Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

การเลือกกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์

เนื้อหาใน ส่วนนี้เป็นส่วนที่ผู้แปลและเรียบเรียงหนังสือ The Online Advertising Playbook ได้เขียนเพิ่มเติม ขึ้น จากความรู้ และประสบการณ์ของผู้แปลและเรียบเรียงเอง ที่ได้มีโอกาสทำงานในวงการโฆษณาออนไลน์ของไทย ทั้งนี้เพื่อเสริมให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาสทำความเข้าใจหนังสือได้ง่ายขึ้น และคิดเชิงเปรียบเทียบกับบริบทของสื่อไทย นำไปสู่การใช้งานจริงได้มากขึ้น โดยเนื้อหาในส่วนนี้ไม่ได้ผ่านการตรวจทาน หรือการรับรองจากคณะผู้เขียนของ The Advertising Research Foundation แต่อย่างใด
ในหนังสือได้กล่าวไว้ว่า การโฆษณาออนไลน์นั้นมีวิธีการในการเลือกกลุ่มเป้าหมายหลายรูปแบบด้วยกัน จากประสบการณ์ของผู้แปลและเรียบเรียงเอง พบว่านักการตลาด และเอเจนซี่ยังพยายามมองหาการเลือกกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์ (Demographic Targeting) อยู่ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะส่วนใหญ่ สินค้า หรือ แบรนด์ ก็มักมีการวางกลุ่มเป้าหมายโดยใช้วิธีนี้เช่นกัน
การเลือกกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์ เช่น
กลุ่มเป้าหมาย : ชาย หรือ หญิง อายุ 30 – 55 ปีที่มีรายได้ต่อเดือน 70,000 บาท ขึ้นไป
หรือ
กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ชาย อายุ 15-25 ปี อาศัยในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่
คำถามที่ถามกันบ่อยคือเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเว็บไซต์ที่จะไปลงโฆษณานี้ มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาอ่านจริง หรือไม่ (ขอยกตัวอย่าง ผู้ชาย อายุ 15-25 ปีเป็นตัวอย่างนะครับ)
เช่นเดียวกันกับสื่อชนิดอื่นๆ ทุกชนิดครับ เราไม่มีทางทราบได้ว่าคนที่กำลังอ่าน มองเห็นโฆษณา นั้นเป็นผู้ชาย อายุ 15-25 ปี จริงหรือเปล่า นักการตลาด และนักโฆษณาจึงต้องพัฒนาวิธีการต่างๆ หรือใช้ข้อมูลต่างๆ ที่ช่วยทำให้ตีความได้อย่างใกล้เคียงที่สุด หรือคาดการณ์ได้ว่า เว็บไซต์ ดังกล่าว น่าจะมีผู้ชาย อายุ 15-25 ปีเข้ามาอ่านจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันมีวีธีต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ
1.      ใช้ข้อมูล “สมาชิก” ของเว็บ เป็นตัวแทน วิธีนี้คล้ายกับ สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร ครับ เราใช้ข้อมูลสมาชิกเป็นตัวแทนของข้อมูลผู้อ่าน เช่น 80% ของสมาชิกที่สมัครและจัดเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ เป็นผู้ชาย 15-25 ปี เราก็อาจใช้ประมาณได้ว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ 15-25 ปี เช่นกัน ในทำนองเดียวกันกับ นิตยสาร ถ้า 80% ของ สมาชิกที่สมัครรับนิตยสาร เป็นผู้ชายอายุ 15-25 ปี เราก็อาจประมาณได้ว่าผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุ 15-25 ปีด้วย นอกจากนี้ บางเว็บไซต์ยังให้บริการ แสดงผลโฆษณาให้กับสมาชิกตามหลักประชากรศาสตร์ด้วย เช่น ถ้านักโฆษณาต้องการให้มุ่งสื่อสารกับกลุ่มผู้ชายอายุ 15-25 ปี ทางเว็บไซต์ก็สามารถตั้งค่าในระบบให้แสดงผลโฆษณาชิ้นนั้นกับ สมาชิกที่ได้ลงทะเบียนไว้ว่าเป็นผู้ชาย 15-25 ปี ที่ log in เข้ามาใช้งานเว็บไซต์เท่านั้น อีกด้วย

2.      ใช้ข้อมูลการสำรวจ ใช้การสำรวจผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง ที่บอกว่าได้เคยใช้งานเว็บไซต์ นั้นๆ แล้วนำข้อมูลจากการสำรวจ มาเป็นตัวแทนของผู้อ่านทั้งหมด (และดูต่อไปว่าเป็นผู้ชายอายุ 15-25 หรือเปล่า) ซึ่งปัจจุบันมีหลายทางครับ
·          การสำรวจของเว็บไซต์เอง : ในไทย เท่าที่ทราบมี Sanook.com ที่มีการ จ้างสำนักวิจัยภายนอกมาทำการสำรวจผู้ใช้งานเว็บตัวเอง และนำข้อมูลนี้ให้กับนักการตลาดประกอบการตัดสินใจซื้อ หรือ ลงโฆษณา
·          การสำรวจของบริษัท หรือสำนักวิจัย : ปัจจุบันสำนักวิจัยอย่าง ComScore หรือ Nielsen ยังไม่ได้เปิดให้ข้อมูลด้านนี้ นักการตลาดจึงพึ่งข้อมูลจากสำนักวิจัยที่บริษัทฯ ใช้อยู่เป็นประจำ (ถ้ามี) หรือหากนักการตลาดทำงานกับเอเจนซี่ที่มี การทำสำรวจด้านนี้ ก็อาจใช้ข้อมูลจากการสำรวจของเอเจนซี่ได้เช่นกัน
·          การสำรวจโดยหน่วยงานกลาง : เช่น Truehits.net ซึ่งมีการทำแบบสำรวจ ออนไลน์และเผยแพร่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ด้วยครับ ตัวอย่าง เช่น
เป็นตัวอย่างข้อมูลประชากรศาสตร์ของเว็บ Sanook.com ที่ http://truehits.net/stat.php?login=sanook
·          การสำรวจโดยเก็บข้อมูลตัวอย่างจากแคมเปญที่เคยทำ : ในกรณีที่เราทำแคมเปญการตลาดที่ และไปลงโฆษณาที่เว็บไซต์ต่างๆ เราควรเก็บข้อมูลว่า คนที่คลิกโฆษณาของเรา จากเว็บไซต์ดังกล่าวเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เมื่อลงทะเบียนสมัครสมาชิก หรือร่วมเล่นกิจกรรมกับเว็บไซต์ของเราแล้ว มีข้อมูลประชากรศาสตร์ เหมือนกับกลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้หรือไม่

3.      หันไปใช้การวางกลุ่มเป้าหมายตามบริบท (Contextual Targeting) แทน เนื่องจากการวางกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์นี้ มีข้อจำกัดทางด้านข้อมูลอยู่บ้าง นักโฆษณาจึงเปลี่ยนไปคิดถึงการวางกลุ่มเป้าหมายตามบริบทแทน เช่น ถ้าเชื่อว่ากลุ่มผู้ชาย 15-25 ปีส่วนใหญ่น่าจะ สนใจเนื้อหาเกี่ยวกับ กีฬาฟุตบอล นักโฆษณาก็อาจเลือกไปลงโฆษณาในเว็บไซต์เกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลแทน

การเลือกกลุ่มเป้าหมายของการทำโฆษณาออนไลน์
การเลือกกลุ่มผู้ชมที่ถูกต้อง เป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์ ซึ่งสำคัญกว่าความคิดสร้างสรรค์ของงานเสียอีก ทุกวันนี้เราสามารถติดตามและทราบข้อมูลได้ว่าผูใช้ ออนไลน์ผ่านระบบของผู้ให้บริการรายใด ใช้อินเทอร์เน็ตโปรโตคอลอะไร เชื่อมต่อแบบใด ความเร็วเท่าไร นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรม อาทิ วันเวลาที่ล็อกอิน จำนวนหน้าที่เข้าชม ระยะเวลาในการดูโฆษณา ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะนำมาเป็นค่าตัวแปร Data Mining เพื่อใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คาดว่าจะมีโอกาสเป็นลูกค้า หรือผู้ซื้อ เพื่อที่บริษัทโฆษณาจะจัดทำและส่งโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งโฆษณาออนไลน์ จัดเป็นสื่อที่มีอำนาจในการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะตัวชนิดที่ไม่มีสื่อใดทำ ได้
โฆษณาออนไลน์ สามารถส่งสารที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับลูกค้ามากขึ้นออกไปที่จุดใด หรือเวลาใดก็ได้ในระหว่างกระบวนการซื้อสินค้า หรือบริการ ไม่ว่าเป้าหมายของโฆษณาจะต้องการตอบสนองจากลูกค้าโดยตรง ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเสิร์ชเอนจิน การเลือกเป้าหมายที่เหมาะสมคือองค์ประกอบสำคัญสู่ความสำเร็จ
ในการเลือกกลุ่มเป้าหมายออนไลน์ ซึ่งแบ่งได้หลายแบบได้แก่
ตามประชากร demographic
ตามบริบท ที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง contextual
ตามพฤติกรรม behavioural
ตามภูมิศาสตร์ geographic
ตามช่วงเวลาของวัน Daypart
ตามความผูกพัน affinity
ตามสิ่งที่ซื้อ purchasebased
ซึ่งการเลือกกลุ่มเป้าหมายตามวิธีที่กล่าวมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดซึ่งอาจจะนำมาผสมผสานเพื่อให้ได้สิ่งตามที่ ต้องการมากขึ้น
อ้างอิง advertising references 

การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค

โมเดล พฤติกรรมผู้บริโภค (A Model of Consumer Behavior)

          จุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ คือ การศึกษาถึง "โมเดลสิ่งกระตุ้นและการตอบสนอง" (Stimulus-Response Model)

          งานของนักการตลาด คือ การทำความเข้าใจกับความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อ (Buyer's Consciousness) หรือที่เรียกกันว่ากล่องดำ (Black box) โมเดลนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

ส่วน ที่ 1 เริ่มต้นจากการมีสิ่งกระตุ้นเข้ามากระทบกล่องดำหรือความรู้สึกนึกคิดของผู้ ซื้อ โดยสิ่งกระตุ้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

          1)   สิ่งกระตุ้นทางการตลาด ได้แก่ ส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 4 คือ ผลิตภัณฑ์ ราคา สถานที่ และการส่งเสริมการตลาด
          2)   สิ่งกระตุ้นอื่น ๆ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมระดับมหภาค ซึ่งอยู่ภายนอกองค์กร เช่น สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การเมือง และวัฒนธรรม

ส่วน ที่ 2 จากสิ่งกระตุ้นดังกล่าวข้างต้นจะกระทบกล่องดำหรือความรู้สึกนึกคิดของผู้ ซื้อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

          1) ลักษณะของผู้ซื้อ (Buyer Characteristics)
          2) กระบวนการตัดสินใจซื้อ (Buyer decision process)
   
ส่วนที่ 3 เป็นขั้นของการตอบสนองของผู้ซื้อซึ่งได้ผ่านกระบวนการตัดสินใจซื้อมาแล้ว โดยผู้ซื้อจะมีการตอบสนอง 5 ประการดังนี้

          1) การตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะซื้อ (Product choice)
          2) การตัดสินใจเลือกตราสินค้าที่จะซื้อ (Brand choice)
          3) การตัดสินใจเลือกร้านค้าที่จะซื้อ (Dealer choice)
          4) การตัดสินใจในเวลาที่จะซื้อ (Purchase timing)
          5) การตัดสินใจในปริมาณที่จะซื้อ (Purchase amount)
ลักษณะของผู้ซื้อและกระบวนการตัดสินใจซื้อ


          ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อทั้ง 2 ส่วน คือ ลักษณะของผู้ซื้อ (Buyer Characteristics) และกระบวนการตัดสินใจซื้อ (Buyer decision process)
   
ลักษณะของผู้ซื้อ (Buyer Characteristics)


ลักษณะของผู้ซื้อนั้นจะ ถูกกระทบจากปัจจัยทางด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้


          1. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม (Cultural Factors)
          2. ปัจจัยทางด้านสังคม (Social Factors)
          3. ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors)
          4. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา (Psychological Factors)


1. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม (Cultural Factors) ประกอบด้วย


          1.1 วัฒนธรรมพื้นฐาน (Culture)
                      เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีอิทธิพลต่อความต้องการและพฤติกรรมของคน โดยเด็กที่กำลังเติบโต จะได้รับอิทธิพลของค่านิยม (Values), การรับรู้ (Perceptions), ความชอบ (Preferences) และพฤติกรรม (Behaviors) มาจากครอบครัว และสถาบันที่สำคัญ ๆ เช่น โรงเรียน เป็นต้น


          1.2 วัฒนธรรมย่อย (Subculture)
                      ในแต่ละวัฒนธรรมจะประกอบไปด้วยวัฒนธรรมย่อย ๆ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะนำไปสู่การแบ่งส่วนตลาด และการออกแบบกลยุทธ์ส่วนประสมการตลาด (4 P's) ที่แตกต่างกันออกไป ประกอบด้วย
                      - เชื้อชาติ, สัญชาติ เช่น ไทย จีน อเมริกา อังกฤษ ลาว เป็นต้น
                      - ศาสนา เช่น พุทธ อิสลาม คริสต์ ซิกข์ เป็นต้น
                      - พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เช่น ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ เป็นต้น


