Welcome to Blog ห้องสมุดความรู้ หากท่านถูกใจ ฝากกดแชร์( Like) (G+) (Tweet) ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานและผู้จัด ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เฮงๆรวยๆ #4289

Below-the-Line



Below-the-Line


เครื่องมือทางการตลาดกลุ่มหนึ่ง ที่มีผู้กล่าวถึงบ่อยครั้งและมีแนวโน้มว่าจะสำคัญและถูกนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือเครื่องมือในการส่งเสริมการตลาดที่เรียกว่า “Below-the-Line” หรือการใช้  “Below-the-Line Campaign” เครื่องมือในกลุ่มนี้แม้ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่เมื่อเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวเน้นโดยกูรูการตลาดระดับโลกอย่างศาสตราจารย์  ดร. Philip Kotler ในการบรรยายแนวคิดในด้านกลยุทธ์ธุรกิจ ให้นักการตลาดไทยได้ฟังไปเมื่อวันที่ 19 .ที่ผ่านมา ที่ในตอนหนึ่งได้พูดถึงการทำ Marketing Promotion ว่า การใช้โฆษณาแบบ Mass เป็นสิ่งที่ได้ผลต่ำในการเพิ่มยอดขาย แต่จะต้องใช้ “Below-the-Line”เท่านั้น ทำให้คำๆ นี้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ในฉบับนี้จึงขอเรียนเสนอถึงคำสำคัญคำนี้

“Below-the-Line”  คืออะไร
                “Below-the-Line : BTL” เป็นคำเฉพาะทางการตลาดที่ใช้กันโดยทั่วไป ใช้ด้วยความคุ้นเคยจนแทบไม่มีใครสนใจที่มาของคำ โดยในปัจจุบันนักการตลาดและนักโฆษณาสื่อสารเข้าใจกันได้ทันทีว่าหมายถึง เครื่องมือในการส่งเสริมการตลาด ที่มุ่งไปยังผู้กลุ่มเป้าหมายโดยไม่ผ่านสื่อโฆษณา ตัวอย่างเช่น

เคล็ดลับการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ


6 เคล็ดลับการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
6 Important Internet Advertising Tips That Can Bring Success To Any Business
ผู้เขียน : Alex W1
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม


          การโฆษณาได้รับการพิจารณาว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่จะยกระดับให้แก่ธุรกิจต่างๆ   สามารถช่วยในการกระตุ้นผู้บริกโภคให้รับรู้ถึงสินค้าและบริการใหม่ๆ หรือสินค้าและบริการใหม่   ทุกวันนี้องค์กรต่างๆ เริ่มหันมาใช้การโฆษณาผ่านระบบออนไลน์เพื่อการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตน  แต่โดยทั่วไปองค์กรมักใช้การโฆษณาออนไลน์โดยเน้นไปที่การโฆษณาชวนเชื่อ
          การโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตใช้ search engines ในการมองหาผู้ซื้อที่กำลังค้นหาสินค้าที่ต้องการ  แต่สำหรับแนวคิดการตลาดแบบออนไลน์นี้   การโฆษณาจะได้ผลหรือไม่ได้ผลจะขึ้นอยู่กับ keyword ที่คุณเลือกเป็นสำคัญ   keyword จะทำให้โฆษณาของคุณได้พบกับผู้บริโภคที่มีศักยภาพ  ดังนั้นการเลือกใช้วลีและคำที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญต่อการทำโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรทำในการตัดสินใจนำแนวการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตมาใช้  มีดังนี้คือ
          1)  ถูกต้องและกระชับได้ใจความ
               ความคิดที่คุณต้องการจะส่งถึงผู้บริโภคของคุณผ่านการโฆษณาจะต้องถูกต้องและตรงประเด็น  ควรเข้าใจง่ายและไม่ยาวเกินไป
          2) กำหนดหมายพื้นฐานของผู้เข้าชม
              การโฆษณาของคุณควรจะเจาะจงกลุ่มเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น ประชากรวัยรุ่น หรือประชากรผู้ที่เข้าใจอินเตอร์เน็ต  ค้นหาสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบและใกล้เคียงกับกระบวนการคิดของพวกเขา   เมื่อคุณเข้าใจความคิดของพวกเขาคุณจะสามารถดำเนินการรณรงค์โฆษณาได้อย่างสอดคล้อง    อย่างไรก็ตามลองสังเกตว่าคุณได้ลองที่จะค้นหาความแตกต่างอย่างชัดเจนของกลุ่มเรียบร้อยแล้ว
          3) แสดงภาพลักษณ์ที่ชัดเจนขององค์กรของคุณ
              สร้างโลโก้  เครื่องหมาย   ตัวนำโชค หรือคำขวัญองค์กร  แนวความคิดทั้งหมดคือการสร้างแบรนด์ให้คนสามารถจดจำองค์กรของคุณได้ผ่านภาพลักษณ์
          4) จงระวังคู่แข่งของคุณ
              ทำความรู้จักกับคู่แข่งที่กำลังไล่ตามหรือมีธุรกิจคล้ายกับคุณ   คุณสามารถตัดราคาคู่แข่งโดยการลดราคาสินค้าในโฆษณาของคุณ  คุณยังสามารถเปิดตลาดใหม่ๆ ที่คู่แข่งอาจจะไม่รู้จัก   นี่นับเป็นโอกาสสำหรับการวางโฆษณาให้ใกล้กับการพบเห็นของผู้เข้าชม
          5)  ทำการศึกษาวิจัยตนเอง
               การวางแผนทำโฆษณาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการค้นคว้าวิจัย  คุณจะประสบความสำเร็จและสามารถเสนอการแลกเปลี่ยนที่พิเศษกับลูกค้า  ถ้าการทำโฆษณาของคุณดำเนินการโดยอยู่บนพื้นฐานของการศึกษาวิจัย    เนื่องจากการวิจัยของคุณจะทำให้สามารถระบุและทราบเป้าหมายของผู้เข้าชมได้ดียิ่งขึ้น     มีความจำเป็นที่จะต้องมั่นใจว่าข้อความที่คุณส่งออกไปผ่านการโฆษณาจะสื่อความหมายถึงผู้เข้าชมและไม่ใช่มีเพียงคุณคนเดียวที่จะเข้าใจ
          6) ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษา
              หากคุณไม่สามารถวางแผนการโฆษณาด้วยตนเอง  กรณีนี้คุณจำเป็นต้องว่าจ้างมืออาชีพที่จะเข้ามาดูแลดำเนินการโฆษณาให้แก่คุณ  คุณจะเสียทั้งเวลาและเงินทองถ้าคุณพยายามดำเนินการโฆษณาด้วยตัวเองทั้งที่ยังขาดความรู้และทักษะที่เหมาะสมเกี่ยวกับการโฆษณา  ดังนั้นจึงควรที่จะยอมให้ผู้เชี่ยวชาญวิจัยและศึกษาตลาดในปัจจุบัน  พร้อมวางแผนการโฆษณาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
          ธุรกิจส่วนใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีเงินทุนหมุนเวียนต่ำมักกำหนดต้นทุนในการทำโฆษณาค่อนข้างน้อยในการดำเนินการส่งเสริมการตลาดให้กับธุรกิจของตน   การโฆษณาทางอินเตอร์เน็ตเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน  ทั้งนี้คุณจำเป็นต้องวางกลยุทธ์การดำเนินการโฆษณาเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในการนำมาใช้กับธุรกิจ

10 วิธีจัดการกับการปฏิเสธการขาย


10 วิธีจัดการกับการปฏิเสธการขาย
Ten Ways to Handle Sales Objections
ผู้เขียน : David Lynch
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม


          1.  ให้คาดคะเนอาการต่อต้านต่อการนำเสนอของคุณเสมอและนับจำนวนครั้งของการปฏิเสธก่อนที่จะนำมาวิเคราะห์โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมีผู้ขายจำนวนมากที่รอจนอาการต่อต้านดำเนินไปยาวนานซึ่งทำให้การทำงานยากขึ้น 

          2.  อย่ารีบตอบโต้กับอาการต่อต้านจงหยุดและไตร่ตรอง แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณฟังเขาอยู่ ผู้ขายมักตอบสนองเร็วเกินไปในสถานการณ์เหล่านี้  บ่อยครั้งการสร้างความขัดแย้งกับลูกค้าเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

