Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคนิค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคนิค แสดงบทความทั้งหมด

เทคนิคการเจรจาต่อรองให้ประสบความสำเร็จ

การเจรจาต่อรอง




การเจรจาต่อรองนั้นไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับลูกค้า หรือแม้แต่บุคลากรในหน่วยงานเดียวกันต้อง
มีเทคนิคที่ดี เพื่อให้การเจรจานำไปสู่ข้อตกลงที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่ายจึงจะถือว่าการเจรจาต่อรองนั้นประสบความสำเร็จ โดยมีเทคนิคในการเจรจาต่อรองดังนี้

เทคนิคการจำชื่อคนให้แม่น


จำชื่อให้แม่น

6 ขั้นตอนในการจำชื่อคนให้แม่น



คุณมีปัญหาเกี่ยวกับการจำชื่อคนหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ถ้ามี ลองนำเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้ไปลองใช้ดูสิครับ

1. เมื่อแรกพบหน้า ให้คุณมองหาสิ่งที่เป็นลักษณะพิเศษบนใบหน้าของบุคคลนั้น (มองเฉย ๆ อย่างสุภาพนะครับ ไม่ต้องถึงกับลงมือสำรวจ หรือกระทำให้เสียอาการแต่อย่างใด) เช่นไฝ ปาน ขี้แมลงวัน แผลเป็นบนใบหน้า ลักษณะรูปร่างของจมูก หรือรูปร่างของเรียวปาก เมื่อคุณได้พบหน้าคนนี้ครั้งต่อไป ลักษณะพิเศษที่คุณได้จดจำเอาไว้มันจะเด่นออกมาในความรู้สึกคุณ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้จดจำเขาได้

2. เมื่อเขาได้แนะนำชื่อให้คุณรู้จัก ต้องตั้งใจฟังชื่อเอาไว้ให้ดี

3. เมื่อได้ยินชื่อแล้ว ให้แปลชื่อนั้นไปเป็นภาพในหัวของคุณ เช่นถ้าคนนั้นชื่อคุณธนชาติ คุณอาจจะคิดภาพของธนบัตรที่เป็นรูปธงชาติ หรือชื่อสมบัติ ก็ให้นึกถึงหีบสมบัติที่มีทรัพย์สินเงินทองล้นออกมามากมาย (วาดภาพให้เวอร์ๆ ไว้ครับ แล้วจะทำให้คุณจำได้แม่น) ลูกน้องผมคนนึงชื่อ Barry ผมก็นึกถึงข้าว Barley ซึ่งออกเสียงคล้ายๆ กัน

4. ขั้นตอนต่อไปให้กล่าวทักทายด้วยการเอ่ยชื่อคนนั้น แทนที่จะกล่าวว่าสวัสดีหรือยินดีที่ได้รู้จัก เฉยๆ เช่นเมื่อเขาแนะนำว่าเขาชื่อสมชาย ให้คุณกล่าวทันทีว่า "สวัสดีครับคุณสมชาย" หรือ "ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณสมชาย"

5. ในขณะที่คุณได้กล่าวชื่อของเขาอยู่นั้นก็ให้นึกถึงภาพในใจที่คุณสร้างขึ้นมาหรือนึกถึงลักษณะพิเศษบนใบหน้าของผู้นั้น

6. ตลอดระยะเวลาที่คุณพบบุคคลนั้นให้หมั่นทบทวนในใจถึงชื่อของเขาและภาพเชื่อมโยงที่ท่านสร้างขึ้นมา

รับรองครับว่าถ้าท่านนำวิธีนี้ไปใช้่ท่านจะจำชื่อคนได้แม่นขึ้นกว่าเดิมแน่นอน แล้วพบกันใหม่ครับ



ความหมายของ "ความจำ" เป็นคำที่ใช้อธิบายวิธีการที่ข้อมูล หรือสิ่งที่เรียนรู้ถูกบันทึก และเก็บไว้ถาวรในความจำระยะยาวและสามารถที่จะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้ ความรู้ที่นักเรียนเรียนรู้แล้วแต่จำไม่ได้ก็จะไม่มีประโยชน์ นักเรียนส่วนมากจะไม่มีวิธีการเรียนและวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพ วิธีทั่วๆไป
ที่นักเรียนใช้อยู่เสมอ เช่น การอ่านทบทวนการสรุปและการขีดเส้นใต้ใจความสำคัญนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยความจำ ความจริงแล้วมนุษย์เราได้ค้นพบวิธีช่วยความจำ (Memonic Device) ที่ได้ผลดีมากมานานนับเป็นพันๆ ปีแล้ว เยสท์ ลูเรีย ฮันท์ และเลิฟ (Yates, 1966 Luria, 1968 Hunt and Love, 1972) พบว่า การสอนเทคนิคในการช่วยความจำให้แก่นักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้เก็บสิ่งที่เรียนรู้ไว้ในความทรงจำได้นาน ๆ
เทคนิคช่วยความจำที่ใช้กันอยู่มีทั้งหมด 6 วิธี คือ
(1) การสร้างเสียงสัมผัส
(2) การสร้างคำเพื่อช่วยความจำจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ
(3) การสร้างประโยคที่มีความหมายจากอักษรตัวแรกของกลุ่มของที่จะจำ
(4) วิธี Pegword
(5) วิธีโลไซ (Loce)
(6) วิธี Keyword ซึ่งเป็นวิธีที่ใหม่ที่สุด

มาดูเทคนิคการเขียน Blog ใน Blogger.com


มาดูเทคนิคการเขียน Blog ใน Blogger.com
เพื่อการใช้เป็นสื่อในการ โฆษณา 4 รูปแบบ

...ท่านใด ยังไม่ได้เริ่มทำ blog ของ blogger.com เข้าอ่านที่ การสร้าง blog กับ blogger.com ก่อนนะครับ

รูปแบบต่างๆ ในการทำ Blog
รูปแบบที่ 1 ทำเป็นเว็บหน้าเดียว (รูปแบบเก่า) คล้าย landing page หรือเว็บหน้าเดียว ที่ดูแล้วมีทุกอย่างในหน้าเดียว ตัวอย่าง
รูปแบบที่ 2 ทำเป็นเว็บหน้าเดียว (รูปแบบใหม่) เน้นการแสดงภาพรวมในหน้าเดียว ตัวอย่าง เที่ยวลาว พระมหาธาตุแก่นนคร
รูปแบบที่ 3 การทำ blog โดยใช้รูปแบบที่ blogger มีให้เลือก ตัวอย่าง Stop Smoking Shot
รูปแบบที่ 4 การทำ blog โดยใช้รูปแบบใหม่ๆ มีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตัวอย่าง




@รูปแบบที่ 1 ทำเป็นเว็บหน้าเดียว (รูปแบบเก่า) คล้าย landing page หรือเว็บหน้าเดียว ที่ดูแล้วมีทุกอย่างในหน้าเดียว ตัวอย่าง ศาลาแก้วกู่ น้ำตกทีลอซู @

...ทำความเข้าใจ blog ในรูปแบบนี้ เราไม่ต้องเขียนอะไรลงใน blog แม่แบบต่างๆก็ไม่ต้องใส่ใจ เลือกอะไรไปก่อน ก็ได้
เพราะรูปแบบ จะเป็น เว็บไซต์ หน้าเดียวที่เราเขียนขึ้นมา

...เราต้องเขียนเว็บไซต์ เป็นเว็บไซต์หน้าเดียว นามสกุล .html หรือ .htm ในคอมพิวเตอร์ของเราก่อน
เดี๋ยวนี้ มีโปรแกรมทำเว็บไซต์มากมายนะครับ