                      1.3 ชั้นทางสังคม (Social Class) 
                      เป็นการแบ่งสมาชิกในสังคมออกเป็นลำดับขั้นที่แตกต่างกัน โดยอาศัยตัวแปรต่าง ๆ อาทิ รายได้ อาชีพ การศึกษา ความมั่งคั่ง แหล่งที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งชั้นทางสังคมออกเป็น 3 ระดับชั้นด้วยกัน คือ 
                      1) ชนชั้นระดับสูง (Upper Class)
                      2) ชนชั้นระดับกลาง (Middle Class)
                      3) ชนชั้นระดับล่าง (Lower Class)


          สมาชิกที่อยู่ในชั้นทางสังคมเดียวกัน ก็จะมีค่านิยม ความสนใจ และพฤติกรรมที่คล้าย ๆ กัน ชั้นทางสังคมที่แตกต่างกันจะนำไปสู่ความชอบในผลิตภัณฑ์ และตราสินค้าที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น กลุ่มคนชั้นสูงส่วนใหญ่จะใช้เสื้อผ้า Brand name ขับรถยนต์ราคาแพง เช่น Benz, BMW, Jaguar กิจกรรมยามว่าง ต้องไปเล่นกอล์ฟ หรือออกงานสังคม เป็นต้น


ชั้นทางสังคม มีลักษณะสำคัญดังนี้
                      - คนที่อยู่ในชั้นทางสังคมเดียวกัน มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน
                      - คนจะได้รับตำแหน่งที่สูงกว่า ต่ำกว่าตามชั้นทางสังคม
                      - ชั้นทางสังคมชี้ให้เห็นถึงกลุ่มของตัวแปรต่างๆ เช่น อาชีพ รายได้ ความมั่งคั่ง การศึกษา มากกว่าที่จะใช้เพียงแค่ตัวแปรเดียว
                      - คนแต่ละคนสามารถเปลี่ยนชั้นทางสังคมให้สูงขึ้น/ต่ำลงได้ตลอดช่วงชีวิตของ เขา 


2. ปัจจัยทางด้านสังคม (Social Factors) ประกอบด้วย


          2.1 กลุ่มอ้างอิง (Reference Groups)
                      ประกอบด้วยบุคคลที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติหรือพฤติกรรมของบุคคล สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
                      1. กลุ่มอ้างอิงทางตรง (Direct or Membership Groups) คือ กลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคทางตรง และมีการติดต่อกันแบบเผชิญหน้า แบ่งเป็น
                           - กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Groups) เป็นกลุ่มบุคคลที่มีการติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ และมีรูปแบบการติดต่อแบบไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว เพื่อน เป็นต้น
                           - กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Groups) มีการติดต่อกันแบบนานๆครั้ง และมีรูปแบบการติดต่อแบบเป็นทางการ เช่น กลุ่มทางศาสนา กลุ่มวิชาชีพ หรือกลุ่มทางการค้า เป็นต้น
                      2. กลุ่มอ้างอิงทางอ้อม (Indirect Groups) คือ กลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลทางอ้อม ไม่ได้มีการรู้จักเป็นการส่วนตัว แบ่งเป็น
                           - กลุ่มใฝ่ฝัน (Aspirational Groups) บุคคลที่บุคคลอื่นต้องการจะเป็นเหมือน เช่น นักแสดง นักร้อง นายแบบ นางแบบ พิธีกร นักกีฬาที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
                          - กลุ่มไม่พึงปรารถนา (Dissociative Groups) บุคคลที่ค่านิยมหรือพฤติกรรมที่บุคคลอื่นปฏิเสธ


กลุ่ม อ้างอิงจะมีอิทธิพลต่อบุคคล 3 ทางด้วยกัน คือ


                      1) กลุ่มอ้างอิงทำให้บุคคลเกิดพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตใหม่ๆ
                      2) มีอิทธิพลต่อทัศนคติและแนวความคิดส่วนของตนเอง
                      3) มีอิทธิพลต่อการเลือกผลิตภัณฑ์และตราสินค้า


          2.2 ครอบครัว (Family)
                      ครอบครัวถือเป็นองค์กรในสังคมที่สำคัญที่สุด โดยสมาชิกในครอบครัวถือเป็นกลุ่มอ้างอิงทางตรงขั้นปฐมภูมิที่มีอิทธิพลอย่าง มากต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยสมาชิกในครอบครัวจะมีการแบ่งบทบาทและอิทธิพลของการตัดสินใจซื้อดังนี้
                      - ผู้ชาย เป็นผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อ
                      - ผู้หญิง เป็นผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อ
                      - ผู้หญิงและผู้ชาย มีอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อร่วมกัน 


          2.3 บทบาทและสถานภาพ (Roles and Statuses)
                      ผู้บริโภคแต่ละคนจะอยู่ในกลุ่มหลายๆกลุ่มแตกต่างกันออกไป เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน สมาคม เป็นต้น ดังนั้นตำแหน่งของบุคคลในแต่ละกลุ่มจะถูกกำหนดในรูปของบทบาทและสถานภาพ ตัวอย่างเช่น นายทักษิณ เมื่ออยู่กับพ่อแม่จะแสดงบทบาทเป็นลูกชาย เมื่ออยู่กับครอบครัวจะมีบทบาทเป็นสามีและหัวหน้าครอบครัว เมื่อไปทำงานจะแสดงบทบาทเป็นประธานบริษัท เป็นต้น


                      สรุปแล้วบทบาท (Roles) จะประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่บุคคลถูกคาดหวังให้ปฏิบัติ โดยสิ่งที่จะปฏิบัตินั้นขึ้นอยู่กับบุคคลที่อยู่รอบข้าง


                      นอกจากนี้ในแต่ละบทบาทจะประกอบไปด้วยสถานภาพ (Status) ซึ่งคนจะซื้อสินค้าที่บ่งบอกถึงสถานภาพของตนเอง เช่น ประธานบริษัท ต้องขับรถเบนซ์ ใส่สูท เป็นต้น ดังนั้นหน้าที่ของนักการตลาดจะต้องทราบว่าผลิตภัณฑ์รวมถึงตราสินค้าของเรา นั้น เหมาะสำหรับลูกค้าที่อยู่ในบทบาทและสถานภาพใด แล้วทำการสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย 






http://classroom.hu.ac.th/courseware/Marketing/index14.html


11 มิ.ย. 53


ปัจจัยส่วนบุคคล

3. ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal Factors) ประกอบด้วย

          3.1 อายุและลำดับขั้นของวงจรชีวิต (Age and Stage in the Life Cycle)

          คนจะซื้อสินค้าและบริการที่แตกต่างกันไปตลอดช่วงชีวิต ดังนั้นรสนิยมในการซื้อสินค้า เช่น เสื้อผ้า อาหาร รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ หรือกิจกรรมยามว่าง จะมีความสัมพันธ์กับอายุและลำดับขั้นของวงจรชีวิตตัวอย่างเช่น สินค้าประเภทอาหาร เมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นจะนิยมรับประทานอาหารประเภท Fast food แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก็จะให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ มากขึ้น หรือกิจกรรมยามว่างของวัยรุ่น คือ การดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ แต่กิจกรรมยามว่างของวัยผู้ใหญ่อาจจะเป็นการปลูกต้นไม้ ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เป็นต้น

          3.2 อาชีพ (Occupation)
          ผู้บริโภคที่อยู่ในอาชีพที่แตกต่างกัน ความต้องการในการใช้สินค้าหรือบริการก็จะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นนักการตลาดสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของบุคคลที่ อยู่ในแต่ละสาขาอาชีพได้ ตัวอย่างเช่น เครื่องคิดเลข ก็จะมีการออกแบบให้มีรุ่นเพื่อให้ผู้บริโภคแต่ละอาชีพ เช่น นักเรียน/นักศึกษา วิศวกร นักการเงิน นักบัญชี หรือพ่อค้า/แม่ค้าเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม 

          3.3 สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Circumstances)
          การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทาง เศรษฐกิจอีกด้วยโดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจนั้นจะพิจารณาจาก รายได้สำหรับใช้จ่าย เงินออมและสินทรัพย์ หนี้สินอำนาจในการกู้ยืม ทัศนคติที่มีต่อการใช้จ่ายและการออม เป็นต้น

          3.4 รูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle)
          คนแต่ละคนถึงแม้ว่าจะมาจากวัฒนธรรมย่อย ชั้นทางสังคม หรืออาชีพเดียวกันก็ตาม แต่ก็อาจจะมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันได้ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ โดยรูปแบบการดำเนินชีวิตนั้นจะวัดจาก
                      - Activities : กิจกรรม 
                      - Interests : ความสนใจ
                      - Opinions : ความคิดเห็น

          3.5  บุคลิกภาพและแนวความคิดของตนเอง (Personality and Self-Concept)
          บุคลิกภาพ (Personality) หมายถึง รูปแบบของพฤติกรรมหรืออุปนิสัยของคนแต่ละคน ที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของบุคคลนั้น ๆ แนวความคิดของตนเอง (Self-Concept) หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลมีต่อตนเอง คนแต่ละคนจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบุคลิกภาพนั้นจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น คนที่มีความมั่นใจในตัวเองจะใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อสินค้าสั้นกว่าคนที่ ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง บุคลิกภาพจะถูกมองจากด้านต่าง ๆ เช่น 
                      - ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
                      - การมีอำนาจเหนือคนอื่น (Dominance)
                      - การชอบเข้าสังคม (Socialability)
                      - ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)

4. ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา (Psychological Factors) ประกอบด้วย

          4.1 การจูงใจ (Motivation)
          เป็นพลังกระตุ้นหรือพลังผลักดันที่อยู่ภายในตัวบุคคล ซึ่งกระตุ้นให้บุคคลกระทำหรือดำเนินการให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยอาจจะเกิดจากภายในตัวบุคคล หรืออาจถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ส่วนประสมทางการตลาด (4 P's) วัฒนธรรม หรือชั้นทางสังคม

ทฤษฎี ลำดับขั้นความต้องการของ Maslow
                      1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) ได้แก่ ความต้องการในปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
                      2. ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (Safety Needs) ได้แก่ ความต้องการความมั่นคงในชีวิต หน้าที่การงาน หรือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น
                      3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) ได้แก่ ความต้องการความรัก และการยอมรับจากคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ในสังคม
                      4. ความต้องการการยกย่อง (Esteem Needs) ได้แก่ ความต้องการการยกย่อง นับหน้าถือตาจากคนในสังคม ดังนั้นสินค้าสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการในลำดับขั้นนี้ จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ราคาแพง
                      5. ความต้องการประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต (Self-Actualization Needs) 

          4.2 การรับรู้ (Perception)
          เป็นกระบวนการที่บุคคลทำการคัดเลือก จัดระเบียบ และตีความหมายของข้อมูล เพื่อกำหนดเป็นภาพที่มีความหมายขึ้นมา มี 4 ขั้นตอน คือ
                      1. Selective Explosure : การเลือกเปิดรับข้อมูล
                      2. Selective Attention : การเลือกสนใจข้อมูล
                      3. Selective Distortion : การเลือกตีความข้อมูล
                      4. Selective Retention : การเลือกที่จะจดจำข้อมูล

          4.3 การเรียนรู้ (Learning)
          คือ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของคนที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของคนแต่ละ คน ซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น ถ้านาตาชาใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia แล้วมีความพึงพอใจในคุณภาพสินค้า ดังนั้นหากนาตาชาจะซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่โอกาสที่จะเลือกซื้อ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia ก็มีมากขึ้น

          4.4 ความเชื่อและทัศนคติ (Beliefs and Attitudes)
          ความเชื่อ (Beliefs) เป็นความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความคิดเห็น
          ทัศนคติ (Attitudes) เป็นการประเมินความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจของบุคคล ความรู้สึกด้านอารมณ์ และแนวโน้มการปฏิบัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
          ทั้งความเชื่อและทัศนคติจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของผู้ บริโภค ซึ่งผู้บริโภค อาจจะมีความเชื่อและทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นหน้าที่ของนักการตลาดคือการสื่อสารเพื่อแก้ไขความเชื่อและทัศนคติ เหล่านั้น


กระบวนการตัดสินใจซื้อ (The Buying Decision Process)


บทบาทในการซื้อ (Buying Roles)


          ในกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคนั้นจะประกอบไปด้วยบุคคลหรือกลุ่มคน ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีบทบาทในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 บทบาท คือ


          1. ผู้ริเริ่ม (Initiator) คือ บุคคลที่เสนอความคิดในการซื้อผลิตภัณฑ์เป็นคนแรก
          2. ผู้มีอิทธิพล (Influencer) คือ ผู้ที่มีอิทธิพลในการให้คำแนะนำ ให้ข้อเสนอแนะในการตัดสินใจซื้อ 
          3. ผู้ตัดสินใจซื้อ (Decider) คือ ผู้ที่ตัดสินใจในการซื้อสินค้าเป็นครั้งสุดท้ายในเรื่องต่าง ๆ คือ ซื้อหรือไม่ซื้อซื้ออะไร ซื้อที่ไหน และซื้ออย่างไร 
          4. ผู้ซื้อ (Buyer) คือ ผู้ทำการซื้อสินค้านั้นๆ 
          5. ผู้ใช้ (User) คือ บุคคลที่เป็นผู้ใช้หรือบริโภคสินค้านั้น ๆ 