          3.  ถามกลับไปที่ลูกค้าเกี่ยวกับอาการต่อต้านของเขา ซึ่งจะช่วยเพิ่มเวลาและแสดงให้เห็นว่าคุณสนใจในสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความคิดที่น่าสนใจที่จะสนทนาเรื่องเดิมๆ แต่ให้เปลี่ยนรูปแบบของการพูดให้ต่างออกไป   ใช้น้ำเสียงให้ดูเป็นธรรมชาติและไม่กำกวม

          4. จดจำไว้ว่าการปฏิเสธบ่อยครั้งที่เป็น "สัญญาณการซื้อ"  เพราะลูกค้ามักตั้งคำถามเพื่อดูข้อเสนอของคุณ   หากพวกเขาไม่สนใจทำไมพวกเขาจึงยังคุยอยู่กับคุณให้มองหาการแสดงออกลักษณะโต้แย้งซึ่งจะนำมาซึ่งคำถามอื่นๆ   ยังมีสัญญาณอื่นๆ ที่ลูกค้าที่สนใจมักแสดงออก  อาทิ "น้ำเสียง"  ซึ่งบางครั้งเราไม่อาจสังเกตได้ชัดเจน

          5.  ถามลูกค้าถึงสิ่งที่พวกเขาความสนใจ หากคุณคิดว่าพวกเขาแสดงอาการต่อต้าน   ซึ่งนั่นเป็นเพียงอาการเพียงเล็กน้อย   อาการต่อต้านเล็กๆ นี้อาจจะทำให้ผู้ขายเสียเวลาและหากโชคร้ายแม้แต่มืออาชีพก็สามารถติดกับดักเหล่านี้ได้   ลูกค้าบางรายจะแสดงความรู้สึกมีอำนาจเหนือผู้ขายและพวกเขาหลบเลี่ยงที่จะแสดงออกว่า"แกล้งปฏิเสธ"  วิธีง่ายๆ ที่จะกำจัดปัญหาเหล่านี้ทำได้โดยเพิ่มการสังเกตและตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิเสธที่เกิดขึ้นนี้เป็นอาการปฏิเสธจริงๆ

          6.  โปรดทราบว่ามีสถิติเก็บไว้ว่ามักมีการแสดงการปฏิเสธ 3 ครั้งก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อมีผู้ขายจำนวนเท่าไรที่ยอมแพ้หลังจากการปฏิเสธครั้งที่1 และครั้งที่2 โดยไม่ทราบความจริงว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าหากพวกเขาอดทนต่ออีกเล็กน้อย   สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเมื่อผู้ขายมีประสบการณ์ที่ไม่ดีมาก่อน

          7.  การปฏิเสธเป็นด้านหนึ่งและส่วนหนึ่งของกระบวนการขาย  อย่าให้พวกเขาหยุดยั้งคุณจากการบรรลุจุดมุ่งหมาย   เป็นเรื่องจริงที่ว่าการปฏิเสธสามารถเกิดจากความไม่พอใจที่ถูกรบกวนแต่มืออาชีพอย่างแท้จริงๆ จะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้มาทำให้หลุดจากเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมาย

          8.  ให้สังเกตอย่างระมัดระวังต่อการปฏิเสธ  บ่อยครั้งที่มีนัยสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับผู้ซื้อว่ามีความต้องการ  อาการต่อต้านมักเปิดเผยข้อมูลที่อาจดูไม่มีคุณค่าเพราะว่าหากลูกค้าไม่ทำการซื้อในครั้งนี้  คุณก็จะยังได้รู้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งกระตุ้นความสนใจเมื่อคุณสนทนากับพวกเขาในครั้งต่อไป

          9.  เป็นสิ่งที่ดีกว่าหากคุณอธิบายข้อเสนอ  สิ่งสำคัญคือข้อเสนอของคุณควรเข้าใจได้ง่ายซึ่งจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการปฏิเสธที่เกิดขึ้นจากการไม่เข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่าคุณกำลังพูดอะไร

          10.  การขายจะไม่น่าเบื่อหากผู้คนไม่ปฏิเสธ (จริงหรือ)?  อาจเกิดความไม่ชอบใจในตอนแรกแต่ในความเป็นจริงลูกค้าบางคนชอบใจที่จะต่อรองบ้างเล็กน้อยสำหรับการซื้อและผู้ขายควรจะต้องตระหนักในเรื่องนี้ 

