Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

+ พัฒนาบุคลิกภาพ

บุคลิกภาพ คือ ลักษณะท่าทางซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึกนึกคิด ที่สะท้อนออกมาให้ผู้อื่นเห็นและเกิดความประทับใจ ฉะนั้น การที่บุคคลจะได้รับการยอมรับนับถือ การสนับสนุน ความไว้วางใจ และความประทับใจจากผู้อื่นนั้น ก็ควรที่จะแสดงบุคลิกภาพที่ดีและเหมาะสมให้ผู้อื่นเห็น เพราะบุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

1. ความหมายและความสำคัญของบุคลิกภาพ
คำว่า "บุคลิกภาพ" หมายถึง คุณลักษณะทางกาย ทางจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดที่สะท้อนออกมาให้ผู้อื่นเห็นและเกิดความประทับใจมากน้อยเพียงใด

มีความสำคัญคือ บุคลิกภาพนับเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง จึงส่งผลต่อการยอมรับนับถือ การให้ความร่วมมือ การสนับสนุน และความไว้วางใจจากผู้อื่น

2. ประเภทของบุคลิกภาพ
2.1 บุคลิกภาพภายนอก คือ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคน สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวด คือ
1. รูปร่างหน้าตา
2. การแต่งกาย
3. กิริยาท่าทาง
4. การพูด
2.2 บุคลิกภาพภายใน คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แก้ไขได้ยาก เช่น
1. ความเชื่อมั่นในตนเอง
2. ความซื่อสัตย์สุจริต
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4. ความรับผิดชอบ

3. หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
การยืน เดิน นั่ง เป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล งามอิริยาบถ คือ การเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่าง ๆ การไปเยี่ยมคนป่วย การมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือ ไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

4. แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
4.1 การรักษาสุขภาพอนามัย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ
- ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
- ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
- พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
- รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

4.2 การดูแลร่างกาย
- รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
- ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
- โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
- รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
- รักษากลิ่นตัว
- รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
- ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
- ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
- ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
- เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์

4.3 การแต่งกาย
- สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
- สีสันไม่ฉูดฉาด ควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
- กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย
- แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางค์ที่มีคุณภาพดี
- เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆ อย่าปล่อยให้สีถลอกจะไม่น่าดู
- ผม หมั่นสระให้สะอาด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า
- เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปจนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด
- ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
- ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

4.4 อารมณ์
รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ
ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้น จะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น

4.5 ความเชื่อมั่นในตนเอง
- ยอมรับในความสามารถของตนเอง
- อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
- อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
- อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
- หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้

5. การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้าย จิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้น เลขานุการจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
1. มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
2. มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
3. มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
4. มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
6. มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
7. มีความรอบรู้
8. ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
9. มีความจำแม่น
10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

6. การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นเลขานุการจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย

+ เทคนิคการขาย

เทคนิคการขาย

เทคนิค การขาย (Selling Technique) คือ วิธีการขายที่พนักงานขาย ใช้ความสามารถส่วนตัวหรือใช้ศิลปะในการชนะใจลูกค้า โดยให้ความรู้สึกว่าลูกค้านั้นมีความสำคัญต่อผู้ขายมาก ให้ความชื่นชม ให้ความนับถือและให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้าให้มากที่สุด พนักงานขายที่ประสบความสำเร็จในอาชีพขายมีวิธีการใช้เทคนิคแตกต่างกันเช่น
- ความสามารถในการจำชื่อลูกค้าได้แม่นยำแสดงให้เห็นว่าลูกค้าเป็นคนสำคัญและถือเป็นการให้เกียรติยกย่องด้วย
- ความสามารถในการเลือกคำพูดที่สั้นกะทัดรัด เหมาสะ เช่น ไม่รวยก็สวยได้จิ๋วแต่แจ๋ว ฯลฯ
- ให้ลูกค้าทดลองฟรี ซื้อไปแล้วไม่ชอบใจเอามาคืนหรือเปลี่ยนเป็นสินค้าชนิดอื่นได้เหมาะกับสินค้าออกใหม่
- ความสามารถในการทำให้ความฝันของลูกค้ากลายเป็นความจริงได้ เช่น อยากมีบ้าน อยากมีรถ ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ทำให้เกิดภาพลบ เช่น
“ผมไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้จะพอใจคุณหรือเปล่า”
“ผมคิดว่าคุณคงไม่ไปให้เจ้าอื่นเขาหลอกนะครับ”
“ถ้าคุณไม่คิดให้ลึกคุณคงไม่ซื้อของยี่ห้อนี้”
ฯลฯ

ขั้นตอนของเทคนิคการขาย
1. การแสวงหารายชื่อลูกค้าอนาคต (Prospecting) เทคนิคขั้นแรกนี้พนักงานขายต้องพยายามหารายชื่อลูกค้าอนาคตให้ได้ใช้วิธีการ ต่าง ๆ ดังนี้
- วิธีโซ่ไม่มีปลายหรือวิธีการ “ปากต่อปาก” เหมาะกับสินค้าสัมผัสไม่ได้ หรือสินค้าพิเศษ เช่น การบริการของหมอ ยาบำรุง
- ใช้ศูนย์อิทธิพลหรือชมรม สมาคมที่เป็นที่ยอมรับของชุมชน ฯลฯ
- วิธีการจัดแสดงสินค้า จะได้รายชื่อจากผู้เข้าชมงาน กรอกประวัติ ฯลฯ
- วิธีการสังเกตส่วนตัว โดยสังเกตจากลุ่มคนที่พนักงานขายร่วมสังสรรค์ หรือจากสื่อมวลชน จากสถานที่สำนักงานที่มีกลุ่มคนมากมาย ฯลฯ

ประโยชน์ของการแสวงหารายชื่อลูกค้าอนาคต
1) เป็นการประหยัดเวลาที่มีอยู่จำกัดในการเลือกลูกค้าอนาคตว่ามีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากน้อยเพียงใด
2) เป็นการหาคำตอบว่าลูกค้าอนาคตต้องการสินค้าและบริการประเภทใด ลักษณะใด ที่จะมีประโยชน์ต่อลูกค้าอนาคตมากที่สุด
3) เป็นการกลั่นกรองลูกค้าอนาคตว่ามีฐานะหรือรายได้พอที่จะซื้อสินค้าและบริการได้มากน้อยเพียงใด

2. การเตรียมตัวก่อนเข้าพบ (Preapproach) หมายถึง การเตรียมความพร้อม
พนักงานขายในด้านจิตใจมุ่งมั่น พร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบอีกทั้งเตรียมตัวด้านร่างกายต้องแต่งตัวสุภาพ เรียบร้อยเหมาะสมกับรูปร่างและบุคลิกของตนเอง ที่สำคัญควรมีการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของลูกค้าอนาคตตลอดจนอุปกรณ์ ที่จำเป็นในการสาธิตและต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนออกเดินทางว่าเตรียมพร้อม ทุกอย่างแล้วจริงหรือไม่

ประโยชน์ของการเตรียมตัวก่อนเข้าพบ
1) ช่วยกำหนดวิธีการเข้าพบลูกค้าอนาคตได้อย่างเหมาะสม
2) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการที่จะเข้าพบลูกค้า
3) ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เช่น จำชื่อเล่นผิด