ขั้นตอนของกระบวน การตัดสินใจซื้อ (The Stages of the Buying Decision Process)


1. การรับรู้ถึงความต้องการหรือปัญหา (Problem/Need Recognition)


          ในขั้นตอนแรกผู้บริโภคจะตระหนักถึงปัญหา หรือความต้องการในสินค้าหรือการบริการ ซึ่งความต้องการหรือปัญหานั้นเกิดขึ้นมาจากความจำเป็น (Needs) ซึ่งเกิดจาก


          1) สิ่งกระตุ้นภายใน (Internal Stimuli) เช่น ความรู้สึกหิวข้าว กระหายน้ำ เป็นต้น
          2) สิ่งกระตุ้นภายนอก (External Stimuli) อาจจะเกิดจากการกระตุ้นของส่วนประสมทาง


          การตลาด (4 P's) เช่น เห็นขนมเค้กน่ากิน จึงรู้สึกหิว, เห็นโฆษณาสินค้าในโทรทัศน์ - กิจกรรมส่งเสริมการตลาดจึงเกิดความรู้สึกอยากซื้อ อยากได้, เห็นเพื่อนมีรถใหม่แล้วอยากได้ เป็นต้น


2. การแสวงหาข้อมูล (Information Search)


          เมื่อผู้บริโภคทราบถึงความต้องการในสินค้าหรือบริการแล้ว ลำดับขั้นต่อไปผู้บริโภค ก็จะทำการแสวงหาข้อมูล เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ โดยแหล่งข้อมูลของผู้บริโภค แบ่งเป็น


          1) แหล่งบุคคล (Personal Sources) เช่น การสอบถามจากเพื่อน ครอบครัว คนรู้จักที่มีประสบการณ์ในการใช้สินค้าหรือบริการนั้น ๆ
          2) แหล่งทางการค้า (Commercial Sources) เช่น การหาข้อมูลจากโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ พนักงานขาย ร้านค้า บรรจุภัณฑ์
          3) แหล่งสาธารณชน (Public Sources) เช่น การสอบถามจากรายละเอียดของสินค้าหรือบริการจากสื่อมวลชน หรือองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค
          4) แหล่งประสบการณ์ (Experiential Sources) เกิดจากการประสบการณ์ส่วนตัวของผู้บริโภคที่เคยทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ มาก่อน


3.  การประเมินทางเลือก (Evaluation of Alternatives)


          เมื่อได้ข้อมูลจากขั้นตอนที่ 2 แล้ว ในขั้นต่อไปผู้บริโภคก็จะทำการประเมินทางเลือก โดยในการประเมินทางเลือกนั้น ผู้บริโภคต้องกำหนดเกณฑ์หรือคุณสมบัติที่จะใช้ในการประเมิน


          ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้บริโภคจะเลือกซื้อรถยนต์ จะมีเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณา เช่น ยี่ห้อ ราคา รูปแบบ การตกแต่งภายใน-ภายนอก บริการหลังการขาย ราคาขายต่อ เป็นต้น 


4.  การตัดสินใจซื้อ (Purchase Decision)


          หลังจากที่ได้ทำการประเมินทางเลือกแล้ว ผู้บริโภคก็จะเข้าสู่ในขั้นของการตัดสินใจซื้อ ซึ่งต้องมีการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ดังนี้
          1) ตรายี่ห้อที่ซื้อ (Brand Decision)
          2) ร้านค้าที่ซื้อ (Vendor Decision)
          3) ปริมาณที่ซื้อ (Quantity Decision)
          4) เวลาที่ซื้อ (Timing Decision)
          5) วิธีการในการชำระเงิน (Payment-method Decision)


5.  พฤติกรรมภายหลังการซื้อ (Postpurchase Behavior)


          หลังจากที่ลูกค้าได้ทำการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการไปแล้วนั้น นักการตลาดจะต้องทำการตรวจสอบความพึงพอใจภายหลังการซื้อ ซึ่งความพึงพอใจนั้นเกิดขึ้นจากการที่ลูกค้าทำการเปรียบเทียบสิ่งที่เกิด ขึ้นจริง กับสิ่งที่คาดหวัง ถ้าคุณค่าของสินค้าหรือบริการที่ได้รับจริง ตรงกับที่คาดหวังหรือสูงกว่าที่ได้คาดหวังเอาไว้ ลูกค้าก็จะเกิดความพึงพอใจในสินค้าหรือบริการนั้น โดยถ้าลูกค้ามีความพึงพอใจก็จะเกิดพฤติกรรมในการซื้อซ้ำ หรือบอกต่อ เป็นต้น แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณค่าที่ได้รับจริงต่ำกว่าที่ได้คาดหวังเอาไว้ ลูกค้าก็จะเกิดความไม่พึงพอใจ พฤติกรรมที่ตามมาก็คือ ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขัน และมีการบอกต่อไปยังผู้บริโภคคนอื่น ๆ ด้วย


          ด้วยเหตุนี้นักการตลาดจึงต้องทำการตรวจสอบความพึงพอใจของลูกค้าหลังจากที่ ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการไปแล้ว โดยอาจจะทำผ่านการใช้แบบสำรวจความพึงพอใจ หรือจัดตั้งศูนย์รับข้อร้องเรียนของลูกค้า (Call Center) เป็นต้น 
       




http://classroom.hu.ac.th/courseware/Marketing/index16.html


11 มิ.ย. 53





พฤติกรรมผู้บริโภค

          พฤติกรรมของผู้บริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การแสดงออกของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้สินค้าและบริกรทาง เศรษฐกิจ รวมทั้งกระบวนการในการตัดสินใจที่มีผลต่อการแสดงออก

ประโยชน์ ของการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค

          1. ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของ ผู้บริโภค
          2. ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถหาหนทางแก็ไขพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อสินค้าของ ผู้บริโภคในสังคมได้ถูกต้องและสอดคล้องกับความสามารถในการตอบสนองของธุรกิจ มากยิ่งขึ้น
          3. ช่วยให้การพัฒนาตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถทำได้ดีขึ้น
          4. เพื่อประโยชน์ในการแบ่งส่วนตลาด เพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ให้ตรงกับชนิดของสินค้าที่ต้องการ
          5. ช่วยในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจต่าง ๆ เพื่อความได้เปรียบคู่แข่งขัน

กระบวนการพฤติกรรมผู้ บริโภค (Process of Behavior)

          1. พฤติกกรมเกิดขึ้นได้ต้องมีสาเหตุทำให้เกิด
          2. พฤติกรรมเกิดขึ้นได้จะต้องมีสิ่งจูงใจหรือแรงกระตุ้น
          3. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมมุ่งไปสู่เป้าหมาย

ปัจจัยที่มีผล ต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค

1. ปัจจัยทางวัฒนธรรม เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สุดในการกำหนดความต้องการและพฤติกรรมของมนุษย์เช่น การศึกษา ความเชื่อ ยังรวมถึงพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับการยอมรับภายในสังคมใดสังคมหนึ่งโดย เฉพาะ

ลักษณะชั้นทางสังคม ประกอบด้วย 6 ระดับ

          ขั้นที่ 1 Upper-Upper Class ประกอบด้วยผู้ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่เกิดมาบนกองเงินกองทอง
          ชั้น ที่ 2 Lower –Upper Class เป็นชั้นของคนรวยหน้าใหม่ บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการบริหาร เป็นผู้ที่มีรายได้สูงสุดในจำนวนชั้นทั้งหมด จัดอยู่ในระดับมหาเศรษฐี
          ชั้นที่ 3 Upper-Middle Class ประกอบด้วยชายหญิงที่ประสบความสำเร็จในวิชาอื่น ๆ สมาชิกชั้นี้ส่วนมากจบปริญญาจากมหาวิทยาลัย กลุ่มนี้เรียกกันว่าเป็นตาเป็นสมองของสังคม
          ชั้น ที่ 4 Lower-Middle Class เป็นพวกที่เรียกว่าคนโดยเฉลี่ย ประกอบด้วยพวกที่ไม่ใช่ฝ่ายบริหาร เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก พวกทำงานนั่งโต๊ะระดับต่ำ
          ชั้นที่ 5 Upper-Lower Class เป็นพวก จนแต่ซื่อสัตย์ ได้แก่ชนชั้นทำงานเป็นชั้นที่ใหญ่ที่สุดในชั้นทางสังคม
          ชั้น ที่ 6 Lower-Lower Class ประกอบด้วยคนงานที่ไม่มีความชำนาญ กลุ่มชาวนาที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ชนกลุ่มน้อย

2. ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซ้อ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอ้างอิง ครอบครัว บทบาท และสถานะของผู้ซื้อ

          2.1 กลุ่มอ้างอิง หมายถึงกลุ่มใด ๆ ที่มีการเกี่ยวข้องกัน ระหว่างคนในกลุ่ม แบ่งเป็น 2 ระดับ
                 - กลุ่มปฐมภูมิ ได้แก่ครอบครัว เพื่อนสนิท มักมีข้อจำกัดในเรื่องอาชีพ ระดับชั้นทางสังคมและช่วงอายุ
                 - กลุ่มทุติยภูมิ เป็นกลุ่มทางสังคมที่มีความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว แต่ไม่บ่อย มีความเหนียวแน่นน้อยกว่ากลุ่มปฐมภูมิ
          2.2 ครอบครัว เป็นสถาบันที่ทำการซื้อเพื่อการบริโภคที่สำคัญที่สุด นักการตลาดจะพิจารณาครอบครัวมากกว่าพิจารณาเป็นรายบุคคล
          2.3 บทบาททางสถานะ บุคคลที่จะเกี่ยวข้องกับหลายกลุ่ม เช่น ครอบครัว กลุ่มอ้างอิง ทำให้บุคคลมีบทบาทและสถานภาพที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม

3. ปัจจัยส่วนบุคคล การตัดสินใจของผู้ซื้อมักได้รับอิทธิพลจากคุณสมบัติส่วนบุคคลต่าง ๆ เช่น อายุ อาชีพ สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ การศึกษา รูปแบการดำเนินชีวิต วัฏจักรชีวิตครอบครัว

4. ปัจจัยทางจิตวิทยา การเลือกซื้อของบุคคลได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งจัดปัจจัยในตัวผู้บริโภคที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อและใช้สินค้า ปัจจัยทางจิตวิทยาประกอบด้วยการจูงใจ การรับรู้ความเชื่อและเจตคติ บุคลิกภาพและแนวความคิดของตนเอง

          นักจิตวิยามาสโลว์ได้กำหนดทฤษฏีลำดับขั้นตอนของความต้องการซึ่งกำหนดความ ต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ไว้ 5 ระดับ ซึ่งจัดลำดับจากความต้องการระดับต่ำไปยังระดับสูงคือ
          1. ความสำเร็จส่วนตัว     
          2. ความต้องการด้านอีโก็ (ความภาคภูมิใจ สถานะ ความเคารพ) 
          3. ความต้องการด้านสังคม
          4. ความปลอดภัยและมั่นคง
          5. ความต้องการของร่ายกาย

กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ            

          ขั้นที่ 1 การรับรู้ถึงปัญหา กระบวนการซื่อจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อตระหนักถึงปัญหาหรือความต้องการของตน เอง

          ขั้นที่ 2 การค้นหาข้อมูล ในขั้นนี้ผู้บริโภคจะแสวงหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจ ในขั้นแรกจะค้นหาข้อมูลจากแหล่งภายในก่อน เพื่อนำมาใช้ในการประเมินทางเลือก หากยังได้ข้อมูลไม่เพียงพอก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มจากแหล่งภายนอก

          ขั้นที่ 3 การประเมินผลทางเลือก ผู้บริโภคจะนำข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้มาจัดเป็นหมวดหมู่และวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ทั้งในลักษณะการเปรียบเทียบหาทางเลือกและความคุ้มค่ามากที่สุด

          ขั้นที่ 4 การตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด หลังการประเมิน ผู้ประเมินจะทราบข้อดี ข้อเสีย หลังจากนั้นบุคคลจะต้องตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก็ปัญหา มักใช้ประสบการณ์ในอดีตเป็นเกณฑ์ทั้งประสบการณ์ของตนเองและผู้อื่น

          ขั้นที่ 5 การประเมินภายหลังการซื้อ เป็นขั้นสุดท้ายหลังจากการซื้อ ผู้บริโภคจะนำผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นมาใช้ และในขณะเดียวกันก็จะทำการประเมินผลิตภัณฑ์นั้นไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่า กระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ไม่ได้หยุดตรงที่การซื้อ

SEO (Search Engine Optimize

SEO (Search Engine Optimize )คือการปรับ เวปไซต์ ให้อยู่ในอันดับ ใน Google ในอันดับแรกๆ ทำให้เมื่อมีคนค้นหาแล้วจะเจอเวปไซต์ เราในหน้าแรกๆ ข้อดีของ SEO SEO ช่วยเพิ่มคนเข้าเวปไซต์ ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ใช้ Search engine อย่าง Google ในการค้นหาเวปไซต์ที่พวกเขาสนใจ การมีอันดับที่ดีใน Google ย่อมส่งผลให้คนเข้ามาเวปไซต์อย่างไม่ยากเย็น SEO ทำให้มีรายได้จากการโฆษณา ถ้าเวปไซต์เรามี PageRank และจำนวนคนเข้าเวปไซต์ อย่างมากมายไม่ต้องสงสัย เลยว่า จะมีคนสนใจลงโฆษณา กับเราเองโดยไม่ต้องไปหาให้เมื่อย SEO ช่วยให้เราทำเงินจาก Adsense ได้มากขึ้น เคยมีคนเปรียบเทียบ การเมืองสมัคร

ความลับของ SEO 3 ข้อ รู้แล้วรวย!