Source : http://www.articlesbase.com/marketing-tips-articles/ten-ways-to-handle-sales-objections-418346.html
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม http://www.sara-dd.com

วิธีการสร้างแผนการตลาดของคุณ


วิธีการสร้างแผนการตลาดของคุณ
How To Build Your Marketing Plan
ผู้เขียน : Nick Tart
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม


          วิธีที่ดีที่สุดเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จอย่างมั่นใจคือการจัดทำแผนไว้ล่วงหน้า  เช่นเดียวกับการจัดทำแคมเปญทางการตลาด   แผนการตลาดที่ต่อเนื่องและครอบคลุมควรจะถูกวางแผนไว้ก่อนที่คุณจะดำเนินการนำแคมเปญทางการตลาดไปใช้จริง  ต่อไปนี้เป็นวิธีการ 6 ขั้นตอนในการวางแผนการตลาดอย่างง่ายๆ
          1.  ส่วนแบ่งการตลาดของคุณ             หากผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณดึงดูดผู้บริโภคที่แตกต่างกันหลายแบบ  การทำแคมเปญทางการตลาดเพียงวิธีเดียวอาจไม่ได้ผลกับทุกคนที่ซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ    ส่วนแบ่งทางการตลาดจะแตกต่างกันตามลักษณะทางประชากรศาสตร์  ลักษณะทางจิตวิทยา  ภูมิศาสตร์  พฤติกรรมและการใช้งาน และการรับรู้คุณประโยชน์ของผู้บริโภค  ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตัดสินใจใช้งานและเลือกสรรวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตลาดของคุณอย่างไร   จำไว้ว่าคุณสามารถผสมวิธีการใช้ประโยชน์จากส่วนแบ่งทางการตลาดได้หากคุณคิดว่าเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของคุณ
          2.  เลือกเป้าหมายทางการตลาด
          หลังจากที่คุณทราบส่วนแบ่งการตลาดของคุณแล้ว  คุณจะต้องพิจารณาองค์ประกอบของส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มเป้าหมาย  กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดเป็นกลุ่มเฉพาะของลูกค้าซึ่งมีผลโดยตรงต่อการจัดการทางการตลาดของคุณ   ควรระลึกว่าขนาดที่เล็กและมีความชัดเจนของเป้าหมายทางการตลาด จะทำให้จัดแคมเปญทางการตลาดได้ง่ายขึ้น
          3.  พัฒนาแบบจำลองกระบวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค 
          ความเข้าใจพฤติกรรมและกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญในการจัดทำแคมเปญทางการตลาดของคุณ   ความเข้าใจลำดับความคิดของผู้บริโภคก่อนที่พวกเขาจะซื้อสินค้าจะช่วยให้คุณกำหนดสิ่งที่ควรทำเพื่อสร้างความสะดวกแก่ลูกค้าและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
          4.  จัดทำส่วนประสมทางการตลาด 
          ส่วนประสมทางการตลาดจะเป็นพื้นฐานของแผนการตลาดของคุณ   ทั้ง 4 ด้านของส่วนประสมทางการตลาดของคุณ คือ ผลิตภัณฑ์ ราคา การส่งเสริมการตลาด และช่องทางการตลาด (4P's)  เป็นวิธีการที่คุณจะกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ผู้บริโภค
          5.  ตัดสินใจจัดวางกลยุทธ์ 
          การวางกลยุทธ์คือการที่คุณต้องการให้ผลิตภัณฑ์ได้เข้าสู่การรับรู้ของผู้บริโภคเพื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง   ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการที่คุณจะประเมินวิธีการกำหนดแคมเปญทางการตลาด  ตัวอย่างเช่น  หากคุณวางกลยุทธ์ว่า "ทางเลือกที่รวดเร็วและประหยัด"  แต่จากนั้นคุณกลับดำเนินแคมเปญโฆษณาที่หรูหราก็จะได้รับผลสะท้อนที่ไม่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ
          6.  คาดการณ์การเปลี่ยนแแปลงที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม 
          ผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมเป็นสิ่งที่อาจมีผลกระทบต่อความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ของคุณในอนาคต   6 ประเภทหลักๆ ของสภาวะแวดล้อมที่มีผลกระทบ คือ เศรษฐกิจ  สภาวะธรรมชาติ ภาวะการแข่งขัน  สังคมและวัฒนธรรม  กฎหมายและการเมือง  และเทคโนโลยี      สิ่งเหล่านี้สามารถมีผลกระทบต่อความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ของคุณและแคมเปญการตลาด   ซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อแผนงานของคุณ
          องค์ประกอบทั้ง 6 ประการนี้  เป็นองค์ประกอบในการดำเนินการวางแผนการตลาด  ภายหลังจากผสมผสานลักษณะต่างๆ ของแผนการตลาดเข้าด้วยกันแล้ว  คุณจะทราบอย่างชัดเจนขึ้นว่าจะดำเนินการอย่างไรให้แคมเปญการตลาดมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Source : http://www.articlesbase.com/advertising-articles/how-to-build-your-marketing-plan-700121.html
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม http://www.sara-dd.com