3. การเข้าพบ (Appoach) เป็นขั้นที่พนักงานขายต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าเป็นขั้นที่มีความสำคัญมากที่ จะกระตุ้นหรือจูงใจ ให้ลูกค้าเกิดความสนใจและประทับใจเป็นครั้งแรก (Firstimpression) วิธีการเข้าพบลูกค้ามีเทคนิคและวิธีการหลายรูปแบบ ดังนี้
1) การเข้าพบด้วยการแนะนำตนเอง
2) การเข้าพบโดยอ้างถึงบุคคล
3) การเข้าพบโดยการยกย่อง
4) การเข้าพบโดยใช้สินค้านำเสนอ
5) การเข้าพบโดยให้ของตอบแทน

ประโยชน์ของการเข้าพบลูกค้าอนาคต
1) เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์และบุคลิกภาพของพนักงานขาย
2) เพื่อให้ลูกค้าประหยัดเวลาอันมีค่าของตนเองแทนการออกไปหาความรู้เอง
3) เพื่อสร้างความสนใจ ให้ข้อมูลสินค้าใหม่ ๆ
4) เพื่อให้พนักงานขายทราบข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า

เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการ โดยให้เห็นว่าสินค้าและบริการมีองค์ประกอบ และวิธีการใช้
การนำเสนอขายสินค้าแบ่งออกได้ดังนี้ คือ
1) การนำเสนอเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
2) การนำเสนอเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเข้าใจง่าย
3) การนำเสนอเอให้เกิดความสมบูรณ์
4) การนำเสนอเพื่อขจัดคู่แข่งขัน

5. การปฏิบัติต่อข้อโต้แย้ง (Heandling Objection) หมายถึง การขจัดปัญหาหรือความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างพนักงานขายกับลูกค้าเกี่ยว กับสินค้าที่กำลังเสนอขาย
เทคนิคในการปฏิบัติข้อโต้แย้งมีดังนี้
1) วิธีตอบปฏิเสธโดยตรง
2) วิธีตอบปฏิเสธทางอ้อม
3) วิธีตอบโต้การใช้คำถาม
4) วิธีอธิบายย้อนกลับ

6. การปิดการขาย (Closing the Sales) เป็นเทคนิควิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจ
ซื้อสินค้าหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง
เทคนิควิธีการปิดการขายมีดังนี้
1) การปิดการขายโดยการให้ของแถม
2) การปิดการขายโดยเสนอทางเลือกให้ตัดสินใจ
3) การปิดการขายโดยให้โอกาสสุดท้ายเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้า
ฯลฯ
7. การติดตามผลและบริการหลังการขาย (After Sales Activities) คือ การตรวจสอบว่าสินค้าที่ขายไปแล้สร้างความพอใจให้แก่ลูกค้ามากน้อยเพียงใด

+ Personality Development


การพัฒนาบุคลิกภาพ
Personality Development


คำว่า “บุคลิกภาพ” (Personality) มาจากภาษาลาตินว่า “Persona” ซึ่งแปลว่า หน้ากากที่ตัวละครสมัยกรีก และโรมันสวมใส่เพื่อแสดงบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน ให้ผู้เห็นได้ในระยะไกล ๆ
นักจิตวิทยาได้ให้ความหมายของคำว่า “บุคลิกภาพ” ไว้ต่าง ๆ ดังนี้
บุคลิกภาพ หมายถึง สภาวะทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวบุคคล โดยหมายรวมถึงคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะทางจิตใจ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการกระทำของบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ
บุคลิกภาพ เป็นหน่วยรวมของระบบทางกายและจิตภายในตัวบุคคล ซึ่งกำหนดลักษณะการปรับตัวเป็นแบบเฉพาะของบุคคลนั้นต่อสิ่งแวดล้อมของเขา บุคลิกภาพของแต่ละบุคคลจะเห็นได้ชัดเจนจากลักษณะนิสัยในการคิดและการ แสดงออกรวมทั้งทัศนคติและความสนใจต่าง ๆ กิริยาท่าทาง ตลอดจนปรัชญาชีวิตที่บุคคลนั้นยึดถือ

ความสำคัญของการมีบุคลิกภาพดี
การมีบุคลิกภาพที่ดีนั้น จะเป็นผลให้บุคคลนั้นมีลักษณะสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้
1. มีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจในสภาพความจริงได้อย่างถูกต้อง
2. การแสดงอารมณ์จะอยู่ในลักษณะและขอบเขตที่เหมาะสม
3. มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสังคมได้ดี
4. มีความสามารถในการทำงานที่อำนวยประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมได้
5. มีความรัก และความผูกพันต่อผู้อื่น
6. มีความสามารถในการพัฒนาตนเอง และพัฒนาทางการแสดงออกของตนต่อผู้อื่นได้ดีขึ้น

ปัญหาการขาดความสามารถในการปรับตัวหรือการปรับบุคลิกภาพ
เมื่อบุคคลไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาวการณ์และบุคคลอื่น ที่แวดล้อม จะเป็นผลให้บุคคลนั้นมีลักษณะที่ไม่เป็นผลดีต่อตนเองใน การดำเนินชีวิต ดังนี้
1. เป็นคนที่มีอาการเคร่งเครียด
2. ทำให้มีอาการเจ็บป่วยทางกาย จากสาเหตุของความเครียด
3. หย่อนสมรรถภาพในการดำเนินชีวิต
แนวทางการพัฒนาบุคลิกภาพ
การที่คนเราจะมีบุคลิกภาพดีนั้น มิใช่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพียง ภายนอกด้วยการแต่งกาย หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเท่านั้น หากจำเป็นต้องมี การปรับปรุงหรือพัฒนาบุคลิกภาพภายในเสียก่อนเป็นเบื้องต้น จึงจะทำให้ การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอกประสบความสำเร็จได้
ในที่นี้จึงจะชี้ให้เห็นสาระสำคัญที่จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ ในการพัฒนาบุคลิกภาพ โดยแยกลักษณะของการพัฒนาบุคลิกภาพออกเป็น 2 ลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน (Internal Personality) เป็นความจำเป็นที่คนเรา จะต้องพัฒนาบุคลิกภาพภายในเสียก่อนเพื่อนำไปสู่การมีบุคลิกภาพภายนอกหรือการ มีการประพฤติปฏิบัติในด้านต่าง ๆ อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับสถานภาพของตนเองสภาวการณ์แวดล้อม

สาระสำคัญของบุคลิกภาพภายใน (Internal Personality) ที่เราจะต้องพัฒนามี ดังนี้
• การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
• ความกระตือรือร้น
• ความรอบรู้
• ความคิดริเริ่ม
• ความจริงใจ
• ความรู้กาละเทศะ
• ปฏิภาณไหวพริบ
• ความรับผิดชอบ
• ความจำ
• อารมณ์ขัน
• ความมีคุณธรรม
2. การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก (External Personality) เมื่อมีการพัฒนาบุคลิกภาพภายในดีแล้ว จะทำให้พฤติกรรม ท่าที การแสดงออกในด้านต่าง ๆ ของคนเรางดงาม เหมาะสม ทำให้ได้รับความชื่นชม การยอมรับ และศรัทธาจากบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดี สำหรับบุคลิกภาพภายนอกที่จำเป็นต้องพัฒนา มีดังนี้
• รูปร่างหน้าตา • การแต่งกาย
• การปรากฎตัว • กริยาท่าทาง
• การสบสายตา • การใช้น้ำเสียง
• การใช้ถ้อยคำภาษา • มีศิลปการพูด