SEO (Search Engine Optimize )คือการปรับ เวปไซต์ ให้อยู่ในอันดับ ใน Google ในอันดับแรกๆ ทำให้เมื่อมีคนค้นหาแล้วจะเจอเวปไซต์ เราในหน้าแรกๆ
ข้อดีของ SEO
SEO ช่วยเพิ่มคนเข้าเวปไซต์
ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ใช้ Search engine อย่าง Google ในการค้นหาเวปไซต์ที่พวกเขาสนใจ การมีอันดับที่ดีใน Google ย่อมส่งผลให้คนเข้ามาเวปไซต์อย่างไม่ยากเย็น
SEO ทำให้มีรายได้จากการโฆษณา
ถ้าเวปไซต์เรามี PageRank และจำนวนคนเข้าเวปไซต์ อย่างมากมายไม่ต้องสงสัย เลยว่า จะมีคนสนใจลงโฆษณา กับเราเองโดยไม่ต้องไปหาให้เมื่อย
SEO ช่วยให้เราทำเงินจาก Adsense ได้มากขึ้น
เคยมีคนเปรียบเทียบ การเมืองสมัคร เก่า ว่า พรรค ใหญ่ๆ เอาเสาไฟลงสมัคร ส.ส ก็มีคนเลือก เพราะว่าเขามีฐานเสียงเยอะ
การทำเงินจาก Adsense ก็เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะวางโฆษณายังไง ถ้ามีคนเข้าเวปไซต์ แยะ ก็มีคนตามไปคลิก (เอ จอห์นโยงไปหากันได้ยังๆไง)
ความสำเร็จของการ Seo เวปนั้นไม่ยากเลย
ปัจจุบัน เวปไซต์ของจอห์น ทำอันดับได้ดีในหลาย Keyword ความลับมีไม่มาก

เวปไซต์ที่จะทำอันดับได้ดี หน้าแรกๆ

1.มีคำในอยู่ใน ไตเติ้ลเวป
2 มีคำนั้นอยู่ใน รายละเอียด
3.มีคำนั้นอยู่ใน Url สำคัญมากที่สุด

การทำอับดับได้ดี ต้องมีข้อใด ข้อหนึ่งในนี้ หากมีทั้ง 3 ข้อ คุณจะอยู่หน้าแรกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือนการทำ Seo ไม่ยากเลยเลย หากแต่ การปรับเวปไซต์ให้มีทั้ง 3 ข้อนั้น ต้องอาศัยความรู้ด้าน โปรแกรมช่วย หากไม่ต้องการเมื่อยมากนัก
ความลับง่ายๆแค่นี้ก็สามารถทำให้เวปไซต์ขึ้นอันดับได้สวยงาม โดยไม่ต้อง พึ่ง Pagerank แล้ว
ออ รู้แล้วก็ต้องทำด้วยนะ ลืมบอกไปว่ารู้อย่างเดียว ก็ไม่รวย :-)

กลยุทธ์ด้านราคา

ปัญหาที่ผู้ประกอบการ SME ถามเข้ามาบ่อยในเว็บนี้ ก็คือ เรื่องการตั้งราคาสินค้า เนื่องจากการขายของผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น แม้ว่าจะไม่มีพรมแดน เรื่องการสั่งซื้อ แต่ก็จะมีปัญหาค่าขนส่งซึ่งเมื่อบวกค่าสินค้าเข้าไปแล้ว ลูกค้าบางคนอาจจะรู้สึกว่า “ซื้อแพง” ?

เมื่อย้อนไปดูพื้นฐานของการ ตั้งราคาสินค้าในช่องทางการขายปกตินั้น เราคำนึงถึง 3 ปัจจัยต่อไปนี้

1. ต้นทุนการผลิตสินค้า
ตั้งแต่วัตถุดิบ การขนส่งวัตถุดิบมาเพื่อแปรรูป พัฒนาคุณภาพ บรรจุภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่าย

2. ราคาของคู่แข่งขัน
หาก สินค้าเราไม่ใช่สินค้าใหม่ถอดด้ามก็ต้องคำนึงถึงราคาของสินค้าคู่แข่งที่ วางตลาดไว้ หากเทียบคุณภาพแล้ว ใกล้เคียงกัน เราก็ไม่สามารถที่จะตั้งราคาสูงกว่าเขาได้ แต่ถ้ามั่นใจว่าสินค้าเรามีคุณภาพดีกว่า เราก็สามารถที่จะทำราคาเหนือคู่แข่งด้วย ที่สำคัญต้องให้ลูกค้า หรือผู้ซื้อรู้สึกเช่นนั้นด้วย เขาจึงจะยอมจ่ายแพงกว่า

3. ค่าดำเนินการต่างๆ
ราคา สินค้าที่ผู้บริโภคคนสุดท้ายจ่ายในปัจจุบันนั้น ได้รวมถึงค่าโฆษณา ค่าฝากขาย และค่าดำเนินการต่างๆ อย่างมากมาย แม้แต่ในอินเทอร์เน็ตเอง การที่ลูกค้าใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าของเราบนเว็บไซต์ ธนาคารก็คิดค่าธรรมเนียม 3-5% ของราคาขายด้วย

ปัจจัยดังกล่าวนี้ ล้วนมีผลในการตั้งราคาขายสินค้าทั้งสิ้น

แต่ การขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตนั้น สามารถลดต้นทุนในค่าดำเนินการต่างๆ ไปได้มาก เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงานขาย ค่าน้ำ ค่าไฟ ดังนั้นจึงทำให้ต้นทุนส่วนนี้ สินค้าหลายประเภทจึงสามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าช่องทางการค้าปกติ

อีก ประการหนึ่งการขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ประกอบการ SMEs ไม่จำเป็นต้อง สต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก เพราะลองทำ สินค้าตัวอย่างขึ้นมา แล้วประชาสัมพันธ์ให้คนเข้ามาดู หากสนใจจึงค่อยผลิต โดยวิธีการเหล่านี้ก็ช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบได้มาก และเมื่อผลิตแล้วก็สามารถสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

อย่าง ไรก็ตาม หากจำหน่ายสินค้าที่จับต้องได้ (ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ ซึ่งเมื่อผู้ซื้อชำระเงินเสร็จแล้วก็สามารถดาวน์โหลดได้ทันที-ไม่ต้องมีค่า ขนส่ง) ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายค่าขนส่งอยู่ดี ผู้ประกอบการบางรายที่คิดจะทำการค้าขายในต่างประเทศ จึงเกรงว่าหากตั้งราคาสินค้า 10 เหรียญ แต่เมื่อรวมค่าส่ง 20 เหรียญแล้ว ผู้ซื้ออาจจะลังเลไม่ซื้อสินค้านั้นก็ได้

แนวคิดการตั้งราคาบนอิน เทอร์เน็ตของผู้ประกอบการในเว็บปัจจุบัน จึงแยกออกเป็น 2 แนวทาง
1. คิดราคาค่าขนส่งรวมกับราคาสินค้า
โดย หาค่าเฉลี่ยของค่าขนส่งกลุ่มเป้าหมายปลายทาง แล้วบวกรวมกับค่าสินค้า โดยแง่นี้ลูกค้าก็จะไม่รู้ค่าขนส่ง เมื่อประมาณราคาสินค้าว่าเหมาะสมกับมูลค่าที่ตนยินยอมจ่ายแล้ว เขาก็จะตัดสินใจซื้อ

2. คิดราคาค่าขนส่งแยกกับราคาสินค้า
โดย วิธีนี้ก็จะเป็นธรรมกับผู้ซื้อ เพราะหากผู้ซื้ออยู่ ทวีปเอเชียแต่ต้องจ่ายค่าขนส่ง ที่รวมกับค่าสินค้าเท่ากับ ผู้ซื้อปลายทางที่อเมริกาแล้ว เขาก็รู้สึกว่าแพงเกินไป ในกรณีเช่นนี้ผู้ขายเองก็ต้องพยายามจัดสินค้า ให้เหมาะสมกับ น้ำหนักขั้นต่ำที่บริษัทฯ ขนส่งคิด เพื่อที่ลูกค้าจะ ได้ไม่รู้สึกว่า ตนต้องรับภาระค่าขนส่ง มากเกินไป เช่น ถ้วยกาแฟเปล่าๆ น้ำหนัก 200 กรัม ราคา 3 เหรียญ แต่เสียค่าส่ง 10 เหรียญ ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายเงินค่าสินค้า แค่ถ้วยกาแฟเปล่า ทั้งหมด 13 เหรียญ แต่หากผู้ขายจัดจานรองถ้วยกาแฟ พร้อมช้อนคน ขายเป็นชุด แม้น้ำหนักจะเพิ่มเป็น 500 กรัม ค่าสินค้าจะเพิ่มเป็น 4 เหรียญ แต่ค่าขนส่งยังคงเท่าเดิม ลูกค้าที่ซื้อชุดถ้วยกาแฟ+จานรอง+ช้อนในราคา 14 เหรียญ ก็จะรู้สึกคุ้มค่ากว่า

เรื่องเหล่านี้จึงเป็นแนวคิด ให้ผู้ประกอบการพิจารณา เพื่อตั้งราคาสินค้า แต่อย่าลืมว่า “สินค้า” บนอินเทอร์เน็ตนั้น มีอยู่มากมาย ผู้ซื้อมี โอกาสเปรียบเทียบราคาได้ตลอดเวลา บางเว็บที่มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยขายสินค้าได้เลย บางทีต้องหันมาพิจารณาเรื่องของ “ราคาขาย” ที่ตนตั้งเหมือนกันว่า “น่าซื้อหรือเปล่า?”

การจัดการเชิงกลยุทธ์ในด้านการตั้งราคา

การจัดการเชิง กลยุทธ์ในด้านการตั้งราคา           
*   ปัญหา ของการจัดการทางด้านการตั้งราคา
            จากประสบการณ์ของธุรกิจหลายแห่ง พบว่าธุรกิจมักจะประสบความล้มเหลวในการกำหนดราคา ทั้งๆ ที่สามารถใช้กลยุทธ์การตลาดในด้านอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหตุผลสำคัญคือ การขาดการนำหลักการพื้นฐานของการตลาดมาใช้กับการตัดสินใจในการกำหนดราคา เหมือนกับการตัดสินใจด้านตลาดอื่นๆ หลักการพื้นฐานดังกล่าวนั้นก็คือ การทำความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าและสามารถประเมินการตอบสนองหรือ ปฏิกิริยาของลูกค้าต่อการตัดสินใจใดๆ ทางการตลาดของกิจการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความสามารถดังกล่าวนั้นในที่สุดแล้วจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความ ล้มเหลวของกิจการในที่สุด
            สิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการก็คือ การหาซื้อของราคาถูกที่สุดในระดับคุณภาพที่ต้องการ    ความแตกต่างระหว่างยี่ห้อก็อาจจะหมายถึงการยอมจ่ายเพิ่มขึ้นและไม่ ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะเหมือนหรือแตกต่างกัน ซึ่งพื้นฐานการตัดสินใจของลูกค้าจะขึ้นอยู่กับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย อาจมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อบริษัทที่ขายเป็นล้านๆ หน่วย แต่จะไม่มีผลอะไรเลยในแง่เศรษฐกิจต่อลูกค้าที่ซื้อเพียงหน่วยเดียว ลูกค้าจะปฏิเสธที่จะซื้อถ้าหากราคาสูงเกินกว่าที่เขายินดีจะจ่ายเพียงเล็ก น้อยก็ตาม ลูกค้าไม่สนใจถึงความจำเป็นของผู้ขายในการครอบคลุมต้นทุนการผลิต การปรับปรุงเงินสดหมุนเวียน หรือบรรลุอัตราผลตอบแทนตามเป้าหมาย   สิ่งเดียวที่เขาคำนึงถึงก็คือ การได้ผลคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่เท่านั้น













ภาพที่ 1  ขั้นตอนในการกำหนดกลยุทธ์ราคา


          ในปัจจุบันกลยุทธ์ราคาได้ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การ ตลาด การมุ่งเน้น        ที่ผู้บริโภคเกิดจากความเชื่อที่ว่า กิจการจะสร้างคุณค่าได้ดียิ่งขึ้นด้วยการรับฟังความคิดเห็น        ของตลาด และการตอบสนองความต้องการที่แท้จริง มากกว่าการพยายามทำให้ตลาดยอมรับไปกับอะไรก็ตามที่บริษัทผลิตออกมา แต่ความพยายามในการสร้างคุณค่ายังไม่เพียงพอ หัวใจของการตลาดได้เปลี่ยนจาก การขายในสิ่งที่บริษัทผลิตได้  มาเป็น การผลิตในสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการ การตลาดได้กลายมาเป็นหนทางที่บริษัทใช้ใน การบอกถึงความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย   การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น   การ ส่งเสริมการขายอย่างจริงใจ    และติดตามการบริการหลังการขายเพื่อความพอใจของลูกค้าเป้าหมายสูงสุด ของการตลาดไม่ใช่การแปลงบริษัท   ให้เป็นองค์กรการกุศลเพื่อประโยชน์และความเจริญเติบโตขององค์กร    ซึ่งทุกสิ่งนี้จะบรรลุได้       
ก็ต่อเมื่อลูกค้าให้การยอมรับกับสินค้าและการบริการของบริษัทเท่า นั้น
*   กลยุทธ์ ราคาในวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์
            ในแต่ละช่วงของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์นั้น ปัจจัยสภาพแวดล้อมได้มีการเปลี่ยนแปลง             อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางด้านพฤติกรรมผู้บริโภค      สภาพการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี หรือเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักบริหารต้องทำการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดให้ เหมาะสม   เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ สามารถแข่งขันและคงอยู่ในตลาด
อีกทั้งรักษาความสามารถในการทำกำไรกับกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
*   แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
          ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในตลาดมีวงจรชีวิต 4 ช่วง ดังนี้ 
1.  ช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ (INTRODUCTION  STAGE)
2.  ช่วงเจริญเติบโต (GROWTH  STAGE)
3.  ช่วงอิ่มตัว (MATURITY  STAGE)
4.  ช่วงถดถอย (DECLINE  STAGE)










ภาพที่ 2  วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product life cycle

จากภาพ เป็นรูปแบบการเจริญเติบโตของยอดขายและกำไรของผลิตภัณฑ์  ประกอบ ด้วย 4 ช่วงคือ ช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ ช่วงเจริญเติบโต ช่วงอิ่มตัว และช่วงถดถอย
*   กลยุทธ์ราคาในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่
            ความหมายของคำว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ ทางการตลาดนั้น สามารถจำแนกออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.  ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีในตลาดโลก (new-to-the world products)
2.  สายผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับกิจการ (new-product lines)
3.  ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เสริมเข้าไปในสายการผลิตที่มี อยู่เดิม (additions to existing products)
4. การปรับปรุงในคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์เดิม (improvement in revisions to existing product)
5. การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาดในผลิตภัณฑ์เดิม (repositioning)
6. การลดต้นทุนการผลิตภัณฑ์เดิม (cost reduction)
            โดยทั่วไปแล้ว ในกรณีของผลิตภัณฑ์ใหม่ นักการตลาดพบกับความเสี่ยงสูง                  หาก ผลิตภัณฑ์ใหม่ประสบความสำเร็จในตลาดแล้ว บริษัทผู้ผลิตจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ปัญหาประการสำคัญของผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีในตลาดโลก หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เคยมีการออกจำหน่ายในตลาดภายในประเทศนั้นคือการบริโภค ยังไม่รู้จักคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ นั้นดีพอ จากการศึกษาพบว่ากระบวนการยอมรับ ในผลิตภัณฑ์ใหม่ของผู้บริโภคนั้นประกอบด้วย 5 ขั้น ตอนสำคัญตามลำดับดังนี้
1.  ความรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ ขั้นตอนแรกนี้ ผู้บริโภคจะเริ่มตระหนังถึงความแปลกใหม่ในผลิตภัณฑ์ แต่ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับคุณลักษณะหรือหน้าที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ นั้น
2.  ความสนใจในผลิตภัณฑ์ใหม่  ในขั้นตอนนี้ ผู้บริโภคเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม
            3.  การประเมินผลิตภัณฑ์ใหม่ จาข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคจะเริ่มตั้งเกณฑ์ในการพิจารณา ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อทำการประเมินว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นไม่สามารถที่จะได้รับการทดลองใช้หรือไม่
            4.  การทดลองใช้ ในขั้นตอนนี้ผู้บริโภคจะทำการเปรียบเทียบตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ว่าตรงกับคุณค่า ของผลิตภัณฑ์ในทัศนคติของผู้บริโภคหรือไม่
            5.  การยอมรับในผลิตภัณฑ์ใหม่ ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ตรงกับคุณค่าที่อยู่ในใจของผู้บริโภคแล้ว ผลิตภัณฑ์ใหม่จะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและจะเกิดพฤติกรรมการซื้อซ้ำ อย่างเป็นปกติวิสัยขึ้น
            เมื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาด จะพบว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความแปลกใหม่ในทัศนคติของผู้บริโภคแล้ว ผู้บริโภคจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้ระดับราคาเป็นตัวบ่งบอกถึง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ การที่ยังไม่มี     ตรายี่ห้อของคู่แข่งขันในตลาดมาใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้
            จากลักษณะของการตลาดดังกล่าว เป้าหมายประการสำคัญในช่วงเข้าสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์คือ การให้ผู้บริโภครับรู้ถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์โดยผ่านกลไกทางด้านราคา ราคาที่กำหนดขึ้นควรจะอยู่ในระดับผู้บริโภคพิจารณาแล้วเห็นว่าสมเหตุสมผลกับ คุณค่าที่คาดว่าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์และเป็นราคาที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการ ซื้อซ้ำของผู้บริโภค นอกจากผู้บริโภคจะใช้ระดับราคาดังกล่าวในการบ่งชี้ถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์ แล้ว ยังใช้เกณฑ์ในการพิจารณาส่วนลด ตลอดจนระดับราคาที่คาดว่าจะได้ลดลงในอนาคตอีกด้วย
            ในกรณีของการกำหนดราคาแบบตักตวงผลประโยชน์ ระดับราคาของผลิตภัณฑ์            ควรใกล้เคียงกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ในทัศนคติของกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ ไวต่อเรื่องราคา ในทางกลับกันในการกำหนดราคาเป็นกลางนั้น ระดับราคาของผลิตภัณฑ์ควรใกล้เคียงกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการ ประเมินในทัศนคติของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยทั่วไป สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแปลกในตลาดนี้ ไม่เหมาะสมที่จะกำหนดราคาแบบเจาะตลาด เพราะการที่ผลิตภัณฑ์มีราคาต่ำนั้นผู้บริโภคโดย     ส่วนใหญ่จะเข้าใจเป็นผลมาจากคุณภาพที่ด้อยกว่าของผลิตภัณฑ์     ด้วยเหตุนี้การกำหนดราคาแบบดังกล่าวจึงทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
          กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดโดยการใช้ราคาเป็นตัวชักนำให้ เกิดการทดลองซื้อ
          วัตถุประสงค์ของกลยุทธ์การใช้ราคาเป็นตัวชักนำให้เกิดการทดลอง ซื้อคือ การให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์จากการได้ทดลองใช้ โดยหวังว่า หากผู้บริโภคเกิดความพอใจ        ในผลิตภัณฑ์นอกจากจะเกิดพฤติกรรมการซื้อซ้ำแล้ว ตัวผู้บริโภคยังทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแพร่กระจายข่าวสารข้อมูลของ ผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรายอื่นๆ
          การใช้กลยุทธ์ดังกล่าว จะพบบ่อยในสินค้าจำพวกอุปโภคบริโภคโดยทั่วไปที่มีความถี่ในการซื้อบ่อยครั้ง แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความไวในเรื่องราคา เมื่อเผชิญกับผลิตภัณฑ์ที่มีความแปลกใหม่ในตลาด อย่างไรก็ตาม การให้ส่วนลดอย่างมาก ก็ยังเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นในการชักนำให้เกิด        การทดลองใช้ การให้ส่วนลดดังกล่าวอาจจะอยู่ในรูปของคูปองที่ได้รับส่วนลดทันทีที่ซื้อ ผลิตภัณฑ์หรือในรูปของการคืนกำไร แม้ว่าการใช้กลยุทธ์นี้จะทำให้บริษัทมิได้กำไรเท่าที่ควร หรือในบางครั้งอาจจะประสบกับการขาดทุน แต่ผู้บริหารควรพิจารณากลยุทธ์ดังกล่าวในฐานะของการลงทุนให้ผู้บริโภคได้ เรียนรู้ถึงคุณลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ โดยหวังผลในยอดขายและความสามารถ   ในการทำไรในระยะยาวมากกว่า
*   กลยุทธ์ การเข้าสู่ตลาดโดยผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย
          วัตถุประสงค์ของกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดโดยผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย คือการใช้ตัวแทนการจัดจำหน่ายเป็นสื่อกลางในการกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้ บริโภค โดยการให้สิ่งจูงใจแก่ตัวแทนการจำหน่ายที่เพียงพอเป็นการตอบแทน
          กลยุทธ์ดังกล่าวมีการนำมาใช้ค่อนข้างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยอยู่แล้วในตลาด ผลิตภัณฑ์ใหม่ในที่นี้จึงอาจหมายถึง ตรายี่ห้อใหม่หรือผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เสริมเข้าไปในสายผลิตภัณฑ์เดิม ในกรณีเช่นนี้ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจึงดู  มีประสิทธิผลมากกว่าการใช้กลยุทธ์อื่นๆ
          การใช้กลยุทธ์นี้ นักการตลาดจะตั้งราคาขายส่งไว้ในระดับค่อนข้างต่ำ เพื่อให้ตัวแทนการจำหน่ายมีกำไรต่อหน่วยค่อนข้างสูง ผลประโยชน์ส่วนหนึ่งตัวแทนการจัดจำหน่ายจะนำมาใช้     ในการวัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การให้บริการพิเศษ ตลอดจนการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค เช่น บริษัทผู้ผลิตได้เสนอกำไรต่อหน่วยที่สูงแก่ร้านค้า ร้านค้ามองเห็นสิ่งจูงใจดังกล่าว จึงพยายามที่จะทำยอดขายในตัวผลิตภัณฑ์ให้สูง
*   กลยุทธ์ การเข้าสู่ตลาดโดยการขายตรง
          วัตถุประสงค์ของกลยุทธ์การขายตรงคือ การให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์โดยผ่านการชี้แนะของพนักงาน ที่ได้รับการอบรมความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดีโดยหวังว่าผู้บริโภคจะได้ เข้าใจถึงคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ อันนำมาซึ่งความมั่นใจและเกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นในที่สุด
          การใช้กลยุทธ์ดังกล่าว จะพบบ่อยในสินค้าที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้งค่อนข้างสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท การประกันชีวิต ตลอดจนสินค้าที่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีทักษะในการใช้งาน เช่น คอมพิวเตอร์ จึงเป็นหน้าที่ของพนักงานขายในการชี้แนะคุณลักษณะสำคัญของผลิตภัณฑ์
ตลอดจนวิธีการใช้งานเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นถึงอรรถ ประโยชน์ในตัวผลิตภัณฑ์
*   กลยุทธ์ราคาในช่วงเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์
          เมื่อผลิตภัณฑ์ผ่านจากช่วงการเข้าสู่ตลาดช่วงนี้ คุณลักษณะตลอดจนเงื่อนไขของการตลาดจะแตกต่างจากกเดิมค่อนข้างมาก ในช่วงนี้ผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่จะเกิดพฤติกรรมการซื้อซ้ำ       ในผลิตภัณฑ์โดยอาศัยประสบการณ์การซื้อในครั้งก่อนๆ กระบวนการแพร่กระจายของข้อมูลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ เพราะอาศัยสื่อกลางในการแพร่กระจายข่าวสารทั้งจากผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ ในการใช้ผลิตภัณฑ์ หรือจากตัวแทนจัดจำหน่าย ตลอดจนกิจกรรมการโฆษณาและส่งเสริมการขายของกิจการ
          ในช่วงนี้การเติบโตของผลิตภัณฑ์ ความสนใจของผู้บริโภคจะหันเหจากความสนใจในการเรียนรู้คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ มาเป็นการพิจารณาจุดเด่น จุดด้อยของตรายี่ห้อ เพื่อแสวงหาตรายี่ห้อที่ให้อรรถประโยชน์สูงสุด ด้วยเหตุนี้ในช่วงดังกล่าว สภาวะการแข่งขันในตลาดจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการแต่ละรายจะพยายามแสวงหาตำแหน่งทางการตลาดที่ได้เปรียบเทียบใน เชิงแข่งขัน ในขณะเดียวกัน ก็จะเตรียมมาตรการป้องกันในการรับมือกับการรุกล้ำ   ที่อาจเกิดขึ้นจากคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม หากขนาดตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อไปแล้ว ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับความเข้มข้นในการแข่งขันเบาบางลงไปได้ระดับหนึ่ง
            แนวทางกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสมในช่วงดังกล่าวคือ กลยุทธ์ทางการสร้างความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์  และ กลยุทธ์ความเป็นผู้นำในการลดต้นทุน หรือกลยุทธ์ผสมระหว่างสองแนวดังกล่าว
          ในกลยุทธ์สร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ จะเน้นหนักถึงการสร้างคุณลักษณะจำเพาะของผลิตภัณฑ์ให้แตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยความร่วมมือระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในบริษัท อาทิ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายวิจัยพัฒนา ฝ่ายผลิตในการคิดค้นและแปลงคุณลักษณะดังกล่าวจากนามธรรมให้เป็นรูปธรรม หากการสร้างสรรค์ดังกล่าวบรรลุผล แม้ว่าระดับความเข้มของการแข่งขันจะรุนแรงเพียงใด บริษัท            จะสามารถกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้อยู่ระดับที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น โดยไม่กระทบกระเทือน        ต่อยอดขายและผลกำไร เพราะความเป็นเอกลักษณ์จำเพาะในตัวผลิตภัณฑ์ สามารถที่จะลดระดับความไวในเรื่องราคาของผู้บริโภคลงได้เป็นอย่างดี
          ส่วนในกลยุทธ์ความเป็นผู้นำในการลดต้นทุนนั้น จะเน้นหนักถึงความพยายามในการ     ลดต้นทุนรวมของผลิตภัณฑ์ลง  ทั้งต้นทุนการผลิตอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามผู้บริหารจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าการผลิตต้นทุนดังกล่าวจะต้อง ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อระดับของคุณภาพ หรือลบคุณลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด แนวความคิดที่ถูกต้องของการลดต้นทุนรวมคือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการจัดการผลิตภัณฑ์ ในขณะที่คุณค่าของผลิตภัณฑ์นั้นมิได้ด้อยลง หากกลยุทธ์ดังกล่าวบรรลุผล ผู้บริหารจะสามารถกำหนดระดับราคาที่ทำให้คู่แข่งขันที่ไม่มีประสิทธิภาพใน ด้านต้นทุนต้องถอนตัวออกไปจากตลาดได้ มิเพียงเท่านั้น  การกำหนดระดับราคาดังกล่าวยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกีดกันคู่ แข่งขันรายใหม่ไม่ให้เข้ามาในตลาดอีกด้วย ดังนั้นการมีต้นทุนที่ต่ำลงจะนำมาซึ่งความสามารถในการทำกำไรได้ในที่สุด
*   กลยุทธ์ การตั้งราคาในผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน
          กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางด้วยกันคือ กลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ในตลาดเฉพาะส่วน กับกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์โดยครอบคลุมทุกส่วนของตลาดรวม ในกรณีของกลยุทธ์แบบเจาะตลาดเฉพาะส่วนนั้น  บริษัทสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรโดยการกำหนดราคาแบบตักตวงผลประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากผู้บริโภค       ในส่วนของตลาดดังกล่าว มีความพึงพอใจในคุณลักษณะจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และประเมินคุณค่าดังกล่าวไว้ค่อนข้างสูงเป็นผลทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มี ระดับความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาต่อเข้าคงที่ ในทางกลับกัน สำหรับกรณีของกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์      โดยครอบคลุมทุกส่วนของตลาดรวม กิจการจะสามารถเก็บเกี่ยวยอดขายโดยการกำหนดราคาแบบเป็นกลาง หรือแบบเจาะตลาด เหตุผลก็คือในระดับราคาเดียวกับคู่แข่งขัน ผู้บริโภคจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะจำเพาะมากกว่าที่จะซื้อ ผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ไม่มีคุณลักษณะพิเศษ
          ในกรณีของการกำหนดราคาแบบเจาะตลาด ในผลิตภัณฑ์ที่เน้นความแตกต่างจากคู่แข่งขันนั้น นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในสินค้าประเภทอุตสาหกรรม การตั้งราคาที่ต่ำในขณะที่ตัวผลิตภัณฑ์มีคุณลักษณะจำเพาะก็เพื่อต้องการครอง ส่วนแบ่งการตลาด ก่อนที่คู่แข่งขันจะสามารถลอกเลียนแบบ มิเพียงเท่านั้นเมื่อบริษัทได้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงพอแล้ว การคงไว้ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าว จะเป็นผลทำให้คู่แข่งขันบางรายที่ไม่มีประสิทธิภาพต้องถอนตัวออกไปในที่สุด อย่างไร   ก็ตามการกำหนดราคาแบบเจาะตลาดนี้ไม่นิยมใช้กับสินค้าจำพวกอุปโภค บริโภคที่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ทั้งนี้เพราะหากธุรกิจสามารถสร้างคุณลักษณะจำเพาะของผลิตภัณฑ์ให้เป็น  ที่พึงพอใจของผู้บริโภคแล้ว ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาในตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว           จะมีระดับค่อนข้างต่ำ และผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินที่มากขึ้นในการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตนพอใจ
*   กลยุทธ์ การตั้งราคาในผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ
          ในทำนองเดียวกับกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์ความเป็นผู้นำในการลดต้นทุน สามารถนำมาใช้โดยครอบคลุมทุกส่วนของตลาดรวม หรือเจาะตลาดเฉพาะส่วน    ในกรณีเน้นครอบคลุมทุกส่วน ของตลาดการกำหนดราคาแบบทะลุทะลวงดูจะเป็นวิธีการ              ที่เหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ความได้เปรียบทางด้านต้นทุนนั้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณยอดขาย การกำหนดราคาแบบดังกล่าวจะทำให้กิจการได้ส่วนแบ่งทางการตลาดค่อนข้างมาก มิเพียงเท่านั้น ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกีดกันคู่แข่งรายอื่น ในขณะที่กิจการสามารถเก็บเกี่ยวกำไร อันเนื่องมาจากความได้เปรียบทางด้านต้นทุน
          อย่างไรก็ตามการกำหนดราคาแบบเจาะตลาด มิได้เป็นรูปแบบเดียวที่เหมาะสมของการกำหนดราคาในการใช้ร่วมกับกลยุทธ์ความ เป็นผู้นำในการลดต้นทุนที่เน้นครอบคลุมทุกส่วนตลาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการของตลาดที่แตกต่างกัน ในกรณีที่ผู้ที่บริโภคและกลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมที่ไม่เน้นต่อปัจจัยเรื่อง ราคาแล้ว การกำหนดราคาแบบเจาะตลาด จะทำให้บริษัท สูญเสียกำไรส่วนเพิ่มที่พึงได้จากความได้เปรียบของต้นทุนที่มีอยู่ ในกรณีเช่นนี้การกำหนดราคาแบบเป็นกลางจะดูเหมาะสมกว่า มีหลายบริษัทซึ่งมีผู้นำในการลดต้นทุน
          ในกรณีของการใช้กลยุทธ์ความเป็นผู้นำในการลดต้นทุนที่เน้นการเจาะ ตลาดเฉพาะส่วน การกำหนดระดับราคาผลิตภัณฑ์จะต้องคำนึงถึงลักษณะของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เป็นสำคัญ     ถ้ากลุ่มลูกค้าของกิจการมีจำนวนน้อยราย  ลูกค้าเหล่านั้นจะมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาค่อนข้างมาก ซึ่งผลมาจากการมีค่าใช้จ่ายรวมในการสั่งซื้อต่อครั้งที่สูง (total expenditure effect) ดังนั้นอำนาจในการต่อรองของลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอยู่ค่อนข้างสูงในกรณีเช่นนี้ การกำหนดราคาแบบเจาะตลาดจะดูเหมาะสมว่าการกำหนดราคาในรูปแบบอื่นๆ และในทางกลับกัน หากกลุ่มลูกค้าของกิจการมีจำนวนมากราย การกำหนดราคาแบบเป็นกลางจะดูเหมาะสมกว่าในการใช้ร่วมกับกลยุทธ์ความเป็นผู้ นำในการลดต้นทุนที่เน้นการเจาะตลาดเฉพาะส่วน
*   การ ลดลงของระดับราคาในช่วงเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์
          โดยปกติแล้ว ไม่ว่ากิจการจะใช้กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์แบบใดก็ตาม ระดับราคาในช่วงเติบโตของผลิตภัณฑ์จะมีแนวโน้มลดต่ำลงจากช่วงเข้าสู่ตลาด ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงเติบโตนี้จะมีคู่แข่งขันรายใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดเป็นผลทำให้กำไร  ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อผลิตภัณฑ์มากขึ้นประกอบกับการที่ผู้ บริโภคมีข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เพียงพอในการประเมินแต่ละยี่ห้อเหล่า นั้น ปัจจัยทั้งสองประการนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคมีระดับความไวในเรื่องราคาเพิ่ม ขึ้นกว่าที่เคยเป็นในช่วงเข้าสู่ตลาด