การปรับปรุงธุรกิจเพื่อเพิ่มผลกำไร


ผู้เขียน : Warren P Tibbotts
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม


          ในการพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจของคุณด้วยการปรับปรุงบางส่วนของธุรกิจ  มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ     ทั้งนี้หากผู้ประกอบการต้องการเพิ่มผลประกอบการของธุรกิจ  สามารถเริ่มต้นด้วยองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งซึ่งจะมีผลต่อผลประกอบการประมาณ 10% ในแต่ละองค์ประกอบ  และในบางครั้งอาจเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นได้ถึง 50%
           องค์ประกอบ 5 ประการ
          1.  ควบคุมและสอดส่องธุรกิจของตนเองเปรียบเทียบตลอดทุกระยะ         
          ควบคุมและสอดส่องธุรกิจของตนเองเปรียบเทียบตลอดทุกระยะทั้งรายวัน  รายเดือน หรือรายปี    เพื่อรับทราบผลตอบรับของลูกค้าต่อข่าวสารทางการตลาดและสื่อโฆษณาที่เราได้สร้างขึ้น ยกตัวอย่างเช่น  โดยปรกติสามารถจำหน่ายสินค้าได้ 200 ชิ้นต่อสัปดาห์  ให้สังเกตว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อเราสร้างเป้าหมายใหม่โดยเพิ่มยอดขายเพิ่มขึ้นอีก 10% เป็น 220 ชิ้นต่อสัปดาห์  เป็นต้น
          2. จำนวนครั้งของการติดต่อสอบถามกับการสั่งซื้อจริง
          อย่าสับสนกับจำนวนครั้งของโทรศัพท์  หรืออีเมล์สอบถามข้อมูลจำนวนมากๆ กับการสั่งซื้อจริง   การสั่งซื้อจริงเป็นจำนวนของกลุ่มเป้าหมายที่จะมีโอกาสตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้ประกอบการ    พิจารณาจากตัวอย่าง  โดยทดลองเปลี่ยนแปลงจำนวน 30% ของกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าของเรา   ซึ่งหากเราทำได้ 10% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้  30%  นั่นหมายความว่าความพยายามของเราได้บรรลุผลไปถึง 33% ของเป้าหมายที่เราตั้งขึ้นแล้ว
          3.  จำนวนครั้งที่ลูกค้าซื้อสินค้า
          กลับไปมองการตลาดและพิจารณาจำนวนลูกค้าปัจจุบันที่ผู้ประกอบการมีอยู่  ทั้งนี้เจ้าของกิจการหลายแห่งไม่เคยนับจำนวนลูกค้าเก่าหรือลูกค้าประจำ  หรือบางครั้งอาจทำเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่ง   ให้ทดลองคิดว่าหากลูกค้าซื้อสินค้า 10 ครั้งต่อปี  และให้ทดลองคิดว่าหากลูกค้าเหล่านั้นเพิ่มจำนวนการซื้อขึ้น 10% จาก 10 ครั้งต่อปีเป็น 11 ครั้งต่อปี  จากลูกค้าประจำของท่าน   ดังนั้นน่าจะเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการจะมุ่งทำการตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าประจำและลูกค้าดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว
          4.  ค่าเฉลี่ยของยอดขายต่อครั้ง 