ผู้ที่ประสงค์จะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้เพิ่มสิ่งที่ดีงามให้กับตนเอง การสั่งสมเช่นนี้ จำเป็นต้องอดทนและแน่วแน่ในความพยายามอย่างมุ่งมั่น บุคคลจึงจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาบุคลิกภาพได้ ในที่สุด
Herbert Casson ได้เปรียบเทียบถึงความหวังกับความสำเร็จไว้อย่างน่าฟัง ดังนี้
• ความหวังนั้น เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์พืช มันจะไม่มีวันงอกงาม ถ้าคุณไม่ลงมือปลูกมัน
• ความหวังจะไม่กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ถ้าคุณไม่มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะทำจนกว่าจะได้สิ่งที่คุณต้องการ
• ความหวังเพียงอย่างเดียว จะไม่นำมาซึ่งความสำเร็จหรือความสุขได้เลยและมักจะ นำความทุกข์มาสู่ผู้ที่ไม่มีความกล้าที่จะลงมือทำ
มีผู้ศึกษาถึงลักษณะบุคลิกภาพของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ โดยจัดลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย ดังนี้
1. ความเฉลี่ยวฉลาด
2. ความมั่นใจในตนเอง
3. สมาคมกับผู้อื่นได้ดี
4. มีเจตจำนงแน่วแน่
5. มองโลกตามความเป็นจริง
6. มีความเด่นหรือความมีอำนาจ
7. มีทัศนคติในเชิงบวกต่อมนุษย์

การพัฒนาบุคลิกภาพ กับการสร้างความสำเร็จในชีวิต
การพัฒนาบุคลิกภาพเป็นหนทางสำคัญที่จะนำบุคคลไปสู่ความสำเร็จ ในชีวิตเพราะการที่คนเราจะสร้างความสำเร็จในชีวิตได้ จำเป็นต้องพัฒนาความสามารถสำคัญ 3 ประการ
1. ความสามารถในการครองตน คือจะต้องดูแลตนเองให้กินดีอยู่ดีมีความพอใจในชีวิตและลิขิตชีวิตตัวเองได้
2. ความสามารถในการครองคน คือสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีเป็นที่รักใคร่ของญาติมิตร รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้ความสำคัญกับผู้อื่นจนชนะใจผู้อื่นได้
3. ความสามารถในการครองงานคือสามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จในงานอาชีพ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความก้าวหน้าในงานที่รับผิดชอบ

บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะที่เป็นข้อบกพร่องของนักบริหารทั่วไป
มีผู้ศึกษาและรวบรวมข้อผิดพลาดที่นักบริหารมักประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป ซึ่งควรจะพิจารณาสำรวจและแก้ไขปรับปรุงดังนี้
1. ไม่รักความก้าวหน้า
2. รอบรู้ในวงจำกัด
3. ขาดความรับผิดชอบ
4. ไม่กล้าตัดสินใจ
5. ไม่หมั่นตรวจสอบ
6. สื่อความหมายคลุมเครือ
7. มอบหมายงานไม่เป็น
8. ชอบเข้าข้างตัวเอง
9. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
10. แสวงหาผลโดยมิชอบ
11. ไม่รักษาคำพูด
12. เป็นตัวอย่างที่เลว
13. อยากเป็นที่ชื่นชอบ
14. ไม่เห็นใจลูกน้อง
15. มองข้ามความสามารถ
16. ไม่อบรมพัฒนา
17. บ้ากฎระเบียบ
18. ขาดศิลปะในการวิจารณ์
19. ไม่ใส่ใจในคำร้องทุกข์
20. อ่อนประชาสัมพันธ์
21. ไร้มนุษยสัมพันธ์
22. ไม่สร้างฐานรองรับ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัวและการพัฒนาบุคลิกภาพ
1. แบบแผนทางวัฒนธรรมกับสิ่งแวดล้อม
2. สถานะทางเศรษฐกิจ – สังคม
3. แบบแผนของสถาบัน ชุมชน สังคม
4. ค่านิยม หลักการ ปรัชญาในการมีชีวิต
5. สุขภาพจิต (ลักษณะความอบอุ่นในครอบครัวทั้งในอดีตและปัจจุบัน)
6. การศึกษา (โรงเรียน, แบบแผนของสถาบันการศึกษา)
7. ความต้องการ แรงขับกระตุ้น (ในแง่จิตวิทยา)
8. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น เพื่อน อาชีพ ฯลฯ

อะไรคือตัววัดบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางพฤติกรรมต่าง ๆ ของบุคคล ดังนั้นการศึกษาหาบุคลิกภาพของบุคคล จึงพิจารณาได้จากลักษณะหรือตัววัดที่สำคัญ ประการ
1. คำพูดที่สื่อความรู้สึกนึกคิด
2. อากัปกริยาที่แสดงออก
3. การเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

สรุป
การพัฒนาบุคลิกภาพเป็นคุณค่าต่อชีวิตที่มีคุณภาพของมนุษย์ ไม่ว่าจะมองในแง่ความสุขในการมีชีวิตครอบครัว ชีวิตในสังคม และในการทำงาน หรือในแง่ของความสำเร็จในชีวิตอันเป็นที่พึง ปรารถนาของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม
ดังนั้น หากมีความปรารถนาและมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่สักวันหนึ่งท่านก็จะเป็น ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยบุคลิกภาพอันงดงามอย่างแน่นอน จงตั้งความหวังและลงมือกระทำตั้งแต่บัดนี้

ภาวะผู้นำกับประสิทธิภาพการบริหาร

ภาวะผู้นำ (Leadership style)
ภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการมิใช่บุคคล ถึงแม้ว่าจะขึ้นอยู่กับความชอบธรรมในการใช้อำนาจของตัวผู้นำ
ภาวะผู้นำเป็นกระบวนการของการมีอิทธิพลเหนือกลุ่ม เพื่อการกำหนดเป้าหมาย และการบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม และหากกล่าวถึงความเข้มแข็งของภาวะผู้นำในองค์การ ก็ดูได้จากความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวเท่านั้น

องค์ประกอบภาวะผู้นำ
ปฏิสัมพันธ์ (Transaction) ของภาวะผู้นำนั้น มีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ประการคือ สถานการณ์ ผู้นำ และผู้ตาม

องค์ประกอบ 3 ประการของผู้นำ
สถานการณ์
-งานและทรัพยากร
-โครงสร้างและกฎระเบียบทางสังคม
-ลักษณะทางกายภาพ ขนาดความหนาแน่น
-ประวัติศาสตร์ ฯลฯ

ผู้นำ
-ความชอบธรรม
-ความสามารถ
-การจูงใจ
-ลักษณะทางบุคลิกภาพ ฯลฯ

ผู้ตาม
-ความคาดหวัง
-ลักษณะทางบุคลิกภาพ

-ความสามารถ

-การจูงใจ ฯลฯ

ผู้นำมาจากไหน
* มหาบุรุษนั้นเกิดมาเพื่อที่จะเป็นมหาบุรุษ (Frederick Woods)

* สิ่งที่กำหนดความยิ่งใหญ่ประกอบด้วย ตัวบุคคลสภาพแวดล้อมทางสังคม และประวัติศาสตร์ (Spiller)

บุคลิกของผู้นำ

ลำดับลักษณะบุคลิกของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ อันได้แก่