..โปรแกรมเขียน โฮมเพจที่แจกฟรี http://net2.com/nvu/download.html ข้างล่าง จะมีให้เลือกโหลดไฟล์นะครับ จะเลือกเป็นแบบ .exe ก็ได้ หรือ แบบ .zip แล้วค่อยเอามาแตกไฟล์ .zip ก็ได้ สำหรับวิธีการเขียนเว็บไซต์ ดูได้ที่ http://www.makemoney-school.com/makemoney-makewebsite.html

กลับมาเรื่องการเขียน Blog...
...ท่านคงสงสัยว่า ไฟล์หน้าเดียวแล้วภาพล่ะ จะเอาเข้า blog ยังงัย
...มี 2 วิธีสำหรับภาพ คือ
1. นำภาพทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบใน เว็บหน้าเดียวหน้านั้น อัพเข้า blog ก่อน
หรือ 2.นำภาพทั้งหมดที่เป็นส่วนประกอบใน เว็บหน้าเดียวนั้น อัพเข้าเว็บฝากภาพ ตัวอย่างเช่น www.imageshack.us www.photobucket.com เป็นต้น
..ทั้ง 2 วิธีนี้ เลือกเอาครับ วิธีไหนก็ได้

สำหรับการเอาภาพเข้าไปใน blog ทำได้โดย มาที่ รูปแบบ แล้วมาที่ องค์ประกอบของหน้า มาที่ เพิ่ม Gadget

ควรมาที่ Gadget ล่างสุด จะได้เป็นพื้นที่ที่กว้างเต็มที่

เลือก Gadget รูปภาพ แล้วคลิกเครื่องหมาย บวก + เพื่อเลือกรูปแบบ รูปภาพ เข้ามาใน blog

... หัวข้อ คำอธิบาย ลิงก์ ไม่ต้องใส่อะไรครับ
... รูปภาพ จากคอมพิวเตอร์ของคุณ มีให้คลิก Browse เลือกภาพจากในคอมพ์ของเรา
... เอา เครื่องหมายที่ ลดขนาดให้พอดี ออกไป
... แล้วกด บันทึก เพื่อเป็นการอัพภาพเข้า blog

...มาดูตัวอย่างภาพที่อัพเข้า blog ครับhttps://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2eTQQhPUhJzM9A1yyCXRPiA6hp4fFAPcKISUojRlVpGzsjqKzVMJEmEHOzD16lhztVR05TMGavRDxeMwA1MNRT2pnDXrw5XqTH7x9HQckKmpF0kPITgsEbb876ePfRiaUCBFQG6Qvsv68/s1600/buddha-002.jpg
...แล้วเราจะรู้ url ของภาพ ได้งัย ???
...กลับมาที่การ up ภาพครับ หลังจากกด บันทึกแล้ว ให้โหลดดู blog ดูภาพที่เราพึ่งอัพเข้าไป คลิกขวาที่ภาพนั้นๆ เลือก Properties


ใช้เม้าส์ copy url นั้นไว้


นำ url นั้น มาใส่ ในส่วนของ รูปภาพนั้นๆ ในไฟล์ เว็บหน้าเดียวที่เราเขียนขึ้น
...ประมาณว่า เว็บที่เราเขียนขึ้นนั้น ในส่วนของภาพ ส่วนใหญ่ ถ้าไฟล์อยู่ในเครื่อง จะอยู่ห้องไฟล์ที่ชื่อ images ในการเขียนเว็บไซต์ รูปภาพต่างๆ ก็จะเรียกไปที่ images/รูปภาพนั้น.jpg
...แต่เราเปลี่ยนการเรียกภาพนั้น ไปที่ url ของภาพที่เรา up เข้าเน็ตไปแล้วแทน

...ภาพทุกภาพในเว็บหน้าเดียว ต้องทำขั้นตอนนี้ทั้งหมดทุกภาพนะครับ โดยอัพทีละภาพ
...เมื่อนำ url ของทุกภาพมาใส่ในเว็บหน้าเดียวนั้นแล้ว เวลาเราเปิดเว็บหน้าเดียวนั้น ในเครื่องคอมพ์ ส่วนที่เป็นภาพ จะไม่แสดงภาพนะครับ
จนกว่าเราจะ up ไฟล์ .html เว็บหน้าเดียวนั้น เข้าเน็ต

...มาดูการ up ไฟล์ เว็บหน้าเดียวเข้า blog ครับ

หลังจาก login เข้า blogger.com แล้วมาที่เมนู รูปแบบ...แก้ไข HTML

ดูที่ล่างๆครับ เลือกที่หัวข้อ เปลี่ยนกลับเป็นแม่แบบดั้งเดิม

ในช่องแก้ไข html เอาออกให้หมดครับ

หลังจากเอาออกแล้ว


...ค้างไว้ก่อนครับ คราวนี้ เป็นขั้นตอนการเอาไฟล์ .html หรือเว็บหน้าเดียวของเรา มาลงใน blog ครับ

เปิดโปรแกรม notepad ขึ้นมา ถ้าเปิดไม่เป็นการมาที่ Start ที่มุมล่างซ้ายของคอมพิวเตอร์ แล้วมาที่ Run... แล้วพิมพ์คำว่า notepad แล้ว OK


เมื่อเปิดโปรแกรม Notepad ขึ้นมาแล้ว เลือก open เพื่อที่จะเปิดไฟล์ เว็บหน้าเดียว หรือไฟล์ html ที่เราเขียนขึ้นมา

อย่าลืมเวลาเลือกเปิดไฟล์ ให้เปลี่ยนด้านล่างของโปรแกรม notepad ให้เป็น Files of type เป็น All Files ด้วย เพราะ
ปกติ โปรแกรม notepad จะเซ็ตให้มองเห็นแค่ไฟล์ .txt เราจึงต้องเปลี่ยนให้มองเห็นไฟล์ทั้งหมด เราจะได้เห็นไฟล์ html หรือเว็บหน้าเดียวนั้น ด้วย


ใช้เม้าส์ คลิกซ้ายลาก ให้คลุมทั้งหมด (จะเห็นภาษา html ของเว็บหน้าเดียว) แล้วคลิกขวาเม้าส์ เพื่อ Copy ข้อความภาษา html ทั้งหมดมา

แล้วนำที่ Copy ไปวาง(Paste) ไว้ใน ช่ิอง แก้ไข html ใน blog


...จะได้เป็น ดังภาพล่าง แล้ว คลิกกด บันทึกการเปลี่ยนแปลงแม่แบบ

...เป็นอันเสร็จครับ จากนั้น ก็โหลด blog ดูครับ จะเห็นเว็บหน้าเดียวในรูปแบบของ blog ครับ ตัวอย่าง ศาลาแก้วกู่ น้ำตกทีลอซู

@ รูปแบบที่ 2 ทำเป็นเว็บหน้าเดียว (รูปแบบใหม่) เน้นการแสดงภาพรวมในหน้าเดียว ตัวอย่าง เที่ยวลาว พระมหาธาตุแก่นนคร@

ดูตัวอย่าง จากเว็บ เที่ยวลาวนะครับ http://laos-tours.blogspot.com/
...เทคนิคของ blog นี้ ทำโดย ไม่ได้ แก้ไข blog เป็นรูปแบบดั้งเดิมนะครับ การใช้ blog รูปแบบดั้งเดิม ทำเฉพาะ รูปแบบที่ 1 รูปแบบเดียวครับ
...เทคนิด blog นี้ เป็นการเขียน blog ในรูปแบบปกติ ใช้แม่แบบ Minima ครับ ลักษณะจะขาว ไม่มีลวดลายอะไร