            แนวโน้มการลดลงของราคานี้ยังเกิดกับผลิตภัณฑ์บางตัวที่มีลักษณะกึ่ง ผูกขาดในตลาดทั้งนี้เพราะการลดลงของราคาในช่วงนี้จะเป็นตัวเร่งให้กระบวนการ ยอมรับในผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคเร็วขึ้นอันจะทำให้กิจการสามารถตักตวงผล ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการที่ตลาดขยายตัวได้ การลดลงของราคาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลให้ผลกำไรลดลงแต่อย่างใด เพราะการเพิ่มขึ้นของยอดขายจะทำให้เกิดการประหยัดในต้นทุนอันเนื่องมาจาก ขนาด (economies of scale) และการมีประสบการณ์ในการผลิตและการจัดการที่เพิ่มขึ้น
          เนื่องจากการตลาดมีการขยายตัว นักการตลาดจึงไม่จำเป็นต้องนำกลยุทธ์การตัดราคามาใช้ในช่วงนี้สำหรับ ผลิตภัณฑ์บางประเภท การมีคู่แข่งขันมากรายกลับจะเป็นประโยชน์ต่อกิจการในการที่จะช่วยกันขยายขอบ เขตของตลาดให้กว้างขึ้นก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะเข้าสู่สภาพอิ่มตัว ด้วยเหตุนี้การเข้ามาของคู่แข่งขันอาจจะไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อส่วนแบ่งทาง การตลาดของกิจการแต่อย่างใด แต่ในบางครั้งผู้บริหารอาจจะต้องนำกลยุทธ์การตัดราคาใช้ในช่วงเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับเงื่อนไขทางการตลาดต่อไปนี้
          1. ถ้าการตลาดโดยรวมมีความไวต่อเรื่องราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการตลาดจะทำให้เกิดการประหยัดในต้นทุนรวม
          2. ถ้าเงื่อนไขในตลาดเป็นการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วงชิงความ มาตรฐานอุตสาหกรรม ในกรณีนี้นักการตลาดใช้กลยุทธ์การตัดราคาเพื่อครอบคลุมส่วนแบ่งทางการตลาด ให้มากที่สุด
          3. ในกรณีที่กำลังการผลิตมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่ายอดขา
*   กลยุทธ์ราคาในช่วงอิ่มตัวของผลิตภัณฑ์
          ในช่วงเติบโตของผลิตภัณฑ์ ผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถตักตวงผลกำไรจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมา จากตลาดขยายตัว แต่ในช่วงอิ่มตัวนั้น แหล่งที่มาของกำไรจะเริ่มลดลงทุกที ทั้งนี้เนื่องจากตลาดจะมีขนาดค่อนข้างคงตัว ดังนั้นผู้ประกอบการแต่ละรายจะพยายามป้องกันส่วนแบ่งทางการตลาดของตนไว้ ในขณะเดียวกัน ก็พยายามขยายส่วนแบ่งการตลาดของตนออกไป           ซึ่งหมายถึง การสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดของคู่แข่งรายอื่นๆ การสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด หมายถึง การลดลงของระดับยอดขายนั้นอย่างสมบูรณ์ อันจะทำให้ผู้ประกอบการรายนั้นตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก ทั้งนี้เพราะระดับยอดขายที่ลดลงจะทำให้เกิดทุนจมอันเนื่องมาจากการใช้กำลัง การผลิตที่ลดต่ำลงนั้นเอง มีผู้ประสบการหลายรายที่ไม่สามารถปรับตัวในช่วงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทั้งนี้เพราะผู้ประกอบการเหล่านั้นประสบความล้มเหลวในการแสวงหาตำแหน่งที่มี ความได้เปรียบเชิงแข่งขันในช่วงเติบโตของผลิตภัณฑ์ ส่วนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการแสวงหาตำแหน่งที่มีความได้เปรียบ เชิงการลงทุน จะสามารถอยู่รอดและสามารถทำกำไรได้ในช่วงอิ่มตัว แม้ผลกำไรดังกล่าวจะมีอยู่ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเติบโตของ ผลิตภัณฑ์ก็ตาม
          ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงนี้ มีปัจจัยหลายประการที่ผลักดันให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาขึ้นในอุตสาหกรรม
            1. การสั่งสมประสบการณ์ของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ทำให้การประเมินและการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในแต่ละตรายี่ห้อเป็นไปอย่าง สมบูรณ์ ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ระดับความจงรักภักดีต่อตรายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งของผู้ บริโภคลดลง
            2. การลอกเลียนแบบคู่แข่งขันไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตออกแบบผลิตภัณฑ์หรือกลยุทธ์การตลาด ส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างตรายี่ห้อลดน้อยลง ทำให้ผู้ประกอบการบางรายสูญเสียคุณลักษณะจำเพาะในผลิตภัณฑ์ของตนไป
            3. ระดับความไวต่อราคาของผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอย่างรดเร็ว ผู้บริโภคสามารถเลือกลักษณะจำเพาะในผลิตภัณฑ์ที่ตนต้องการจากการตรายี่ห้อ ต่างๆ ได้อย่างมากมายในตลาด
          ผู้ประกอบการจะต้องยอมรับสภาพในแรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ยกเว้นเสียแต่ว่านักการตลาดจะสามารถสร้างแผนการตลาด ที่กระตุ้นให้การตลาดเกิดการเติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หรือคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างขึ้นในผลิตภัณฑ์
            กลยุทธ์ทางด้านราคาที่เหมาะสมในช่วงนี้ มิได้มุ่งเน้นที่จะทำให้ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น แต่มุ่งเน้นในการเสริมสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขันให้กับกิจการ ในช่วงหลังและช่วงเติบโตก่อนจะเข้าสู่ช่วงอิ่มตัวนั้น จะเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริหารในการปรับปรุงโครงสร้างของราคาให้มี ประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถคงระดับของกำไรไว้ในช่วงอิ่มตัวของผลิตภัณฑ์ ช่องทางต่างๆ ที่พอจะทำได้มีดังต่อไปนี้
            1.  การแยกชุดของผลิตภัณฑ์และการบริการออกจำหน่าย  ในช่วงเข้าสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์ ผู้บริหารมีเป้าหมายที่จะให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ บริโภคเหล่านี้มองเห็นถึงอรรถประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นในช่วงดังกล่าวการกำหนดราคาเดียวครอบคลุมชุดของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนั้น จึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม             เมื่อ ผลิตภัณฑ์ก้าวเข้าสู่ช่วงเติบโต การคงไว้ซึ่งกลยุทธ์ราคาเดียวสำหรับชุดของผลิตภัณฑ์นั้นก็ยังเป็นแนวทางที่ เหมาะสมแต่ด้วยเหตุที่แตกต่างจากช่วงเข้าสู่ตลาด การดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวในช่วงนี้ ก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกีดกันคู่แข่งขันไม่ให้เข้าสู่ตลาดทั้งนี้ เพราะผู้บริโภคจะได้รับอรรถประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ ก็ต่อเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์นั้นครบองค์ประกอบในราคาเดียวกัน ไม่ได้การแยกจำหน่ายเป็นส่วนๆ ดังนั้นถ้าคู่แข่งขันคิดจะลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ก็จะต้องลอกเลียนแบบให้ครบ องค์ประกอบทั้งชุด โอกาสที่คู่แข่งขันจะทำการลอกเลียนแบบเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งออกจำหน่ายนั้นมี ความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ
            เมื่อผลิตภัณฑ์ก้าวเข้าสู่ช่วงอิ่มตัวของตลาดแล้ว การใช้กลยุทธ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งชุดในราคาเดียวกันนั้นกลับเป็นกลยุทธ์ที่ ไม่เหมาะสม เพราะในช่วงดังกล่าวคู่แข่งขันในตลาดจะมีประสบการณ์มากขึ้น โอกาสที่จะลอกเลียนแบบคุณลักษณะจำเพาะของผลิตภัณฑ์บางตัวมีอยู่สูงมาก มิเพียงเท่านั้น คู่แข่งขันบางรายอาจจะทำได้ในคุณภาพที่เหนือกว่าหรือในราคาที่ถูกกว่า อีกทั้งในช่วงนี้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ในตัวผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอด้วยเหตุ นี้ หากกิจการยังคงใช้       กลยุทธ์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งชุดในราคาเดียวผู้บริโภคจะปฏิเสธข้อเสนอ ดังกล่าว กลยุทธ์การแยกชุดผลิตภัณฑ์และการหารออกจำหน่ายจึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมใน ช่วงอิ่มตัวของผลิตภัณฑ์นี้
          2.  การทบทวนโครงสร้างต้นทุนของผลิตภัณฑ์ในช่วงอิ่มตัว  ใน ช่วงเติบโตของผลิตภัณฑ์ ไม่เพียงแต่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเข้าสู่ตลาด ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของการปรับเปลี่ยนคุณลักษณะบางประการของผลิตภัณฑ์ หรือการเพิ่มรูปแบบของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนในปัจจัยดังกล่าวจะทำให้การจัดสรรต้นทุนของกิจการเป็นไปอย่าง ไม่ถูกต้องนัก ในช่วงอิ่มตัวของผลิตภัณฑ์ ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวเริ่มคงตัวการคิดต้นทุนส่วนเพิ่มให้สมพันธ์กับยอดขายที่ถูกต้องจะ เป็นช่องทางในการเพิ่มกำไรให้กิจการ เช่น เมื่อทำการวิเคราะห์ยอดขายในแต่ละช่วงเวลา พบว่าจะมีบางช่วงที่จำเป็นใช้เต็มกำลังการผลิตใน ขณะที่เวลาอื่นๆ มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้     นักการตลาดควรจะตั้งราคาผลิตภัณฑ์ให้สูงกว่าปกติในช่วงที่มีการใช้ กำลังการผลิตสูง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงต้นทุนของกำลังการผลิต
            การวิเคราะห์ต้นทุนจะทำให้นักการตลาดสามารถปรับปรุงความสามารถในการ ทำกำไรของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์บางตัวในสายผลิตภัณฑ์ต้องใช้กำลังทรัพยากรเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อ เปรียบเทียบกับยอดขายนั้น นักการตลาดควรจะคิดต้นทุนส่วนเพิ่มรวมเข้าไว้ในผลิตภัณฑ์     อัน จะนำมาซึ่งการปรับปรุงระดับราคาผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นถ้าผู้บริโภคไม่ยอมรับ การขึ้นราคาในผลิตภัณฑ์
            ในทำนองเดียวกัน หากค่าใช้จ่ายในการให้บริการเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับยอดขายในช่วงที่ตลาดอิ่มตัวนี้ผู้บริหารควรจะปรับเปลี่ยน นโยบายราคา โดยคิดค่าบริการดังกล่าวจากผู้รับบริการแทนที่จะเป็นการให้บริการฟรีเหมือน ช่วงก่อนๆ
            จะเห็นได้ว่า ในช่วงเติบโตของผลิตภัณฑ์นั้น จะเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยการพัฒนาความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการสร้างลูกค้าใหม่ๆ ขึ้น ในทางกลับกัน ในช่วงที่ตลาดอิ่มตัวนี้จะเป็นช่วงของการตัดราคาต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป ตลอดจนการตลาดสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสายผลิตภัณฑ์
            3.  การขยายสายผลิตภัณฑ์  ในขณะที่ความเข้มข้นของการขางขันเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองมากกว่าเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อระดับราคาของกิจการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามผู้บริหารสามารถสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขัน ทั้งจากกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง            ในผลิตภัณฑ์หรือกลยุทธ์ความเป็นผู้นำในการลดต้นทุน โดยการขยายสายผลิตภัณฑ์ออกไป ผลิตภัณฑ์ที่เสริมเข้ามานี้อาจจะเป็นอุปกรณ์ประกอบที่ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ เดิม หรือเป็นการให้บริการประเภทต่างๆ ฯลฯ การใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยยกระดับราคาของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่จะให้กิจการมีผลกำไรอยู่ระดับที่น่าพอใจ
            4.  การทบทวนนโยบายหารจัดจำหน่าย  ในช่วงเข้าสู่ตลาด หรือช่วงเติบโต กิจการอาจะจำเป็นต้องอาศัยตัวแทนการจัดจำหน่ายเป็นสื่อกลางในการทำให้ผู้ บริโภคได้รับรู้ข่าวสาร ตลอดจนการทดลองใช้ในตัวผลิตภัณฑ์ ดงนั้นกิจการจำเป็นต้องให้กำไรต่อหน่วยที่สูงแก่ตัวแทนจำหน่ายเป็นการตอบแทน แต่ในช่วงที่ตลาดอิ่มตัวขึ้น นโยบายดังกล่าวควรจะถูกหยิบยกมาทบทวน เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินจำนวนมากให้กับตัวแทนเพื่อใช้ในการ ส่งเสริมการขาย ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงดังกล่าวผู้บริโภคให้ความสนใจในเรื่องราคามากกว่าการ ชี้แนะหรือการส่งเสริมการขายของร้านค้า ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารควรจะลดกำไรต่อหน่วยที่ให้กับตัวแทนจำหน่ายลง เพื่อให้กิจการมีผลกำไรที่มากขึ้น
            การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายออกไปให้กว้างขึ้นนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ จำเป็นในช่วงนี้ในช่วงก่อนๆ กิจการอาจจะไม่มีนโยบายการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายบางประเภท เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกระเทือนนโยบายทางด้านราคาและภาพพจน์ของผลิตภัณฑ์ ผู้บริหารอาจต้องทำการทบทวนนโยบายนี้เสียใหม่ เพราะในช่วงตลาดอิ่มตัวนั้น ผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่จะมีความไวต่อราคาในระดับสูง การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายดังกล่าวจะทำให้ผลกำไรของกิจการ
โดยรวมดีขึ้น
*   กลยุทธ์ราคาในช่วงถดถอยของผลิตภัณฑ์
            ตัวบ่งชี้ที่ว่าผลิตภัณฑ์ได้ก้าวเข้าสู่สภาวะถดถอยคือ แนวโน้มการลดลงในอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ การเกิดผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีแตกต่างจากรูปแบบของผลิตภัณฑ์ เดิมเข้ามาทดแทน โดยที่ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่นั้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดี กว่า หรือ เทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ใหม่เสนออรรถประโยชน์หรือคุณค่าแก่ผู้บริโภคมากกว่า เทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์รูปแบบเดิม ดังนั้นอุปสงค์รวมของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มิได้เปลี่ยนแปลง แต่อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์รูปแบบเก่ากำลังถดถอยในขณะที่อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ทด แทนกำลังเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าการเผชิญกับปัญหาต้นทุนจมที่เกิดขึ้นจากการใช้ กำลังการผลิตไม่เต็มที่ ซึ่งพอจะพิจารณาได้เป็น 3 กรณีคือ
            1. ถ้าต้นทุนการผลิตโดยส่วนใหญ่เป็นต้นทุนผันแปรในกรณีเช่นนี้โอกาสที่บริษัท          จะปรับตัวเข้ากับอุปสงค์ที่ลดลงนี้จะมีความ เป็นไปได้สูง และจะไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับราคามากนัก
            2. ถ้าต้นทุนการผลิตโดยส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ แต่สามารถโยกย้ายได้ กรณีนี้จะคล้ายกับกรณีแรก โดยระดับราคาผลิตภัณฑ์จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
            3. ถ้าต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่และเป็นต้นทุนจม เนื่องจากเป็นการลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์เฉพาะอย่างที่ไม่สามารถดัดแปลงไป ใช้งานอย่างอื่นได้ ในกรณีเช่นนี้ กิจการจะประสบปัญหาเงินทุนหมุนเวียน หากไม่สามารถรักษาระดับการใช้กำลังการผลิตไว้ได้ ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ทางบริษัทถึงกับทำการตัดราคาแข่งขันกัน อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าวโอกาสที่การตัดราคาจะทำให้อุปสงค์ในตลาด กระเตื้องขึ้นนั้นมีอยู่ค่อนข้างต่ำหรือเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ในกรณีเช่นนี้ผลเสียหายจะตกอยู่กับผู้ประกอบการทั้งหมดในอุตสาหกรรม
            ดังนั้นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในช่วงภาวะถดถอยนั้น มิได้ต้องการจะเอาชนะคู่แข่งขันรายอื่น
แต่ต้องการให้กิจการอยู่รอดด้วยโดยการลดความเสียหายจะเกิดขึ้นให้ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
*   สรุป
            กลยุทธ์ราคามีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาในแต่ละช่วงของวงจรชีวิตของ ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคงอยู่ในตลาดและมีความสามารถในการทำกำไร ให้กิจการ
            ในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ผู้บริโภคยังมีความไวต่อราคาในระดับต่ำ เพราะยังขาดความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ ในช่วงนี้คู่แข่งขันยังมีจำนวนน้อยหรือไม่มีเลย อย่างไรก็ตามต้นทุนของผลิตภัณฑ์ในช่วงนี้จะสูง และหลายบริษัทประสบกับการขาดทุนในระยะเริ่มต้น ทั้งนี้เพราะอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ กลยุทธ์ราคาในช่วงนี้จะเป็นสัญญาณกระตุ้นให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายรับรู้ ถึงคุณค่าของตัวผลิตภัณฑ์ การทำให้ผู้บริโภคถึงคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์จะเป็นกุญแจที่นำไปสู่การเติบโต ของผลิตภัณฑ์ในช่วงต่อไป
            ในช่วงเจริญเติบโต กระบวนการยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์และกระบวนการแพร่กระจายข้อมูลเกี่ยวกับตัว ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวเร่งการขยายตัวของตลาด ดังนั้นระดับราคาในช่วงนี้มีแนวโน้มจะลดลงกว่าช่วงก่อนเพื่อกระตุ้นให้เกิด การยอมรับในผลิตภัณฑ์เร็วขึ้นอย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้จะมีคู่แข่งขันจำนวนมากเข้าสู่ตลาด แต่เนื่องจากตลาดยังเติบโตอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้การเข้มข้นในการแข่งขันไม่สูงมากนัก จะมีบางกรณีเท่านั้นที่ผู้ประกอบการนำเอากลยุทธ์การตัดราคามาใช้ เพื่อหวังสร้างความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวให้กับกิจการ
            ในช่วงอิ่มตัว ผู้บริโภคจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แต่ละตรายี่ห้อดีพอ ดังนั้นผู้บริโภคจะมีความไวต่อราคาเพิ่มขึ้น ระดับการแข่งขันทวีความรุนแรง คู่แข่งขันแต่ละรายจะพยายามป้องกันส่วนแบ่งการตลาดของตน เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรของผลิตภัณฑ์ไว้ ผู้บริหารจะพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในกลไกราคาเพื่อรักษาผลกำไรของตนโดยการ ใช้กลยุทธ์ราคาแบบต่างๆ
            ในช่วงสุดท้ายคือ ช่วงถดถอยอุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ในตลาด เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในช่วงนี้คือการลดค่าใช้จ่ายและสูญเสียให้มากที่สุด ผู้ประกอบการแต่ละรายเผชิญกับปัญหาการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ระดับต่ำ ในบางครั้งถึงกับมีสงครามตัดราคาเกิด เพื่อให้กิจการมียอดขายขายเพียงพอที่จะป้อนกำลังการผลิตที่เหลืออยู่ กลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงนี้มีอยู่ 3 แนวทางด้วยกันคือ retrenchment, harvesting และ consolidations อย่าง ไรก็ตามผู้บริหารควรคำนึงถึงทรัพยากรและขีดความสามารถขององค์การเพื่อใช้ เป็นแนวทางในการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