1. ความเฉลี่ยวฉลาดมีปัญญา ปฏิภาณ

2. ความมั่นใจในตนเอง

3. สมาคมกับผู้อื่นได้ดี

4. มีเจตจำนงแน่วแน่

5. มองโลกตามความเป็นจริง

6. มีความเด่นหรือความมีอำนาจ

7. มีทัศนคติในเชิงบวกต่อมนุษย์ ฯลฯ

ทัศนะของ Harell ลักษณะบุคลิกที่จะทำให้ผู้นำประสบความสำเร็จ มี 4 ประการ คือ

1. มีเจตจำนงอันแน่วแน่

2. เปิดเผย

3. ต้องการอำนาจ

4. ต้องการความสำเร็จ

ผู้ตาม (The led)

ถ้าไม่มีผู้ตาม ย่อมจะมีผู้นำไม่ได้ ดังนั้นภาวะผู้นำ จึงมี ความสัมพันธ์กับผู้ตามอย่างใกล้ชิดและสัมพันธภาพระหว่างผู้นำ กับผู้ตามที่ดีนั้น ย่อมแปรไปตามชนิดหรือแบบของผู้ตาม

สถานการณ์ (Situation)

นอกจากลักษณะของผู้ตามแล้ว ลักษณะของสถานการณ์จะเข้ามามีส่วนในการกำหนดประเภทหรือแบบของผู้นำ บุคคลหนึ่งอาจเป็นผู้นำในสถานการณ์หนึ่ง แล้วกลายเป็นผู้ตามในอีกสถานการณ์หนึ่ง สถานการณ์ที่แตกต่างกันต้องการผู้นำแบบต่างกันในหน่วยงานหรือองค์การหนึ่ง ๆ นั้นย่อมมีเหตุการณ์/สถานการณ์ที่แตกต่างกัน

กรอบทฤษฎีแบบของภาวะผู้นำตามสถานการณ์

แบบของภาวะผู้นำตามสถานการณ์จำแนกได้ต่าง ๆ กันดังนี้
1.แบบอัตตาธิปไทย(autocratic) ผู้นำแบบนี้จะทำการตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ปรึกษาหารือกับสมาชิกกลุ่ม

2. แบบมีส่วนร่วม (participative) ผู้นำแบบนี้ จะทำการตัดสินใจโดยอาศัยความคิดเห็นจากสมาชิกภายในกลุ่ม

3. แบบเสรี (laissez faire) ผู้นำแบบนี้จะพยายามมอบความรับผิดชอบ ในการติดสินใจให้กับสมาชิกกลุ่ม พยายามกระทำให้สิ่งที่กลุ่มต้องการทำ

Reddin 3-D theory ซึ่งได้จำแนกภาวะผู้นำออกเป็น 4 กลุ่ม

(1) ภาวะผู้นำในสถานการณ์แบ่งแยก (Separated Situations) ซึ่งจะมีภาวะผู้นำ 2 แบบ

* แบบท้อแท้ – สิ้นหวัง (Deserter)

* แบบขุนนาง (Bureaucrat)

(2) ภาวะผู้นำในสถานการณ์ที่ต้องสัมพันธ์กับคน (People Related Situation)

* นักแสวงบุญ (Missionary)

* นักพัฒนา (Developer)

(3) ภาวะผู้นำในสถานการณ์ที่อุทิศตนให้กับงาน (Dechicated task)

* อัตตนิยม (autocrat)

* เผด็จการ (แบบมีศิลป์) (Benevolent)

(4) สถานการณ์ผสมผสาน (Integrated Situations)

* นักบริหาร (Executive)

* นักประนีประนอม (Compromiser)

ระดับตำแหน่งกับภาวะผู้นำในองค์การ

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ปัจจัยทางด้านสถานการณ์นั้นย่อมมีความแตกต่างกันไป ในองค์การหนึ่ง ๆ ก็เช่นกันและเพื่อความกระจ่างในประเด็นนี้ก็จะขอผ่านองค์การออกเป็น 3 ส่วน มีผู้บริหาร 3 ระดับใหญ่ ๆ คือ

1. ผู้บริหารระดับสูง (Top management)

2. ผู้บริหารระดับกลาง (Middle management) อันได้แก่ผู้อำนวยการกอง, หัวหน้าฝ่าย

3. ผู้บริหารระดับล่าง (Supervisory Level) อันได้แก่ หัวหน้างาน

ในการพิจารณาว่าผู้บริหารในระดับใด จำเป็นต้องมีทักษะในด้านใด เพื่อให้ภาวะผู้นำมีประสิทธิภาพนั้น ก็จะพิจารณาจากระดับของผู้บริหารดังกล่าว ซึ่งทักษะของผู้บริหารที่จำเป็นต้องมีนั้นมี 3 ประเภทคือ

1. ทักษะทางด้านความคิด (Conceptual skill)

2. ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ (Human relations skill)

3. ทักษะทางด้านเทคนิค (Technical skill)

ผู้บริหารระดับสูง (Top management)

1. ผู้บริหารระดับสูงนั้นจะเกี่ยวข้องอยู่กับการจัดทำแผนแม่บทและการจัดรูป องค์การเพื่อการดำเนินงาน

2. บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งระดับนี้จะต้องอาศัยความช่วยเหลือในการอำนวยงาน และการควบคุมงานจากระดับรองลงมา

3. ผู้บริหารระดับนี้จำเป็นต้องมีทักษะทางด้านความคิดสูงกว่าระดับอื่น เพื่อใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์และภาพรวมของหน่วยงาน และเพื่อปรับปรุงองค์การให้สามารถดำรงคงอยู่และพัฒนา

ผู้บริหารระดับกลาง (Middle management)

1. บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางนี้จะเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานในลักษณะ ของจัดแจง (intermediary) ของผู้บริหารระดับสูงและระดับหัวหน้างาน

2. เป็นผู้นำนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงลงมาระดับล่าง และนำเอากรณีไม่ปกติจากระดับล่างขึ้นไปยังระดับสูง

3. พัฒนาระดับและกระบวนวิธีการปฏิบัติงาน นโยบายและมาตรฐานการปฏิบัติงานที่จะทำให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. งานของผู้บริหารระดับนี้ไม่ได้อยู่ที่การวางแผนจัดองค์กร อำนวยงาน และควบคุมเท่านั้น แต่ยังต้องประสานงานกับผู้ร่วมงาน staff

5. ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักบริหารระดับนี้คือ ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์

ผู้บริหารระดับหัวหน้างาน
(Supervisory Management)

1. เป็นระดับเดียวที่อยู่ระหว่างนักบริหารด้านหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ที่ไม่มีอำนาจ ในการบริหารอีกด้านหนึ่ง

2. เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้แรงกดดันค่อนข้างมากในการทำงานที่ได้รับมอบหมายจากระดับสูงให้บรรลุเป้าหมาย

3. เป็นผู้ที่ถูกลากระหว่าง 2 ฝ่ายไป 2 ทิศทางเสมอ ๆ

4. ผู้บริหารระดับหัวหน้างาน ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญในลำดับขั้นของการบังคับบัญชา

5. เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพนักงานปฏิบัติงานกับฝ่ายบริหาร

6. เป็นระดับที่ภาวะผู้นำต้องมี Technical skill สูงกว่าอีก 2 ระดับ

- การจัดการคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

หากคอมพิวเตอร์ของคุณอาจทำงานช้าลงมากกว่าที่เคยเป็นก็อาจเป็น. My one-year old Dell laptop is much slower now than when it was new. หนึ่งปีของฉันแล็ปท็อป Dell เดิมคือช้ามากตอนนี้กว่าจะเป็นใหม่. Over time, computers get slower for a variety of reasons: files become disorganized, unnecessary software consumes resources, unused network drives slow startup, or too many programs automatically run at startup. เมื่อเวลาผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทำงานช้าลงสำหรับหลายสาเหตุ: ไฟล์เป็นแตกแยกซอฟต์แวร์ที่ไม่จำเป็นกินทรัพยากรเครือข่ายที่ไม่ได้ใช้ไดรฟ์ เริ่มช้าหรือโปรแกรมมากเกินไปทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มต้น. Larger, serious issues can dramatically slow your computer's performance too. ใหญ่ปัญหาร้ายแรงมากอาจทำให้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ของคุณเกินไป. You may have a virus or need to troubleshoot problems by clean booting. คุณอาจมีไวรัสหรือต้องแก้ไขปัญหาโดย booting สะอาด.

