกระจกส่องตัวเองว่า เราเป็นอย่างไรในสายตาของพนักงาน และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นผู้นำที่ดีขึ้นได้ครับ มีผู้นำในโลกนี้หลายคนนะครับ ที่ให้พนักงานในองค์กรประเมินภาวะผู้นำของเขาว่ายังขาดอะไร มีจุดบกพร่องในเรื่องอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มต้นพัฒนาตนเองเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องนั้นครับ
เนื่องจากผู้นำกลุ่มนี้เชื่อว่า ถ้าเขาเป็นผู้นำที่ดี และสามารถซื้อใจพนักงานได้ ก็จะทำให้พนักงานทุ่มเทและสร้างผลงานให้กับองค์กรที่เขาเป็นผู้นำอยู่ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้นำไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับพนักงานได้เลย ผลก็คือ ผลงานจะไม่ออก เพราะพนักงานเองก็ขาดความทุ่มเท ขาดพลัง และขาดแรงจูงใจที่จะทำงานให้กับผู้นำที่ตนเองไม่เชื่อถือนั่นเองครับ