          ปรกติผู้ประกอบการจะคำนวณยอดขายโดยนับจำนวนสินค้าทั้งหมดและลบออกด้วยจำนวนที่ขายออกไป   ซึ่งนั่นจะเป็นค่าเฉลี่ยต่อการขายหนึ่งครั้ง   ดังนั้นลองมาตั้งเป้าหมาย  โดยลองยกตัวอย่างว่าค่าเฉลี่ยของการขายต่อครั้งเท่ากับ 2,000 บาท  หากเราต้องการเพิ่มยอดขายต่อครั้งขึ้น 10%  เราจำเป็นต้องคำนวณและวางแผนอย่างรอบคอบเป็นพิเศษเพื่อหาแนวทางการเพิ่มยอดขายเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยการขายต่อครั้งเพิ่มเป็น 2,200 บาทให้ได้
          5.  พิจารณากำไรเบื้องต้นจากการขายในแต่ละครั้ง
          พิจารณา margin ของธุรกิจ (กำไรเบื้องต้น = ยอดขายหักต้นทุนสินค้าขาย) หรือ gross profit จากการขายในแต่ละครั้ง (รายรับทั้งหมดจากการขายหักต้นทุนสินค้าคือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ)   เจ้าของกิจการหลายแห่งพยายามลดค่าใช้จ่าย หรือลดราคาผลิตภัณฑ์ของตนเพื่อเพิ่มยอดขาย    อย่างไรก็ตามการเพิ่มราคาขายเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษาหรือปรับฐานกำไรของสินค้ามักไม่มีผลกระทบต่อยอดขาย   โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาพร้อมกับการปรับปรุงการบริการลูกค้าโดยรวมที่ดีขึ้น   ให้ลองนึกภาพว่าหากกำไรเบื้องต้นของเราอยู่ที่ 20%  และให้ขยับกำไรเบื้องต้นขึ้นอีกเป็น 22% 
          ลองมองในภาพรวมจากตัวอย่าง  เรามีผู้ซื้อ 200 รายต่อสัปดาห์ (10,400 รายต่อปี)  และมีการสั่งซื้อจริง  10%  หรือ 1,040 ราย   ซึ่งลูกค้าทั้งหมดมีการสั่งซื้อเฉลี่ย 10 ครั้งต่อปี  ยอดขายต่อครั้งเท่ากับ 500 บาท จะเท่ากับมียอดขาย 10,400 x 500 = 5,200,000 บาท ต่อปี   เมื่อคำนวณกำไรเบื้องต้นที่ 20% จะเท่ากับมีกำไรทั้งปีที่ 1,040,000 บาท
          จากนั้นทดลองตั้งเป้าหมายใหม่โดยเพิ่มเป้าหมายการขายในทุกองค์ประกอบขึ้น 10%   ในทันทีลูกค้าของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 220 รายต่อสัปดาห์ (11,440 รายต่อปี)  และจะมีการสั่งซื้อจริงเพิ่มเป็น  11%  หรือ 1,144 ราย  ที่ยอดขายต่อครั้งเท่ากับ 550 บาท จะเท่ากับมียอดขาย 11,440 x 550 = 6,292,000 บาท ต่อปี   เมื่อคำนวณกำไรเบื้องต้นที่ 22% จะเท่ากับมีกำไรทั้งปีเพิ่มเป็น 1,384,240 บาท
Source : http://ezinearticles.com/?How-to-Grow-Your-Business-Profits-With-Small-Improvements&id=5400649
แปล/เรียบเรียง : สาระดีดี.คอม http://www.sara-dd.com
margin คือ กำไรเบื้องต้น (ยอดขายหักต้นทุนสินค้าขาย) โดยคิดเป็นร้อยละของยอดขาย (%) ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันหรือแข่งกับตัวเอง กล่าวคือ เทียบกับที่เคยทำได้แล้วในอดีต
gross profit  คือ (กำไรเบื้องต้น) รายรับทั้งหมดจากการขายหักต้นทุนสินค้าคือกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายใด ๆ


เครดิต: http://www.sara-dd.com