Fortunately, Windows XP includes tools to clean your computer and restore its performance. โชคดีที่ Windows XP มีเครื่องมือทำความสะอาดคอมพิวเตอร์ของคุณและคืนประสิทธิภาพ. As I write this column, I'll be cleaning up my own computer and explaining how its performance improves. ที่ฉันเขียนคอลัมน์นี้ผมจะล้างเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันเองและอธิบายวิธีปรับปรุงประสิทธิภาพ. I'll cover Backup, Disk Cleanup, Disk Defragmenter, Add or Remove Programs, and the System Configuration tool. ฉันจะครอบคลุม Backup, Disk Cleanup, Disk Defragmenter, เพิ่มหรือลบโปรแกรมและเครื่องมือ System Configuration.
Back Up First Back Up First

Back up your computer before you run any system tools or do any troubleshooting. สำรองเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณก่อนที่คุณจะใช้เครื่องมือระบบหรือจะแก้ปัญหาใดๆ. This is not just an over-cautious warning. นี้ไม่เพียงเกินเตือนระวัง. Some of the steps I recommend in this column can cause pre-existing but hidden problems to surface, which may keep your computer from starting. บางขั้นตอนที่ผมแนะนำในคอลัมน์นี้อาจทำให้เกิดปัญหาที่มีอยู่ก่อนแต่ซ่อนเพื่อผิวซึ่งอาจทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณเริ่ม. Windows XP includes Backup , a tool that helps you protect your data. Windows XP Backup รวมเครื่องมือที่ช่วยให้คุณปกป้องข้อมูลของคุณ.

To open the Backup or Restore Wizard เพื่อเปิด Backup หรือ Restore Wizard
• •

Click Start , point to All Programs , point to Accessories , point to System Tools , and then click Backup . คลิก Start เลือกที่ All Programs เลือกที่ Accessories คลิกเลือกที่ System Tools แล้ว Backup.

For information on how to use this tool, see Ed Bott's column, Backup Made Easy and the Microsoft Knowledge Base article, How to Use Backup to Restore Files and Folders on Your Computer in Windows XP . สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือนี้ดูคอลัมน์คุรุ Bott ของ Backup Made Easy และบทความ Microsoft Knowledge Base, วิธีการใช้ Backup เพื่อเรียกคืนไฟล์และโฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ของคุณใน Windows XP.

Before I make any changes, I'm going to time my computer to see how long it takes to restart. ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงใดๆฉันจะเวลาคอมพิวเตอร์ของฉันเพื่อดูว่าจะใช้เวลานานเพื่อเริ่มต้น. That way I know which of the changes helps the most. วิธีฉันรู้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้มากที่สุดนั่น. My computer took about three minutes to shut down, restart, and then open my e-mail client and browser. คอมพิวเตอร์ของฉันเอาเกี่ยวกับสามนาทีปิดรีสตาร์ทแล้วเปิดของ e-mail และเบราว์เซอร์ client. Of course, I hope to improve the computer's overall performance, but the time it takes to restart is easiest to measure. แน่นอนผมหวังว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของคอมพิวเตอร์แต่เวลาจะเริ่มต้นใหม่จะง่ายที่สุดในการวัด.
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
Clear Out Forgotten Programs โปรแกรม Clear Out ลืม

The first step in tuning up your computer's performance is to remove any unnecessary programs. ขั้นตอนแรกในการปรับค่าประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ของคุณคือการลบโปรแกรมที่ไม่จำเป็นใด. I install new programs all the time. ฉันติดตั้งโปรแกรมใหม่ตลอดเวลา. Sometimes I'm thrilled with the new program and I continue to use it. บางครั้งฉันตื่นตาตื่นใจกับโปรแกรมใหม่และฉันยังคงใช้. Other times, it doesn't do what I hoped, and the program sits on my computer consuming resources and hurting performance. บางครั้งก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ฉันหวังและโปรแกรมเจียงบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์และการแย่ง.

Follow these steps to remove unneeded programs: ทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อลบโปรแกรม unneeded:

1. 1.


Click Start , and then click Control Panel . คลิก Start แล้วคลิก Control Panel.

2. 2.


Click Add or Remove Programs . คลิก Add or Remove Programs.

3. 3.


Scroll through the list and examine each program. เลื่อนดูรายชื่อและตรวจสอบแต่ละโปรแกรม. Windows XP lists how often you use a program and what day you last started it. Windows XP แสดงความถี่ที่คุณใช้โปรแกรมและวันสิ่งสุดท้ายที่คุณเริ่มต้นได้. As shown in Figure 1, the Age of Mythology Trial is a good candidate for removal from my computer. ดังแสดงในรูปที่ 1 อายุของตำนานทดลองเป็นผู้สมัครที่ดีสำหรับการลบจากคอมพิวเตอร์ของฉัน. Though I liked the game, I haven't used it recently and it's consuming a lot of disk space. แต่ผมชอบเกมผมไม่ได้ใช้มันเร็วๆนี้และก็มากมากพื้นที่ดิสก์. You shouldn't remove anything labeled as an Update or Hotfix, however, because they improve the security of your computer. คุณไม่ควรเอาอะไรที่มีข้อความเป็น Update หรือ Hotfix แต่เนื่องจากการปรับปรุงความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ของคุณ.
รูปที่ 1: หน้าต่าง Add or Remove Programs

Figure 1: The Add or Remove Programs window. รูปที่ 1: หน้าต่าง Add or Remove Programs.

4. 4.


Click each program you no longer need, click the Remove button, and then follow the prompts to uninstall it. คลิกโปรแกรมแต่ละท่านไม่จำเป็นต้องคลิกปุ่ม Remove แล้วทำตามจะแจ้งให้ยกเลิกการติดตั้งก็.

You may have to restart your computer after removing a program. คุณอาจต้องรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากลบโปรแกรม. After your computer restarts, repeat the steps above to remove more programs. หลังจากรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ของคุณทำซ้ำขั้นตอนด้านบนเพื่อลบโปรแกรม more.
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
Free Up Wasted Space ฟรีได้ถูกทำลาย Space

Removing unused programs is a great way to free up disk space, which will speed up your computer. ลบโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มพื้นที่ว่างในดิสก์ซึ่งจะเพิ่มความเร็วของคอมพิวเตอร์. Another way to find wasted disk space is to use the Disk Cleanup tool by following these steps: วิธีการหาพื้นที่ดิสก์ที่ได้ถูกทำลายก็คือการใช้เครื่องมือ Disk Cleanup โดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. 1.


Open My Computer , right-click Local Disk , and then click Properties . เปิด My Computer คลิกขวาที่ Local Disk แล้วคลิก Properties.

2. 2.