ข้อมูลอ้างอิง
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2536).  เอกสารการสอนชุดวิชาการจัดการผลิตภัณฑ์ และราคา.   นนทบุรี: สำนัก พิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
วิชิต  อู่อ้น. (2544).  การจัดการเชิงกลยุทธ์.  กรุงเทพฯ: วี.เจ.พริ้นติ้ง.
สุดาดวง  เรืองรุจิระ. (2545).  นโยบายผลิตภัณฑ์และราคา.  กรุงเทพฯ: ประกายพรึก.
Nagle, Thomas T. (1987).  The strategy & tactics of pricing. New York:  Prentice Hall.

SWOT หรือการวิเคราะห์

เครื่องมือที่เราใช้วิเคราะห์สถานการณ์และสุขภาพของกิจการที่เรียกว่า SWOT หรือการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค เป็นเพียง แค่การเริ่มต้นครับ เพราะจริงๆ แล้วมันยังมีเทคนิคในการนำผลที่ได้มากำหนดทางเลือกในการประกอบกิจการ เทคนิคดังกล่าวคือ TOWS นั่นเอง เรามารู้จักเทคนิคที่มักจะถูกลืมและมิได้นำมาใช้ที่เรียกว่า TOWS กันดีกว่า ในทางปฏิบัติแล้ว TOWS คือการจับคู่หัวข้อของ SWOT เพื่อการกำหนด ความเป็นไปได้ของยุทธศาสตร์ทางเลือกและกลยุทธ์นั่นเอง (หรือเพื่อเป็นแนวทางทางความคิดสำหรับกิจการในการกำหนดยุทธศาสตร์) การจับคู่ ผลของ SWOT ที่จะกลายเป็น TOWS ประกอบไปด้วย:


SO Strategy

- เป็นสถานการณ์ที่กิจการท่านมีทั้งจุดแข็งและโอกาส: เป็นการใช้จุดแข็งของกิจการเพื่อการฉวยโอกาสทางธุรกิจ โดยยุทธศาสตร์ทางเลือกที่จะนำ มาใช้ถือได้ว่ามีศักยภาพสูงสุดเช่น การเพิ่มการผลิต การขยายตลาด และการรวมกิจการเป็นต้น

WO Strategy

- เป็นสถานการณ์ที่กิจการมีทั้งจุดอ่อนและโอกาส: เป็นการใช้โอกาสจากภายนอกเพื่อการแก้ไขจุดอ่อนของกิจการ ยุทธศาสตร์ทางเลือกที่มักจะนำ มาใช้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาเพื่อเอาชนะจุดอ่อนหรือเพื่อสร้างข้อได้เปรียบ จากโอกาส เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ การพัฒนาตลาด เป็นต้น

ST Strategy

- เป็นสถานการณ์ที่กิจการมีทั้งจุดแข็งและอุปสรรค: เป็นการใช้จุดแข็งของกิจการเพื่อการเอาชนะอุปสรรคจากภายนอก ยุทธศาสตร์ทางเลือก ที่มักจะนำมาใช้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาเพื่อเอาชนะอุปสรรคหรือหลีกเลี่ยงด้วย จุดแข็งของกิจการที่มี เช่นการขยายตัวสู่ตลาดโลก และการเพิ่มบริการ แก่ลูกค้า เป็นต้น

WT Strategy

- เป็นสถานการณ์ที่กิจการมีทั้งจุดอ่อนและอุปสรรค: เป็นการแก้ไขปัญหาภายในกิจการก่อนที่จะต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากภาย นอก ยุทธศาสตร์ ทางเลือกที่มักจะนำมาใช้ถือได้ว่าเป็นการหาช่องทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิด ขึ้นทั้งจากจุดอ่อนของกิจการและอุปสรรคจากภายนอก เช่น การ ร่วมทุน การลดต้นทุน การเลิกการผลิต การปรับโครงสร้างกิจการ เป็นต้น ทั้งนี้หากอุปสรรคและจุดอ่อนของกิจการไม่อาจที่จะกระทำการใดๆ ได้ การเลิกกิจการก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบางครั้ง เทคนิคที่ 2 ที่ผมอยากให้ท่านความรู้จักคือ 7 เอส (McKinsey 7S Excellence Factors) เพราะเป็นเทคนิคที่มีชื่อเสียงและใช้กันอย่าง แพร่หลาย โดยเทคนิคนี้ได้แนะนำผู้บริหารถึงความสมดุลและความเหมาะสมระหว่าง ความเป็นผู้นำของกิจการในระยะยาว และแนวทางในการบรรลุ เป้าหมายดังกล่าว (ทำอย่างไรให้กิจการเป็นผู้นำอย่างยั่งยืน) McKinsey ได้พัฒนา 7 เรื่องของนโยบายที่เป็นแนวทางสำหรับกิจการในการปฏิบัติเพื่อ การบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว

นโยบายทั้ง 7 เรื่องประกอบด้วย 3 เรื่องที่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งในการจัดการ (Hard Management) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ (Strategy) โครงสร้าง (Structure) และ ระบบ (System) ส่วน 4 เรื่องที่เหลื่อเกี่ยวกับความละเอียดอ่อนในการจัดการ (Soft Management) ได้แก่ ทรัพยากรมนุษย์/ พนักงาน (Staff) ทักษะ (Skill) รูปแบบ (Style) และการสร้างคุณค่าของเป้าหมายร่วมกัน (Shared Values of Goals) ตามลำดับ โดยผมขอสรุปว่า ทั้ง 7 หัวข้อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายเพื่อใช้ในการจัดการกิจการสู่ความสำเร็จ

เทคนิค ที่ 3 วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรม (Product Lifecycle)

วงจร ชีวิตผลิตภัณฑ์เป็นเทคนิคในการวิเคราะห์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายอีก หนึ่งเทคนิค ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในระดับกิจการและหน้าที่ เพื่อการวิเคราะห์ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรม โดยการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์นั้นประกอบไปด้วย 5 ช่วงวงจรชีวิตสำคัญได้แก่ ช่วง แนะนำ (Introduction Stage) ช่วงกำลังเติบโต (Growth Stage) ช่วงเติบโตเต็มที่ (Maturity Stage) ช่วงกำลังจะถดถอย (Saturation Stage) และ ช่วงตกต่ำ (Decline Stage) ตามลำดับ ในแต่ละช่วงวงจรชีวิตข้างต้นยังบ่งบอกถึงความแตกต่างของพฤติกรรมในการจัดการ ของกิจการด้วย ตัวอย่าง เช่นในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์จะเป็นการเริ่มดำเนินการของกิจการในการแนะนำสินค้า สู่ตลาดซึ่งจำเป็นที่จะต้องทำงานหนักทางการโฆษณาเพื่อเป็น การสร้างภาพพจน์ต่อกลุ่มลูกค้า ขณะเดียวกันในช่วงเจริญเติบโตหรือช่วงที่กิจการมีอัตราการเติบโตของยอดขาย สูง (ความต้องการของตลาดสูง) ซึ่ง จำเป็นที่จะต้องทำงานหนักทั้งการโฆษณา การส่งเสริมการขาย และการเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่าย จะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ นั้นจะส่งผลถึงพฤติกรรมในการดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป ในทางปฏิบัติ ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันนั้นมักจะมีความแตกต่างกันอย่างมีนัย สำคัญในวงจรชีวิต (อยู่คนละช่วงชีวิต) ซึ่งผู้บริหาร สามารถนำผลการวิเคราะห์ไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการลงทุน การเข้าร่วมการแข่งขัน หรือถอนการลงทุน เป็นต้น

เทคนิคที่ 4 การวิเคราะห์กลุ่มผลิตภัณฑ์ (BCG Product Portfolio Matrix) ในการจัดการธุรกิจ กิจการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาตำแหน่ง ของตนในตลาด (สามารถดูได้จากส่วนแบ่งทางการตลาด) และอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม โดยสามารถใช้เครื่องมือ เมททริกซ์ BCG (เครื่อง มือในการวิเคราะห์กลุ่มผลิตภัณฑ์ของกิจการที่พัฒนาโดย Boston Consulting Group) ช่วยในการวิเคราะห์ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของกิจการในตลาด รวมถึงยุทธศาสตร์และทางเลือก โดยแบบจำลอง BCG จะประกอบไปด้วย 2 ตัวแปรหลักในการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้แก่ อัตราการเติบโต ของธุรกิจ (Business Growth Rate) และ อัตราส่วนแบ่งทางการตลาดเปรียบเทียบเท่า (Relative Market Share)

ตัวอย่างในการกำหนดยุทธศาสตร์และทางเลือก เมททริกซ์ BCG แนะว่าเมื่อผลิตภัณฑ์อยู่ในตำแหน่งวัวหรือสุนัขกิจการสมควรที่จะหาลู่ทางใน การนำเงินออกจากธุรกิจเพื่อนำมาสร้างสายผลิตภัณฑ์ใหม่ ในอีกด้านหนึ่งกิจการสามารถที่จะแสวงหาผลกำไรได้เมื่อผลิตภัณฑ์อยู่ใน ตำแหน่ง เครื่องหมายคำถามหรือดาวเด่น เอาเป็นว่าเราสามารถสรุปความหมายของตำแหน่งทั้ง 4 จากเมททริกซ์ BCG ได้ดังต่อไปนี้:

รูปดาว (Star) หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่เป็นดาวเด่น - กิจการมีส่วนครองตลาดสูงขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมสูง กิจการมีศักยภาพใน การแข่งขันและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดและทำผลกำไรอย่างต่อเนื่องประกอบ กับโอกาสทางธุรกิจสดใสเพราะการเติบโตของอุตสาหกรรม สูง

แม่วัว (Cash Cow) หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำเงิน - กิจการมีส่วนครองตลาดสูงขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่ำ กิจการมีศักยภาพใน การแข่งขันและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดประกอบกับการทำผลกำไรอย่างต่อ เนื่องแม้ว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมจะต่ำ เพราะเมื่อ การเติบโตของอุตสาหกรรมต่ำ การเข้าร่วมแข่งขันของคู่แข่งขันรายใหม่มักจะไม่เกิดขึ้นขณะที่กิจการเป็น เจ้าตลาดอยู่แล้ว จึงสามารถที่จะแสวงหาผลกำไร จากการประกอบธุรกิจได้

คำ ถาม (Question Marks) หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา - กิจการมีส่วนครองตลาดต่ำขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมสูง กิจการไม่มี ศักยภาพในการแข่งขันเพราะไม่สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้ ขณะที่โอกาสเกิดขึ้นกับกิจการเพราะอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมสูง เหตุการณ์ นี้แสดงให้เห็นว่ากิจการจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นประกอบกับคำถามที่ว่าทำไมเรา จึงไม่สามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดได้นั่นเอง

สุนัข (Dogs) หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ตกต่ำ - กิจการมีส่วนครองตลาดต่ำขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่ำ กิจการขาดทั้งศักยภาพในการ แข่งขันขณะที่อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมต่ำ ในกรณีนี้กิจการอาจจะจำเป็นที่จะต้องเลือกว่าจะสู้หรือถอย โดยส่วนใหญ่แล้วจะถอยเพราะโอกาส ในการแสวงหาผลกำไรน้อย/ความเสี่ยงสูง