...ใน blog เที่ยวลาว มีการเขียนโพสแค่ ข้อความเดียว ในข้อความที่ โพสมีการแทรกภาพไป 1 ภาพ
...ที่หัวเว็บ คลิกที่แก้ไข ก็จะมีให้แทรกภาพได้ ก็ออกแบบภาพไว้ กะขนาดของภาพให้พอดี กับการเป็นหัวเว็บ
...สำหรับด้านขวา ข้างๆ ข้อความโพส เป็นการแทรกภาพ โดยใช้
เลือก Gadget รูปภาพ แล้วคลิกเครื่องหมาย บวก + เพื่อเลือกรูปแบบ รูปภาพ เข้ามาใน blog

ยกตัวอย่าง ภาพแรกด้านขวาใน blog เที่ยวลาว
... หัวข้อ ใส่... แผนที่ประเทศลาว
... คำอธิบาย ใส่...มีประชากรประมาณ 6 ล้านคน
... รูปภาพ เลือกภาพจากในคอมพ์
... เลือก ลดขนาดให้พอดี
... แล้วกด บันทึก เพื่ออัพภาพเข้า blog
ทำแบบนี้ ทั้ง 3 ภาพครับ

แล้วถัดลงมาล่ะ ที่เป็นส่วนของข้อมูลต่างๆ ภาพต่างๆ
เป็นการเพิ่ม Gadget ที่อยู่ส่วนล่างสุด

เลือก HTML/จาวาสคริปต์

..แล้ว ทำเว็บหน้าเดียว ในคอมพ์ แล้ว ใช้โปรแกรม notepad เพื่อ copy ข้อความ html ต่างๆ มาใส่ไว้ใน blog ขั้นตอนนี้ ทำเหมือน blog รูปแบบที่ 1 ..สำหรับรูปภาพต่างๆ เรา อัพเข้าเว็บฝากภาพต่างๆ ก่อน แล้วค่อย copy url ภาพ มาแทนส่วนของภาพต่างๆ ในไฟล์เว็บหน้าเดียว หรือจะอัพเข้า blog เลยก็ได้ แต่ภาพอัพเข้า blog มีขั้นตอนดังนี้
..คือการ เพิ่ม Gadget แล้วเลือก รูปภาพ
..อัพรูปทุกรูปที่ใช้ในไฟล์เว็บหน้าเดียวเข้าไปก่อน copy url ภาพแต่ละภาพไว้ ภาพต่างๆก็จะเรียงลงมา ใน blog เลยครับ อย่าพึ่งคิดว่าจะรก blog แบบไม่เป็นระเบียบครับ
..พออัพทุกภาพแล้ว และ copy url ภาพไว้แล้ว เข้าไปแก้ไข Gadget ของทุกภาพครับ

แล้วเลือก ลบ นะครับ ที่ใต้ภาพ จะมีให้เลือกลบ รูปภาพ อย่าเลือกนะครับ เลือก ลบ ที่อยู่มุมล่างซ้ายครับ จะเป็นการลบ Gadget รูปภาพออกไป
(ภาพจะยังอยู่ครับ ตามที่อยู่ url ที่เรา copy ไว้ แต่การลบ Gadget ภาพจะไม่โชว์ใน blog ครับ)

พอลบ Gadget ทุกภาพ ภาพที่เราจะใช้สำหรับไฟล์ เว็บหน้าเดียว ออกไปแล้ว blog ก็จะกลับมาเหมือนเดิมครับ คือ มี โพส 1 โพส ด้านขวามือก็มีภาพ 3 ภาพที่เราใส่ไว้เพื่อออกแบบ blog
...กลับมา Gadget ที่เป็น HTML/จาวาสคลิปต์ ครับ
...หลังจากที่เรา แก้ไขที่อยู่ของภาพในไฟล์เว็บหน้าเดียวที่เราเขียนไว้ แล้ว เราก็ใช้โปรแกรม notepad เพื่อ copy ข้อความ html ต่างๆ ของเว็บหน้าเดียวนั้ มาใส่ไว้ใน blog เป็นอันเสร็จ รูปแบบที่ 2 ครับ

*** ทำไมรูปแบบที่ 1 จึงต้อง เปลี่ยนเป็นรูปแบบดั้งเดิม ก่อน ถึงเอาข้อความภาษา html ลงไป ทำไม ไม่ใช้ Gadget HTML เลย ???
...เพราะถ้าไม่เปลี่ยนเป็นรูปแบบดั้งเดิม ในการแก้ไข html ล้างทั้งหมด แล้วเอา html ของเราเข้าไปแทนที่ ไม่สามารถทำได้ ..และกรณี ใช้ Gadget HTML เราก็ไม่สามารถใช้ Gadget HTML โดดๆได้ เพราะองค์ประกอบหลักๆของ blog ยังอยู่ เช่น หัว blog หรือ ในส่วนของการโพสข้อความบทความต่างๆ ***

@ รูปแบบที่ 3 การทำ blog โดยใช้รูปแบบที่ blogger มีให้เลือก ตัวอย่าง Stop Smoking Shot @


รูปแบบที่ 3 ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นรูปแบบทั่วๆไป แม่แบบ ใน blogger ก็มีให้เลือกครับ
... สำหรับที่หัวเว็บ ก็ออกแบบภาพ ให้เป็นลักษณะของหัวเว็บ มีคำอธิบาย ต่างๆ ออกแบบสีให้กลมกลืน เป็นลักษณะเดียวกับรูปแบบ blog
แล้วก็ ที่หัวเว็บ สามารถ เลือกที่จะให้ คำอธิบายเว็บ ซ่อนอยู่หลังภาพหัวเว็บได้ ก็เลือก ให้ซ่อนอยู่หลังภาพหัวเว็บ เพราะภาพที่หัวเว็บ ได้ เขียนอธิบาย blog ไว้แล้ว

@ รูปแบบที่ 4 การทำ blog โดยใช้รูปแบบใหม่ๆ มีให้เลือกมากมายหลายแบบ ตัวอย่าง วังน้ำเขียว กล้วยไม้ป่าช้างกระ เขาฉกรรจ์ @

รูปแบบที่ 4 นี้ ท่านใด ได้อ่าน การสร้าง blog กับ blogger.com คงเข้าใจวิธีการแล้วนะครับ

...มาทบทวนกันอีกก็ได้ครับ คือรูปแบบของเว็บ เที่ยววังน้ำเขียว ทำไมไม่มีใน แม่แบบของ blogger
การใส่แม่แบบนอกเหนือจากแม่แบบที่มี ใน blogger ทำดังนี้
เข้าไปที่ http://btemplates.com/ จะมีรูปแบบต่างๆให้เลือก ดาวน์โหลด
ไฟล์ที่โหลดมา จะเป็นไฟล์ .zip ให้เรา แตกไฟล์ .zip ออกมา จะได้เป็นไฟล์ .xml
..เราจะเอาไฟล์ .xml เข้า blog ได้อย่างไร ?
,มาที่เมนู รูปแบบ หัวข้อ แก้ไข HTML จะมีให้ Browse เพื่อเลือกไฟล์ .xml ที่เรามีในเครื่อง (ที่เราไปโหลดมา)
แล้วคลิก อัปโหลด เพื่อ โหลดไฟล์ xml เข้าไปใน blog



จะมีบางรายการขึ้นมา ว่าส่วนไหนบ้างของแม่แบบเก่า จะหายไป ก็คลิกที่
ยืนยันและบันทึก เพื่อ เปลี่ยนแปลงให้ blog เรา เป็นแม่แบบใหม่ ที่ต้องการ
...สำหรับข้อความ บทความในการโพสต่างๆ ก็จะยังอยู่นะครับ จะไม่หายไปไหน เป็นการเปลี่ยนแม่แบบเฉยๆ
แต่ส่วนของการตกแต่ง หรือ Gadget ต่างๆที่เราเพิ่มเติมเสริมใน แม่แบบเก่า จะหายไป เราค่อยมาเลือก Gadget เพื่อตกแต่งใหม่ได้ครับ