On the General tab, click the Disk Cleanup button. ในแท็บ General คลิกปุ่ม Disk Cleanup. Disk Cleanup will spend a few minutes examining your disk. Disk Cleanup จะใช้เวลาไม่กี่นาทีตรวจสอบดิสก์ของคุณ.

3. 3.


The Disk Cleanup dialog box opens. Disk Cleanup กล่องโต้ตอบเปิด. As you can see in Figure 2, it found almost three gigs of space on my computer that it could free up! ที่คุณสามารถดูรูปที่ 2 นั้นพบเกือบสาม gigs พื้นที่บนคอมพิวเตอร์ของฉันที่ได้ฟรี!
รูปที่ 2: เครื่องมือ Disk Cleanup

Figure 2: The Disk Cleanup tool. รูปที่ 2: เครื่องมือ Disk Cleanup.

4. 4.


Select the desired check boxes in the Files to Delete list, and then click OK . เลือกช่องทำเครื่องหมายที่ต้องการใน แฟ้มรายการลบ แล้วคลิก OK. Disk Cleanup will spend several minutes clearing space. Disk Cleanup จะใช้เวลาหลายนาทีล้างพื้นที่.

5. 5.


If you have more than one hard disk, repeat this process for each hard disk listed in My Computer. ถ้าคุณมีมากกว่าหนึ่งฮาร์ดดิสก์ทำซ้ำฮาร์ดดิสก์แต่ละไว้ในคอมพิวเตอร์ของฉันนี้.

You can save yourself some time by automating the disk cleanup process. คุณสามารถบันทึกเองโดยอัตโนมัติเมื่อการล้างข้อมูลบนดิสก์บาง. For more information, read the Microsoft Knowledge Basic article, How to Automate the Disk Cleanup Tool in Windows XP . สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมอ่านบทความ Microsoft Knowledge เบื้องต้น วิธีการอัตโนมัติ Disk Cleanup Tool ใน Windows XP.
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
Defragment Your Computer จัดระเบียบคอมพิวเตอร์ของคุณ

I hate newspaper articles that start on the front page but continue somewhere in the middle of the newspaper. ฉันเกลียดบทความหนังสือพิมพ์ที่เริ่มต้นในหน้าแรกแต่ยังคงบางกลางหนังสือพิมพ์. I could get through the article much faster if it was printed on consecutive pages like a magazine article. ฉันได้รับผ่านบทความรวดเร็วยิ่งขึ้นหากมีการพิมพ์ในหน้าติดต่อกันเช่นบทความวารสาร. Files on your computer can either be fragmented like a newspaper, or unfragmented like a magazine. ไฟล์ในคอมพิวเตอร์ของคุณอาจจะ fragmented เช่นหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร unfragmented เช่น. Over time, more and more files become fragmented. ช่วงเวลาไฟล์มากขึ้นเป็น fragmented. When a file is fragmented, it takes longer for the computer to read it because it has to skip to different sections of the hard disk—just like it takes me a few seconds to find a page in the middle of a newspaper. เมื่อแฟ้มนั้น fragmented จะใช้เวลานานในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่ออ่านมันได้เนื่องจากมีการข้ามไปยัง ส่วนต่างๆของฮาร์ดดิสก์-แค่ชอบเวลาฉันสักครู่เพื่อหาหน้ากลางหนังสือพิมพ์. Figure 3 compares how a computer reads unfragmented and fragmented files. รูปที่ 3 เปรียบเทียบว่าคอมพิวเตอร์อ่านไฟล์ unfragmented และ fragmented.
รูปที่ 3: ไฟล์ Fragmented และ unfragmented เปรียบเทียบ

Figure 3: Fragmented and unfragmented files compared. รูปที่ 3: ไฟล์ Fragmented และ unfragmented เปรียบเทียบ.

You need administrator privileges to defragment a drive or volume. คุณต้องมีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบเพื่อจัดระเบียบไดรฟ์หรือไดรฟ์. Although fragmentation is complicated, it's easy to defragment your computer by following these steps: แม้ว่า fragmentation มีความซับซ้อนง่ายเพื่อจัดระเบียบคอมพิวเตอร์ของคุณโดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. 1.


Open My Computer , right-click Local Disk , and then click Properties . เปิด My Computer คลิกขวาที่ Local Disk แล้วคลิก Properties.

2. 2.


On the Tools tab, click Defragment Now . บนแท็บ เครื่องมือ คลิก Defragment Now. The Disk Defragmenter opens. Disk Defragmenter เปิด.

3. 3.


Click your first hard disk, and then click Defragment . Defragment คลิกฮาร์ดดิสก์ของคุณครั้งแรกแล้ว. As shown in Figure 4, Disk Defragmenter will work for at least several minutes, though it may take several hours. ดังแสดงในรูปที่ 4, Disk Defragmenter จะทำงานอย่างน้อยหลายนาทีแต่อาจใช้เวลาหลายชั่วโมง.
รูปที่ 4: เครื่องมือ Disk Defragmenter

Figure 4: The Disk Defragmenter tool. รูปที่ 4: เครื่องมือ Disk Defragmenter.

4. 4.


If you have more than one hard disk, repeat this process for each hard disk listed starting at Step 3. ถ้าคุณมีมากกว่าหนึ่งฮาร์ดดิสก์ทำซ้ำฮาร์ดดิสก์แต่ละรายการเริ่มต้นที่ขั้นที่ 3 นี้.

My laptop's files were not terribly fragmented, so defragmenting them didn't speed it up much. ไฟล์แล็ปท็อปของฉันไม่ได้เป็นบ้า fragmented ดังนั้น defragmenting พวกเขาไม่ได้รวดเร็วขึ้นมาก. However, after defragmenting the hard drive on my desktop computer, Windows and other programs started about 20% faster! แต่หลังจาก defragmenting ฮาร์ดไดรฟ์ในคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป, Windows และโปรแกรมอื่นๆเริ่มต้นประมาณ 20% เร็ว!
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
Disconnect Unused Network Connections ปลดไม่ได้ใช้งานเชื่อมต่อเครือข่าย

If you've ever had a network with more than one computer, you probably found it useful to share files between the computers by mapping a network drive. ถ้าคุณเคยมีเครือข่ายที่มีมากกว่าหนึ่งคอมพิวเตอร์คุณอาจพบมันประโยชน์แลก เปลี่ยนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์โดยการทำแผนที่ไดรฟ์เครือข่าย. Network drives allow one computer to read and write files to another computer's hard disk as if it were directly connected. ไดรฟ์เครือข่ายให้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอ่านและเขียนไฟล์บนฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์อื่นเสมือนว่าเชื่อมต่อโดยตรง. I use network drives all the time, and for me, they were the most significant source of slowness. ฉันจะใช้ไดรฟ์เครือข่ายตลอดเวลาและสำหรับฉันก็เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดของความช้า.

The problem with network drives is that Windows XP will attempt to connect to the network drives when Windows starts. ปัญหากับไดรฟ์เครือข่ายก็คือ Windows XP จะพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่ายไดรฟ์เมื่อ Windows เริ่มต้น. If the remote computers don't respond immediately, Windows will wait patiently. หากคอมพิวเตอร์ระยะไกลไม่ตอบสนองทันที Windows จะอดทนรอ. Additionally, some programs will attempt to connect to the network drives when you browse for files and folders. นอกจากนี้บางโปรแกรมจะพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่ายไดรฟ์เมื่อคุณเรียกดูสำหรับแฟ้มและโฟลเดอร์. If you've ever tried to open a file and had to wait several seconds (or minutes!), it's probably because the program was trying to establish a network connection—even if the file you are opening is on your local computer. หากคุณได้เคยพยายามเปิดไฟล์และต้องรอหลายวินาทีนาที (หรือ!) ก็อาจเนื่องจากโปรแกรมได้พยายามเชื่อมต่อเครือข่ายแบบแม้ว่าไฟล์ที่คุณกำลัง เปิดอยู่บนคอมพิวเตอร์ของคุณ.

I am not as patient as Windows, and I'd rather not wait for unused network connections to respond. ฉันไม่ได้เป็นผู้ป่วยเป็น Windows และฉันแต่ไม่รอการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ได้ตอบ. To reduce this problem, disconnect any unused drives by following these steps: เพื่อลดปัญหานี้ให้ยกเลิกการเชื่อมต่อไดรฟ์ไม่ได้ใช้ใดๆโดยทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. 1.


Open My Computer . Open My Computer.

2. 2.


On the Tools menu, click Disconnect Network Drive . ในเมนู Tools คลิก Drive ปลด Network.

3. 3.


Select the network drives that you no longer need, and then click OK . เลือกเครือข่ายของไดรฟ์ที่คุณไม่ต้องการแล้วคลิก OK.

After I disconnected the network drives on my computer, my computer was able to restart in 1 minute, 45 seconds—about 40% faster! หลังจากที่ฉันตัดการเชื่อมต่อไดรฟ์เครือข่ายในคอมพิวเตอร์ของฉันคอมพิวเตอร์ ของฉันก็สามารถเริ่มต้นใน 1 นาที 45 วินาที-ประมาณ 40% เร็ว!
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
Remove Autostart Programs ลบโปรแกรม Autostart

The next step in restoring your computer's performance is to identify any unnecessary programs that start automatically. ขั้นตอนถัดไปในคืนประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ของคุณคือการระบุโปรแกรมที่ไม่จำเป็นใดๆที่เริ่มต้นโดยอัตโนมัติ. Often, programs configure themselves to run in the background so that they appear to start quickly when needed. มักจะกำหนดค่าโปรแกรมตัวเองทำงานในพื้นหลังเพื่อที่จะปรากฏจะเริ่มต้นอย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ. Some of these programs show an icon on your taskbar to let you know that they're running, while others are completely hidden. บางโปรแกรมเหล่านี้แสดงไอคอนในแถบงานของคุณที่จะให้คุณรู้ว่าพวกเขากำลังทำงานในขณะที่ผู้อื่นซ่อนไว้ทั้งหมด. These autostart programs probably won't noticeably slow down your computer as it starts up, but they will steal away trace amounts of memory and processing time as your computer runs. เหล่านี้โปรแกรม autostart อาจจะไม่เห็นคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงเมื่อมันเริ่มขึ้นแต่พวกเขาจะขโมยไป ติดตามปริมาณของหน่วยความจำและเวลาในการประมวลผลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของ คุณทำงาน.

Windows XP comes with the System Configuration tool (Msconfig.exe), an excellent way to manage the startup process. Windows XP มาพร้อมกับ เครื่องมือ System Configuration (Msconfig.exe) เป็นวิธีที่ดีในการจัดการกระบวนการเริ่มต้น. To start it: เพื่อเริ่มต้นมัน

1. 1.


Click Start , click Run , type Msconfig , and then press Enter. คลิก Start คลิก Run พิมพ์ Msconfig แล้วกด Enter.

2. 2.


On the Startup tab, you'll see a list of all the programs and processes that are set to run when Windows XP loads. ในแท็บ Startup คุณจะพบรายชื่อของโปรแกรมทั้งหมดและกระบวนการที่มีการกำหนดให้ทำงานเมื่อโหลด Windows XP.

3. 3.


Speed up your overall start time by clearing the check box next to any item you think you don't need. ความเร็วเวลาเริ่มต้นโดยรวมของคุณโดยการล้างช่องทำเครื่องหมายถัดจากรายการที่คุณคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องใด.

4. 4.


Click Apply , and then restart your computer for the changes to take effect. ใช้ คลิกแล้วรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล.

My favorite way to examine autostart programs is to use the Autoruns freeware tool from Sysinternals . ทางโปรดของฉันเพื่อตรวจสอบโปรแกรม autostart คือการใช้เครื่องมือฟรีแวร์ Autoruns จาก Sysinternals. Autoruns lists every program that will automatically start and allows you to quickly delete the link to the program. Autoruns รายชื่อโปรแกรมที่จะเริ่มต้นและช่วยให้คุณได้อย่างรวดเร็วลบลิงค์ไปยังโปรแกรมทุก. Many autostart entries are important parts of Windows XP, including Userinit.exe and Explorer.exe. รายการ autostart จำนวนมากส่วนที่สำคัญของ Windows XP รวมทั้ง Userinit.exe และ Explorer.exe. So you should not simply delete everything that you don't recognize. ดังนั้นคุณจึง ไม่ ควรก็ลบทุกอย่างที่คุณไม่รู้จัก. Instead, you should look up each entry at Paul Collins' Startup Applications List to determine whether you want it to start automatically. แต่คุณควรมองหารายการที่ ชื่อแอปพลิเค Paul Collins 'Startup กันเพื่อดูว่าคุณต้องการให้เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ.

For example, Figure 5 shows Autoruns revealing a file called nwiz.exe that is set to start automatically. เช่นรูปที่ 5 แสดง Autoruns เปิดเผยแฟ้มเรียก nwiz.exe ที่กำหนดให้เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ. I visited The Startup Applications List, typed in nwiz and discovered that it's used to set my desktop layout preferences. ฉันชมรายการโปรแกรม Startup, พิมพ์ใน nwiz และพบว่าจะใช้ในการตั้งค่ารูปแบบเดสก์ทอป. I'd like to keep this functionality, so I won't delete it. ฉันต้องการให้ฟังก์ชันนี้ดังนั้นฉันจะไม่ลบ.
รูปที่ 5: เครื่องมือฟรีแวร์ Autoruns

Figure 5: The Autoruns freeware tool. รูปที่ 5: เครื่องมือฟรีแวร์ Autoruns.

I also found a file named Wzqkpick.exe . ฉันยังพบไฟล์ชื่อ Wzqkpick.exe. After reading the description at The Startup Applications List, I decided I don't need to load that file automatically. หลังจากอ่านคำอธิบายในรายชื่อ Startup Applications ฉันตัดสินใจฉันไม่ต้องโหลดไฟล์นั้นโดยอัตโนมัติ. I deleted the link using Autoruns by right-clicking it and then clicking Delete . ฉันจะลบลิงค์ใช้ Autoruns โดยคลิกขวามันแล้วคลิก ลบ. This procedure works best for advanced users of Windows XP. ขั้นตอนนี้ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้ขั้นสูงของ Windows XP. If you aren't sure a program is unneeded—leave it! หากคุณไม่แน่ใจว่าโปรแกรมนั้น unneeded-ปล่อยมัน

The Startup Applications List may provide instructions for removing the startup program. รายชื่อ Startup Applications สามารถให้คำแนะนำในการลบโปรแกรม startup. If available, you should follow those instructions instead of deleting the link by using Autoruns. หากมีคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำผู้แทนการลบลิงค์โดยใช้ Autoruns.
ด้านบนของหน้า Top of page ด้านบนของหน้า
How to Fix Bigger Problems วิธีการแก้ไขปัญหาใหญ่