... จบแล้วครับ ความรู้ในการเขียน blog กับ blogger.com และเทคนิคการนำเสนอ ในรูปแบบต่างๆ

.. แล้วเราจะใช้เป็นสื่อโฆษณา จะต้องทำงัย ???
คำถามลักษณะนี้ อันที่จริง บางคนไม่สงสัยนะครับ แต่ผมเจอเรื่อยๆครับ

เช่น ทำ blog ได้เงินยังงัย ? ทำ seo ได้เงินยังงัย ? ทำให้เว็บติด search ได้เงินยังงัย ? หาเงินทางเน็ตได้เงิน เดือนละเท่าไหร่ ?
จริงๆแล้วถ้าเริ่มที่จะเข้าใจระบบก็เข้าใจคำตอบต่างๆแล้วครับ

ตอบก็คือ การทำ blog คือการทำสื่อในการนำเสนอครับ !
ยกตัวอย่างเช่น คนขายก๋วยเตี๋ยว ถ้าจะเอาให้เหมือนกัน ก็คือ ยกตัวอย่างคนขายก๋วยเตี๋ยว เฟรนไชน์ ชายสี่หมี่เกี๊ยว ทุกคนขายเหมือนกัน สิ่งที่ต้องนำเสนอ สิ่งเดียวกัน คือก๋วยเตี๋ยว ยี่ห้อ ชายสี่หมี่เกี๊ยว ...แต่ แต่ละคนได้รายได้ หรือขายได้ไม่เท่ากันครับ ..ใช่ครับ ขึ้นกับทำเลที่เค้าขาย ขึ้นกับ การเรียกลูกค้าโดยเทคนิคต่างๆ ของเค้าเอง
..ทางเน็ตก็คล้ายกันครับ ในการที่เราจะนำเสนออะไรก็แล้วแต่ เราต้องทำสื่อเป็นครับ ซึ่งในที่นี้ กำลังแนะนำ การทำ blog ต่อมาก็คือทำให้เว็บติด search ..แล้วได้เงินงัยล่ะ ก็คุณทำสื่อเป็น คุณอยากโฆษณาอะไร ก็โฆษณาไป หรือสมัคร affiliate ต่างๆ เพื่อนำมาโฆษณาก็ได้ แล้ว เมื่อมีผู้สนใจ หรือขายสินค้าได้ (หรืออะไรก็แล้วแต่ตาม affiliate นั้นๆกำหนด ว่าจะจ่ายส่วนแบ่งให้เรา) เราก็ได้ส่วนแบ่ง ...การทำ SEO หรือการทำเว็บให้ติด search ได้เงินงัยล่ะ ...ก็ในเมื่อคนที่เค้า search แล้วมาเจอ blog หรือสื่อในการโฆษณาที่คุณทำไว้แล้ว การ search คำที่เค้าใช้ค้นหา ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องบ้างในเว็บเรา เค้าถึงมาเจอเว็บเรางัย อย่างเช่น ถ้าเราทำ blog แนะนำการหาคู่ ถ้าติด search ในอันดับดีๆ คนที่ค้น ก็ต้องค้นเกี่ยวกับหาคู่นั่นแหละ ว่าอีกอย่างก็คือ เค้ามีความสนใจในเรื่องหาคู่อยู่แล้ว และมาเจอ blog เราทำเรื่องเกี่ยวกับหาคู่อีก ก็มีโอกาสสิครับ ที่เค้าจะสนใจสมัครหาคู่ ซึ่งระบบหาคู่ ก็มี affiliate แบ่งจ่ายให้คนที่แนะนำ ให้ผู้สนใจมาสมัครหาคู่ได้ เป็นต้น ครับ

...ตัวอย่าง blog ท่องเที่ยวต่างๆที่ผมทำล่ะ เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ค่อยมี affiliate ผมก็เลยแนะนำหรือโฆษณาอย่างอื่นแทนครับ อาจจะได้รับผลตอบรับไม่ดีเท่ากับการโฆษณาให้ตรงกับเรื่องของเนื้อหาใน blog แต่หลักการ ในการแนะนำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีใครมาเห็นข้อมูลโฆษณา เราก็ไม่มีโอกาสแนะนำ หรือโฆษณาให้ใครได้ครับ
...เคยไปตลาดนัด เปิดท้าย หรือห้างต่างๆ แล้วเห็นสินค้าที่เราคิดว่า ไม่รู้ว่าจะขายได้งัย ไม่มีไรน่าสนใจมั้ยครับ และเคยกลับไปเห็นสินค้านั้นอยู่เรื่อยๆมั้ยครับ ...ครับ ใน 500 คน อาจมีคนสนใจสินค้า แค่ 1 คน แต่นั่นก็คือรายได้ครับ ทำให้ร้านนั้นยังอยู่งัยครับ

...ข้อความต่างๆ วิธีการต่างๆ คัดลอกได้ครับ แต่ต้องอ้างอิงว่า เป็นความรู้ เอามาจาก http://www.makemoney-school.com ด้วยครับ

เทคนิคทำงานดี...ไม่มีงานค้าง


  • จัดลำดับความสำคัญของงาน
    เคยสงสัยไหมว่า ทำไมทำงานไม่เคยทัน ทั้ง ๆ ที่คุณก็เป็นคนทำงานเก่ง นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของงานให้เป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน แม้ว่าจะทำงานได้ดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่จัดสรรเวลาให้ดี คุณอาจต้องเผชิญกับงานค้างระหว่างวันหยุดยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นควรจัดลำดับความสำคัญของงานทุกครั้งที่มีงานใหม่เข้ามา ให้ความสำคัญกับงานที่เร่งด่วนก่อน แล้วค่อย ๆ ทำงานไปทีละอย่าง รับรองว่าปัญหางานค้างจะไม่มีอย่างแน่นอน
  • สะสางทันที ไม่มีงานค้าง
    นิสัยผัดวันประกันพรุ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้คุณต้องประสบกับปัญหางานค้าง ดังนั้น เมื่อมีงานเข้ามาใหม่ และมีเวลาในการทำงาน คุณควรรีบสะสางงานนั้น ให้เสร็จก่อนทันที อย่าคิดว่าเดี๋ยวก็ทำเสร็จ เพราะคุณไม่รู้ว่าในระหว่างนั้นอาจมีงานอื่นแทรกเข้ามา ทำให้คุณไม่มีเวลาสะสางงานชิ้นแรกก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อมีเวลา คุ็ณควรทำให้เสร็จทันที อย่าปล่อยให้คั่งค้าง จนหาเวลาสะสางไม่ได้
  • อย่านำงานกลับไปทำที่บ้าน
    การเอางานกลับไปทำที่บ้าน ไม่เพียงแต่จะทำให้เสียเวลาในการพักผ่อน แต่ยังทำให้คุณติดนิสัยเอางานมาทำนอกเวลาจนกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานของคุณขาดประสิทธิภาพ และยิ่งทำให้มีงานค้างมากขึ้น หากคุณยังทำงานที่เอากลับไปไม่เสร็จ
  • อย่าทำงานคนเดียว
    คนเก่งหลายคนมักจะหวงงาน และคิดว่าคนอื่นทำได้ไม่ดีพอ บางคนไม่ยอมแม้จะมอบหมายงานของตัวเองให้ลูกน้องช่วยทำ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องทำงานคนเดียว และไม่สามารถทำงานนั้นเสร็จ หากคุณอยากทำงานให้ลุล่วงทันเวลาและไม่มีงานค้าง คุณอาจจะต้องแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง ดีกว่าต้องแบกภาระไว้คนเดียว แล้วงานไม่เสร็จ

10 เทคนิค การประชาสัมพันธ์ร้านค้าออนไลน์


เปิดร้านค้าออนไลน์ แต่ไม่มีคนซื้อ ขายของไม่ได้ แล้วจะเปิดไปทำไม? เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเคยเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ วันนี้ lnwShop มี 10 เทคนิคดีๆ เพื่อช่วยให้ร้านค้าของคุณมีลูกค้ามาฝากกันค่ะ
2011 03 07 111834 10 เทคนิค การประชาสัมพันธ์ร้านค้าออนไลน์
1.ลงทะเบียนเว็บไซต์กับ search engines
บางที search engines (เช่นsanook,google,msm)อาจจะพบเว็บไซต์ของคุณจากการซุ่มหาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีลิงค์ไปยังเว็บอื่นๆ แต่ทางที่ดีคุณควรจะส่งชื่อเว็บไซต์ไปยัง search enginesด้วยตัวเอง เพราะส่วนมากแล้วผู้ที่เข้าดูเว็บไซต์จะเข้าจากลิ้งค์ในsearch engines
2. ใช้ Signature(sig)file
โดยทั่วไปแล้ว sigfile จะประกอบไปด้วย ชื่อคนชื่อบริษัท ที่อยู่สำหรับติดต่อ และ/หรือสโลแกนของบริษัทรวมทั้งลิ้งค์ตรงไปยังเว็บไซต์ของคุณ sigfile นี้ควรจะอยู่บริเวณท้ายอี-เมล์ทุกฉบับที่คุณส่งออกและอย่าลืมใส่ไว้เวลาเข้าไปตอบหรือโพสต์ในเว็บบอร์ดอื่น ๆ ด้วย
3. โพสต์ในforums(ห้องเสวนา)
เข้าไปพูดคุยในฟอรั่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณบ้างแต่เวลาเข้าไปไม่ใช่แค่ไปโฆษณาธุรกิจของคุณเท่านั้นให้ตอบคำถามในเรื่องที่คุณมีความรู้ แล้วก็ใส่ sigfile ไว้ท้ายข้อความคนอ่านจะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
4 .แจกของฟรีบนเว็บ
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบของฟรีคุณจะได้จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนถ้าบนเว็บของคุณมีของฟรีแจกเช่น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ บทความที่น่าสนใจ วอลล์เปเปอร์สวย ๆ มีเกมให้เล่นชิงรางวัลหรืออะไรก็ได้ที่จะดุงดูดกลุ่มเป้าหมาย
5. อัพเดทเว็บไซต์ให้ทันสมัย
การส่งชื่อเว็บไซต์ให้searchenginesเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการโปรโมตเว็บแต่จะต้องอัพเดทเว็บด้วย เพราะ search engines จะจัดลำดับผลการค้นด้วยคีย์เวิร์ด และ metatags (ข้อมูลที่บอกว่าเว็บนี้เกี่ยวกับอะไรแต่อยู่ในโค้ดที่ผู้ใช้จะมองไม่เห็น ทำไว้สำหรับให้ search enginesค้น)
6.ส่งข่าวสารผ่านอี-เมล์
อี-เมล์เป็นการส่งข่าวสารใหม่ ๆของบริษัท หรือโปรโมชั่นพิเศษให้ถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายคุณควรมีข้อมูลอี-เมล์ของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ ดังนั้นบนเว็บไซต์ควรมีที่ให้ผู้เข้าชมเว็บกรอกข้อมูลหรืออี-เมล์ไว้เพื่อรับข่าวสารต่าง ๆ
7. แลกเปลี่ยนลิ้งกับเว็บอื่นๆ
ในเว็บไซต์ของคุณควนจะมีลิ้งค์ไปเว็บไซต์ดี ๆ ที่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องการแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้ช่วยเพิ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดีเพราะบางทีเราอาจจะมีสินค้าหรือบริการที่ที่อื่นไม่มี
8.เปิดอีกเว็บไซต์
บางทีเว็บไซต์ที่ดูเป็นธุรกิจเกินไปอาจไม่น่าสนใจทำไมไม่ลองเปิดอีกสักเว็บไซต์ที่มีเรื่องน่าสนใจแต่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณตัวอย่างเช่นบริษัทกฎหมายเล็ก ๆ อาจจะเปิดเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจ บทความแบบฟอร์มต่าง ๆ หรือลิ้งค์ไปยังคดีต่าง ๆแล้วใช้ชื่อบริษัทเป็นสปอนเซอร์ให้กับเว็บไซต์โดยใช้แบนเนอร์โฆษณาหรือทำลิ้งไปยังเว็บไซน์ของบริษัทเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายตามไปที่เว็บไซต์บริษัท
9. ซื้อโฆษณาบนเว็บดัง ๆ
ถึงตอนนี้ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังมีผู้เข้าชมไม่มากพอละก็แนะนำให้ซื้อโฆษณาบนเว็บอื่น มี 2 ที่ที่ควรลงโฆษณานั่นก็คือที่search enginesและเนื้อที่โฆษณาบนเว็บดังที่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
10.ใช้แผนโปรโมชั่นบนกระดาษ
การโฆษณาบนเว็บแต่เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คุณสามารถใช้วิธีการโฆษณาแบบง่ายๆ นั่นก็คือ การใช้กระดาษ หัวจดหมาย ซองจดหมายหรือนามบัตรที่พิมพ์โลโก้และที่อยู่ของบริษัท ท้ายสุดอย่าลืมใส่URL(ที่อยู่ของเว็บไซต์ด้วย)
ขอบคุณที่มา : smethailand.com

เทคนิคการให้รายละเอียดสินค้า


เทคนิคการให้รายละเอียดสินค้าเพื่อปิดการขาย
เพื่อแนะนำวิธีการให้รายละเอียดสินค้าเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ กับการให้รายละเอียดสินค้าในเว็บไซต์ของตนได้ ซึ่งการให้รายละเอียดสินค้าที่ครบถ้วนนั้นจะสามารถปิดการขายผ่านหน้าเว็บได้ ง่ายขึ้น เทคนิคการให้รายละเอียดสินค้าเพื่อปิดการขายนั้น จะต้องมีความสมดุลกันระหว่างการให้ข้อมูลแก่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันต้องให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เข้าใจได้ในระยะเวลาที่น้อยที่สุด การให้ข้อมูลควรจะประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้

ชื่อสินค้า รายละเอียดสินค้า
 
โดยให้บอกลักษณะเด่นในสินค้านั้น การให้ข้อมูลที่ดีคือการให้ข้อมูลที่เป็นความจริง แต่เน้นที่จุดเด่น และสร้างความแตกต่าง ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ช่วยลูกค้าให้เกิดการตัดสินใจสั่งซื้อ

เทคนิคการสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์

เทคนิคการสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์

การออกแบบ รูปแบบแสดงผล และสีสันของเว็บไซต์ควรแสดงออกถึงความน่าเชื่อถือ
 เช่น การใช้รูปแบบที่แสดงออกถึงความจริงจังในการทำธุรกิจ จริงจังในการขายสินค้าและบริการ ไม่ใช้รูปแบบที่แสดงออกถึงความตลกขบขัน ดูไม่เป็นมืออาชีพ สีที่ใช้บนเว็บไซต์ควรแสดงออกถึงความจริงจัง น่าเชื่อถือ อย่างโทนสีน้ำเงิน สีเทา หรือโทนสีเข้ม ไม่ควรใช้โทนสีสดใสมากจนเกินไป ยกเว้นสินค้ากลุ่ม trendy, fashion หรือกลุ่มที่ต้องการความสดใส

เทคนิคการเขียน Blog

เทคนิค 10 ข้อ เขียน blog ติดอันดับเร็วมาก

1. ให้คนอ่านได้รับรู้ถึงความคิดเห็นของคุณ
คน ทั่วไปชอบบล็อก เหตุผลก็คือ บล็อกนั้นถูกเขียนขึ้นโดยทั่วไป โดยไม่ใช่บริษัทหรืออะไร คนส่วนใหญ่อยากที่จะรู้ว่าคนอื่นมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร และถ้าจะพูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ เขาอยากรู้ว่าคุณ (เจ้าของบล็อก) นั้นคิดอย่างไร จงบอกพวกเขาว่าคุณคิดอย่างไร โดยใช้ความยาวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2. หาลิงค์มาใส่เยอะๆ 
หาอะไรมาสนับสนุนไอเดียของคุณ เช่น เวบอื่นๆ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับเนื้อหาของบล็อกคุณ

3. เขียนให้สั้นเข้าไว้
พยายาม เล่าเรื่องให้มันสั้นๆเข้าไว้ เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีเวลาน้อย และก็ยุ่งมากอยู่แล้วในแต่ละวัน เขียนเรื่องของคุณให้คนอ่านแว๊บเดียวจบ จะดีทีี่สุด!!

4. ความยาว 250 คำก็เพียงพอ 
โพสยาวๆนั้นเข้าถึงคนได้ยากและคนก็ลืมง่าย แต่โพสที่สั้นๆ นั้นจะให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม

5. ทำให้หัวข้อเรื่องมันติดตา จำง่าย 
ใส่ใจความสำคัญไว้ที่หัวเรื่อง (subject) ให้มีความกะทัดรัดและจำง่ายไม่คุณก็ลองดูตัวอย่างจากหนังสือพิมพ์ก็ได้ว่าเขาทำกันอย่างไร

6. ทำออกมาเป็นหัวข้อๆ ให้คนอ่าน
เราทุกคนชอบอ่านอะไรที่เป็นข้อๆอยู่แล้ว เพราะมันทำให้เนื้อหาของเรื่องที่อ่าน อยู่ใน format ที่อ่านได้ง่ายขึ้น

7. ทำให้โพสของคุณอ่านง่าย
ในทุกย่อหน้าของคุณ พยายามใส่หัวเรื่องย่อยลงไป และก็อย่าพยายามใช้หัวเรื่องที่ยาวเกินไป

8. พยายามคงเส้นคงวากับ Style การเขียนของคุณ 
คนส่วนใหญ่ชอบรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากที่คนอ่านของคุณติดใจใน style คุณแล้วก็อย่าพยายามเปลี่ยนมัน

9. พยายามแทรก Keyword ไว้ในตัวโพสด้วย
พยายาม คิดถึงตัว Keyword ที่คนทั่วไป มักจะใช่ในการ search เข้ามาหาโพสของคุณ และพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงในหัวข้อเรื่อง และตัวโพส
อีกอย่างที่ต้องระวังคือ ต้องพยายามใส่ Keyword เหล่านั้นลงไปให้ดูเป็นธรรมชาติและต้องไม่ให้ดูเยอะเกินความจำเป็น

10. แก้เนื้อหาบ้าง 
หลังจากคุณเขียนโพสเสร็จแล้ว ก่อนที่คุณจะทำการกดปุ่ม submit ให้คุณลองย้อนกลับมาอ่านโพสของคุณอีกครั้ง และก็ตัดส่วนที่คุณคิดว่า ไม่จำเป็นออกไป หรืออะไรก็ตามที่ไม่น่าจะเอาไว้



การโปรโมท blog หรือ Web ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่จะเอาดีในด้านการให้ข้อมูลอย่างมืออาชีพ ด้วยเหตุที่ว่าเราจะสร้างเว็บ หรือ blog มาทำไมในเมื่อไม่อยากให้ใครเห็น หรือ ใครพบเว็บ หรือ บล็อกของเรา

ในการเขียนบล็อก หรือ เว็บไซต์นั้น สำหรับธุรกิจโดยทั่วไปย่อมหวังที่จะให้ได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีมา Internet ก็คืออีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยทำให้เกิดช่องทางในการนำเสนอสินค้าและบริการ สำหรับผู้ประกอบการทั่วไป แต่ด้วยเหตุที่ในการนำเสนอสินค้าและบริการต่าง ๆ เหล่านั้นต่างก็มีผู้ประกอบการต่าง ๆ มากมายนำเสนอเช่นเดียวกันเป็นจำนวนมากหลายหมื่นหลายล้านเว็บไซต์ทั่วประเทศ เครื่องมือค้นหาอย่าง Search Engine?ถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น จึงมีการนำเสนอโฆษณารูปแบบ PPC (จะนำเสนอในครั้งต่อไป) แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทุก ๆ เดือนไปตลอดที่มีการโฆษณา เมื่อใดก็ตามที่ไม่มีการโฆษณาเว็บของเรา หรือ blog ของเราก็จะหายไปในบัดดล เว้นแต่ว่าคุณได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาการทางด้าน SEO มาก่อนที่จะหยุดทำการโฆษณานั้น ๆ จนติดหน้าแรกไปแล้ว

การโปรโมทเว็บ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องมีการวางแผนที่ดี แต่ก็อาจเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งอาจมองว่าไม่คุ้มกับการ โปรโมทเว็บ หรือ โปรโมทบล็อก ด้วยซ้ำไปวันนี้ Make Many จะนำเสนอเรื่องราวทางด้านเทคนิคในขั้นพื้นฐานสำหรับการ โปรโมทเว็บ หรือ โปรโมท blog กันครับที่ประหยัดเวลาและไม่ต้องเสียเงินในการโปรโมทด้วยครับ

เทคนิคการโปรโมทเว็บ หรือ blog ให้ติดอันดับใน Search Engine
ก่อน ที่เราจะทำการโปรโมทเว็บ หรือ โปรโมท blog ของเรานั้นเราต้องทำการสำรวจ ข้อมูลและเว็บ หรือ blog ของเราเสียก่อนครับโดยให้คุณดำเนินการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ครับ เพื่อง่ายต่อการเข้าใจคุณสามารถ ศึกษาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เรื่อง “SEO คืออะไร” และ “Blog กับ SEO” กันเสียก่อนหนะครับจะได้เข้าใจตรงกันครับ

ขั้นตอนการโปรโมทเว็บไซต์/โปรโมท blog
1. Study ทำการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ คีเวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เว็บหรือบล็อกของเรา รวมไปถึงคีเวิร์ดที่ไกล้เคียงกันให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เช่น ธุรกิจเกี่ยวกับอะไร คำค้นหาหลักอะไร หรือ สินค้าอะไร ได้ยิ่งดีเอาแบบตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะถ้าหากว่าทำแบบกว้าง ๆ อาจไม่ได้ผลในทางที่เป็นการค้าหรือธุรกิจควรให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ครับ

2. Website Optimization ทำการปรับปรุงเนื้อหา และ การปรับแต่งเว็บเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการ SEO ตามแบบฉบับที่เหมาะสม หลักการก็คือพยายามใช้ HTML แบบโบราณให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้ Search Engine ชอบมาก ๆ ครับ ถ้าหากไม่ทราบแนวทางในการปรับแต่งสามารถศึกษาข้อมูลการปรับแต่งแบบโบราณได้ จาก W3C ครับ

3. Website Submission คือการส่งบัติเชิญเหล่า Search Engine ต่าง ๆ ให้มาเก็บข้อมูลที่เราได้ทำการปรับปรุงใหม่นั้น ๆ เพื่อให้ได้รับการ Index ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไปและเป็นการปรับปรุงฐานข้อมูลให้กับ Search Engine ด้วยครับ

4. Evaluation ทำการติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูความเคลื่อนไหวในการติดอันดับในระดับต่าง ๆ และ คีเวิร์ดต่าง ๆ ด้วยครับ

5. Fine Tuning ปรับปรุงเนื้อหาของเว็บไซต์ หรือ บล็อกของเราตลอดเวลาครับ หรือ ทุกวันได้จะดีมากครับเพราะจะทำให้ Robot ของ Search Engine เข้ามาทำการเก็บข้อมูลบล็อก หรือเว็บของเราเป็นประจำ ข้อสำคัญต้องสอดคล้องกับ Keyword ของเราด้วยหนะครับ

เพียงเราทำตาม ขั้นตอนต่าง ๆ แบบง่าย ๆ อย่างนี้ไม่เกิน 6 เดือน Blog หรือ Website ของเราก็จะเริ่มติดอันดับไปทีละ Keyword เรื่อย ๆ และ น่าจะได้อันดับที่ดีพอสมควรครับ ในการโปรโมทเว็บ หรือ blog ด้วยหลักการทาง SEO นั้นต้องอาศัยระยะเวลา เนื่องจากเราต้องรอให้ Search Engine ต่าง ๆ ได้ทำการปรับปรุงเว็บเราไปให้ได้มากที่สุดเสียก่อน หรือ ให้ตรงกับคีเวิร์ดของเราให้มากที่สุดก่อน แต่ก็คุ้มค่าในระยะยาวครับ เพราะถ้าเราติดอันดับแล้วเราก็จะทำการปรับปรุงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนนิ่งและได้รับความน่าเชื่อถือในเรื่องข้อมูลมากขึ้น.

เทคนิคบริหารเวลาให้ทรงประสิทธิภาพ !!

"เวลามีค่ายิ่งกว่าทอง ทองใช่ว่าจะซื้อเวลาได้" เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าของทุกคน ยิ่งคนที่รู้คุณค่าของเวลามากเท่าใด ย่อมสามารถเก็บเกี่ยวคุณประโยชน์จากการใช้เวลาให้มีคุณค่าได้มากเพียงนั้น


เทคนิคการบริหารเวลาจึง เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้ต้องการเรียนรู้การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ อย่างสูง ทำให้สามารถดำเนินภาระกิจต่างๆได้อย่างราบรื่น ง่าย และมีเวลาเพียงพอที่จะบริหารจัดการสิ่งต่างๆให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี และยังมีเวลาส่วนตัวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ตามอัธยาศัย


ปัญหาที่ทำให้เกิดการสูญเสียเวลา
(ม.อึ้ง อรุณ,2537และ (Albert Stackmore อ้างถึงในชาญชัย อาจินสมาจาร, 2535)
มี หลายประการ ควรมีการประเมินผลตัวทำลายเวลาและจัดลำดับความสำคัญ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาที่ทำให้สูญเสียเวลา ได้แก่

1.
ปัญหาที่เกิดจากขาดการวางแผน ว่าจะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ให้ชัดเจน การใช้เวลาอันยาวนานในการทำงานหรือ แก้ปัญหาใดๆ เป็นเหตุให้ผลตอบแทนของความขยันได้กลับมาลดน้อยลง แม้ว่าขยันแต่งานที่ได้ขาดประสิทธิภาพ
2.
ปัญหาที่เกิดจากการผลัดวันประกันพรุ่ง เช่นนอนตื่นสาย ขาดการเตรียมงานวันรุ่งขึ้น อ่านหนังสือพิมพ์ หรือคุยกับเพื่อน หรือดื่มน้ำชากาแฟก่อนทำงาน
3.
ปัญหาที่เกิดจากความวุ่นวาย ทำงานโดยไม่ได้จัดลำดับความสำคัญของปัญหา ไม่ไว้วางใจผู้อื่นจึงขาดการมอบหมายงาน ทำงานหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน หรือการสื่อความหมายที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน ความชักช้า ความไม่คงที่ ยุ่งเหยิง ระบบเอกสารที่ไม่ดี
4.
ปัญหาที่เกิดจากการเล่นมากเกินไป ได้แก่ การใช้เวลามากเกินไปแก่ผู้มาเยือน โทรศัพท์นานหรือบ่อยครั้งเกินไป หรือหลบไปซื้อสิ่งของ ดื่มน้ำชากาแฟ หรือทำอะไรที่ไร้สาระ
5.
ปัญหาซึ่งเกิดจากการมีส่วนเข้าร่วมมากเกินไป ได้แก่การเข้าร่วมในการตรวจสอบ ติดตามข้อปลีกย่อยมากเกินไป หรือใช้เวลายาวนานในการแก้ไขปัญหาแต่ละอย่างมากเกินไป
6.
ปัญหาซึ่งเกิดจากการทำงานบนกระดาษ เช่น ใช้เวลาในการอ่านหนังสือนานแต่จับประเด็นไม่ได้ บันทึกสิ่งต่างๆ ที่ไร้ประโยชน์


การ บริหารเวลา เป็นการจัดการสิ่งต่างๆ ในเวลาที่มีอยู่ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่ใช้เวลาน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
(จุฬาภรณ์ โสตะ และอมรรัตน์ ภูกาบขาว ,2543.)


ความสำคัญของการบริหารเวลา

1.
มี เวลาเหลือมากขึ้น สำหรับทำกิจกรรมที่น่าพอใจหรือเพื่อหย่อนใจ
2.
ทำ ให้พบความสำเร็จที่ต้องการได้มากขึ้นในทุกๆ ด้าน
3.
ลด ความเครียดและวิตกกังวล
4.
รู้สึกผิดน้อยลง


หัวใจสำคัญของการบริหารเวลา

1.
เรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญ โดยการเอางานทั้งหลาย มาจัดลำดับความสำคัญแล้วลงมือทำงานที่สำคัญที่สุด
2.
เรียนรู้ที่จะมอบหมายงาน โดยพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมทำงานแทนในกิจกรรมต่างๆ และให้ความไว้วางใจกับงานที่เขาทำได้


หลักการเบื้องต้นในการบริหารเวลา
(บุญ ชัย ปัญจรัตนากร ,2540)

การบริหารเวลาที่ดี นอกจากสามารถทำงานของตนเองให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว ยังสามารถทำงานเพื่อผู้อื่นได้ด้วยและยังได้รับความสุขจากการมีเวลาว่างของ ตน

1.
การเริ่มต้นที่ดีมีความสำเร็จ เกินกว่าครึ่ง ถ้าการเริ่มต้นของวันใหม่มีความสดชื่นแจ่มใสจึงควรค้นหาสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ สักอย่าง
2.
พิจารณาให้แน่นอน ว่าอะไรสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นปล้นเวลา หรือปล้นสิ่งสำคัญๆในชีวิตไป และจงกล้าที่จะตอบปฏิเสธ เพียงกล่าวว่า "ไม่" สั้นๆ และง่ายๆ
3.
ตั้งเป้า หมาย การมีเป้าหมายอาจมีได้หลายเป้าหมาย ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน การเขียนเป้าหมายเหล่านั้นออกมาจะช่วยให้จุดประสงค์ของมันชัดเจนขึ้น และช่วยกำหนดทิศทางการใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ เดือน ปี ทศวรรษ และชั่วชีวิตได้
4.
กำหนดเกณฑ์ ในการใช้เวลาในการทำกิจกรรมแต่ละอย่าง เช่น การโทรศัพท์ การคุยกับแขก การรับประทานอาหาร ตลอดจนเรื่องใช้จ่ายต่างๆ ควรกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้เวลาเท่าไร
5.
วางแผนประจำวัน ควรเขียนกิจกรรมต่างๆออกมาอย่างชัดเจน แล้ววางแผนการจัดทำเพื่อให้บรรลุผล โดยจัดลำดับความสำคัญ
6.
ใช้ ชีวิตอย่างสมดุล ทั้งในการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ มีเวลาหย่อนใจพอควร เวลาให้กับตนเอง และ การพัฒนาจิตวิญญาณ ตลอดจนเรื่องที่สนใจ
7.
จัด ลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน โดยพิจารณาว่างานใดเร่งด่วน ที่ต้องดำเนินการโดยด่วน งานใดที่สามารถทำภายหลังได้ ไม่ต้องใช้สมองและเวลามากนัก ก็ทำภายหลังได้
8.
ลงมือทำงานที่ยากที่สุด เมื่อทำงานที่ยากสำเร็จจะช่วยให้เกิดความโล่งใจ และช่วยให้เกิดความสำเร็จในการทำงาน
9.
มอบหมายงาน โดยพิจารณาว่าใครที่พอจะช่วยได้ เพื่อช่วยให้มีเวลาเพิ่มขึ้น
10.
ทำงานให้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน อย่าทำงานด้วยความยืดยาด
11.
ออก กำลังกาย เพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ประหยัดที่สุดและง่ายที่สุด
12.
ตรวจสอบสิ่งที่ทำ ว่ามีความสำคัญหรือจำเป็นเพียงใดหรือเป็นเพียงความเคยชิน สำรวจดูว่าถ้าตัดออกจะช่วยให้มีเวลามากยิ่งขึ้นหรือไม่
13.
วางแผนฉลองความสำเร็จ เช่น ถ้างานชิ้นนี้เสร็จแล้วควรจะให้อะไรเป็นรางวัลให้สำหรับตัวเอง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจตัวเอง
14.
ใช้ความจำช่วยประหยัดเวลาในการทำงานสูง จงควรฝึกการจดจำสิ่งต่างๆ


เทคนิคการบริหารเวลา

(บุญชัย ปัญจรัตนากร ,2540 และม.อึ้งอรุณ, 2537)

*
ไปถึงที่ทำงานแต่เช้า การไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาทำงานปกติ จะได้เวลาซึ่งปราศจากการขัดจังหวะ จากสิ่งใดๆ สามารถใช้เวลานั้นเพื่อใช้เวลาคิดในการวางแผน หรือทำงานที่ต้องใช้สมาธิได้
*
จัดชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ หาชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ที่ปราศจากการบกวน โดยงดรับโทรศัพท์ ปิดห้องทำงาน เพื่อได้ทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
*
เขียนสิ่งที่ต้องทำในบันทึก พร้อมจัดสรรเวลาและจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมไปได้ด้วย พร้อมกับระบุวันเวลา ในลงบันทึก เพื่อจัดการงานแต่ละชิ้นออกไป
*
จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบทุกเย็น ถ้าโต๊ะสะอาดจะช่วยให้การทำงานในตอนเช้าง่ายขึ้น
*
ลดจำนวนครั้งและเวลาในการประชุม ต้องคำนึงถึงเสมอถึงผลที่ได้จากการประชุมอย่างถี่ถ้วน คุ้มค่ากับเวลา โดยมีการกำหนดวาระประชุม รักษาเวลาการประชุม และวาระการประชุมอย่างเคร่งครัด
*
แบ่งงานออกเป็นส่วนๆ โดยแปรรูปงานหรือโครงการที่สำคัญให้เป็นกิจกรรมย่อยๆ ที่สามารถจัดการได้สะดวก และใช้เวลาไม่นานนักในแต่ละกิจกรรม จะทำงานให้สำเร็จไปได้ในแต่ละช่วง เพราะเป็นการยากมากที่จะหาเวลาติดต่อกันในช่วงยาวๆ
*
เริ่มลงมือทำทันที อย่ามัวรีรอในการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างงว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนการรีบตัดสินใจทำทันที แล้วค่อยเพิ่มเติมทีหลัง จะให้งานเสร็จเร็วขึ้น
*
พิจารณาใช้เทคโนโลยีช่วย การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นเป็นหลายเท่า เช่นโทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ บัตรเครดิต
*
เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้ใกล้มือ เช่นโทรศัพท์ คลิบหนีบกระดาษ สมุดโน้ต กรรไกร ปากกา ยางลบ เทปใส ตะกร้าขยะ ซองจดหมาย ฯลฯ
*
ใช้หูแทนตาเพื่อประหยัด เวลา เช่นฟังวิทยุแทนดูโทรทัศน์
*
ใช้เวลารอคอยให้เกิดประโยชน์ ถ้าต้องรอคอยอะไรซักอย่างหนึ่ง ต้องหากิจกรรมสำรองที่ง่ายๆ ไปด้วย จะได้ไม่มีความกระวนกระวายใจ ในการรอคอย และยังได้งานเพิ่มขึ้นอีก
*
ประหยัดเวลาในการจับจ่าย โดยการซื้อของเป็นจำนวนมาก ไม่ตองไปซื้อบ่อย ซื้อของเวลาที่คนไม่มาก วานคนอื่นให้คนทำงานแทน ตัดสินใจโดยไม่ลังเลและผนวกการจ่ายตลาดกับธุระประจำเข้าด้วยกันเพื่อประหยัด เวลา
*
การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ ดี ช่วยให้ประหยัดเวลาได้ ทั้งในด้านการช่วยเหลือเกื้อกูล และ การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาด้วยมิตรภาพที่ดี การสื่อสารที่ชัดเจน นุ่มนวล และช่วยให้ได้รับความร่วมมือช่วยเหลือด้วยดี และประหยัดเวลาทำงาน
*
ใช้เวลาปลีกย่อยให้เป็นประโยชน์ ใช้เวลา 10 นาที หรือ 15 นาที ให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องคอยอะไรสักอย่างใช้ให้คุ้มค่า อย่างทิ้งไป
*
ใช้เวลาของแต่ละวันให้เต็มที่ สมเหตุสมผล มีประโยชน์ เช่น ฟังข่าววิทยุ หรือฝึกฟังภาษาอังกฤษขณะขับรถไปทำงาน วางแผนการใช้เวลาแต่ละช่วงให้เหมาะสม หรือทำงานเพิ่มนอกเหนือจากที่จัดระเบียบไว้ในแต่ละวันแล้วจะได้งานอื่นๆ เพิ่มอีกด้วย
*
ทำงานด้วยความ สบายใจ ความสุขและความสนุกสนานเป็นการเสริมสร้างพลังจิตใจให้ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ จิตใจที่สบายเป็นทุนของประสิทธิภาพการทำงาน ควรเพาะเลี้ยงให้มีความสนุกสนานกับการทำงานและเอาใจใส่
*
ในการทำงาน ควรกำหนดเวลาในการพักผ่อนไปด้วย หรือเปลี่ยนงานซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกัน จะช่วยให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
*
ทำงานสองสิ่งในเวลาเดียวกัน ถึงแม้โบราณจะสอนว่า ทำงานสิ่งใด ก็ให้ตั้งใจทำงานในสิ่งนั้น มิเช่นนั้นจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพต่ำลง แต่การตั้งใจทำงานนับเป็นสิ่งที่ดี แต่เราสามารถตั้งใจทำงานควบคู่กันได้
*
การเพิ่มพูนความรู้และข้อมูลข่าวสารต่างๆ อ่านหนังสือให้ได้ผลโดยเพิ่มเวลาอ่านหนังสือให้มากขึ้น อ่านทุกวันและสม่ำเสมอ เลือกหนังสือที่จะอ่านด้วยความระมัดระวัง มีประโยชน์ และมีคุณค่า ตลอดจน เพิ่มความเร็วของการอ่าน


ปรัชญาการบริหารเวลา
(Albert Stackmore อ้างถึงในชาญชัย อาจินสมาจาร, 2535)

"ทำงานให้ฉลาดขึ้น ไม่ใช่ให้หนักขึ้น"