Many of the Windows XP Performance and Maintenance newsgroup users are experiencing serious, sudden performance problems. ๆของ Windows XP Performance and Maintenance ผู้ใช้นิวส์กรุ๊ปประสบร้ายแรงปัญหาการทันที. One day, their computer was fine and the next it was painfully slow. วันหนึ่งคอมพิวเตอร์ของพวกเขาถูกปรับและถัดไปก็ช้าอี๋. This type of problem is often caused by a computer virus or failing computer hardware. ประเภทของปัญหานี้มักเกิดจากไวรัสคอมพิวเตอร์หรือความล้มเหลวของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์. The suggestions in this article probably won't fix those types of problems. คำแนะนำในบทความนี้อาจจะไม่แก้ไขประเภทผู้ปัญหา. Instead, perform a virus scan on your computer. แต่การตรวจหาไวรัสในคอมพิวเตอร์ของคุณ. If that's not the issue, you should contact your computer vendor's technical support team for additional assistance. ถ้าไม่ใช่ปัญหานี้คุณควรติดต่อทีมสนับสนุนของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ของคุณเทคนิคสำหรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม. The troubleshooting process for this type of problem requires the knowledge to examine the computer's performance on a process-by-process basis, and usually includes a "process of elimination" phase where drivers, services, and hardware are removed/replaced one-by-one until the problem disappears. กระบวนการแก้ปัญหาสำหรับประเภทของปัญหานี้ต้องใช้ความรู้ในการตรวจสอบ ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลโดยแต่ละกระบวนการและมักจะรวมถึง กระบวนการ "การขจัดขั้นตอน" ที่ควบคุมการบริการและฮาร์ดแวร์จะถูกลบ / แทนที่หนึ่งโดยหนึ่งจนกว่าปัญหาหาย. There's a very good chance that the computer won't start at all at some point in this process, so it's best to have support during the process. มีโอกาสดีมากที่คอมพิวเตอร์จะไม่เริ่มต้นที่ทุกจุดในกระบวนการนี้บางแห่งจึงมีการสนับสนุนที่ดีที่สุดในระหว่างการทำงาน.

Searching for "Windows XP Performance" on the Internet turns up a large number of performance tweaks. ค้นหา "Windows XP Performance" ในอินเทอร์เน็ตเปิดขึ้นจำนวนมาก tweaks ประสิทธิภาพ. Some of these are useful, but most should not be attempted unless you understand exactly what you are doing. บางเหล่านี้มีประโยชน์แต่ส่วนมากไม่ควรพยายามจนกว่าคุณจะเข้าใจว่าสิ่งที่คุณทำ. In particular, many of the tweaks that claim to improve your performance may only help under very specific circumstances. โดยเฉพาะหลาย tweaks ที่อ้างเพื่อปรับปรุงการทำงานของคุณอาจช่วยในกรณีเฉพาะมาก. For example, in our own Windows XP Performance and Maintenance newsgroup, one user recommended disabling Internet Connection Firewall to solve a performance problem. เช่นในของ Windows ของเรา XP ประสิทธิภาพและ นิวส์กรุ๊ป Maintenance หนึ่งแนะนำให้ปิดการใช้งานผู้ใช้ Internet Connection Firewall เพื่อแก้ปัญหาประสิทธิภาพ. Even if this did improve performance, it would leave the computer vulnerable to attacks from the Internet. แม้นี้ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพของมันจะออกจากคอมพิวเตอร์เสี่ยงต่อการโจมตีจากอินเทอร์เน็ต. I'd rather have a slightly slower computer than a hacked computer! ฉันควรมีเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงเล็กน้อยจากคอมพิวเตอร์ hacked

ถ้าไม่อยากอ้วนอ่านแล้วทำตาม

ปัจจุบันวิถีการใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ความเร่งรีบของการดำเนินชีวิต วัฒนธรรมของต่างชาติที่เข้ามาในบ้านเรา ทำให้การเลือกรับประทานอาหารของเราเปลี่ยนไป สังเกตได้ว่า อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมันเป็นส่วนประกอบมากขึ้น แต่ขาดอาหารที่ให้วิตามิน เกลือแร่ อาหารที่มีเส้นใย ทำให้ความสมดุลของการเผาผลาญอาหารผิดปกติไป ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ที่มาจากการรับประทานอาหารไม่ได้สัดส่วนตามมา เช่น โรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา

ดังนั้นเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนในแต่ละมื้อ เพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วน และสำหรับผู้ที่อ้วนแล้ว ก็ต้องควบคุมอาหาร (การควบคุมอาหารที่ดีคือ การควบคุมปริมาณของอาหารที่รับประทาน แต่ไม่ใช่การลดคุณภาพของอาหาร) โดยมีหลักง่ายๆ คือ

1. อาหารกลุ่มข้าวและแป้ง ต้องรับประทานให้พอดี ไม่ควรงดรับประทานเลย เพราะอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ สำหรับข้าวและแป้งที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แนะนำให้เลือกที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช (ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ลูกเดือย) เพราะจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายช้าๆ

2. อาหารที่กลุ่มโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ แนะนำเลือกที่ไม่ติดหนัง ติดมัน ต้องหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมีไขมันซ่อนอยู่มาก

3. นม แนะนำให้เลือกรสจืดไขมันต่ำ หากเป็นโยเกิร์ตแนะนำรสธรรมชาติ หากต้องการมีรสชาติแนะนำให้เติมผลไม้สด

4. อาหารกลุ่มไขมัน ไขมันยังมีความจำเป็นต่อร่างกายเพื่อใช้ในการละลายวิตามินที่ใช้ไขมันละลาย แนะนำให้เลือกไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ยกเว้น น้ำมันปาล์ม กะทิจากมะพร้าว และการปรุงประกอบอาหารแนะนำให้ใช้วิธีอบ ต้ม นึ่ง ตุ๋น ย่าง ผัด แทนการทอดด้วยน้ำมันมากๆ

5. อาหารให้เส้นใยสูง ได้จากผักและผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ) เป็นส่วนใหญ่ เพราะเส้นใยโดยเฉพาะชนิดที่ละลายน้ำ เช่น เพคตินในแอปเปิ้ล สตอเบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต จะมีเมือกมาก เมือกจะทำหน้าที่เกาะโคเลสเตอรอลแล้วขับออกจากร่างกาย สำหรับเส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ เป็นยาระบายตามธรรมชาติ ป้องกันท้องผูกได้

6. ชา กาแฟ ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก แต่ต้องไม่เติมน้ำตาลหรือครีมเทียม

7. เลือกรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ เช่น ผลไม้ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

8. การวางแผนการรับประทานอาหาร หากต้องไปงานเลี้ยง โดยในวันนั้นก่อนไปงานเลี้ยงต้องเลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ เส้นใยสูงไว้ก่อน เพราะงานเลี้ยงเราไม่สามารถทราบได้ว่ามีอาหารใด้บ้าง

9. มีการดัดแปลงอาหาร ให้เป็นอาหารพลังงานต่ำ เช่น น้ำสลัด พบว่าน้ำสลัดมีน้ำมันพืชเป็นส่วนประกอบ หากมีการดัดแปลงจากน้ำสลัดมาเป็นน้ำยำ ก็จะทำให้ได้อาหารที่ไขมันต่ำ

10. การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง

ดังนั้นการให้ความสำคัญในการเลือกรับประทานอาหาร และมีความตั้งใจในการควบคุมน้ำหนัก ก็จะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเอง

ข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี